ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 2196+2197
บทที่ 2196 บีบให้แต่ง 4
“ขอบคุณสำหรับความรักของท่านเจ้าเมือง แต่น่าเสียดายซีจิ่วมีคนรักอยู่ข้างกายแล้ว ไม่อาจตอบรับความกรุณาของท่านเจ้าเมืองได้”
เย่หลิงพูดจาดูหมิ่น
“พวกเจ้าเป็นเพียงว่าที่สามีภรรยาเท่านั้น ซ้ำยังไม่ได้แต่งกัน ต่อให้แม่นางถอนหมั้นแล้วออกเรือนกับผู้อื่น ก็ไม่มีใครว่าอะไรได้ ในยุคโกลาหลเช่นนี้ แม่นางควรจะเลือกคนออกเรือนด้วยให้ดีหน่อย ถึงจะใช้ชีวิตอย่างราบรื่นสุขสบายได้”
“ในใจข้า เขาคือคนรักที่ดีที่สุดของข้า”
กู้ซีจิ่วตัดบทเขา
เย่หลิงผงะไปแวบหนึ่ง พลันทอดถอนใจ
“แม่นางกู้ แล้วเจ้าจะเสียใจ!”
กู้ซีจิ่วลุกขึ้นยืน
“แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่เคยกระทำเรื่องที่ต้องเสียใจภายหลัง หากท่านเจ้าเมืองไม่มีธุระอื่นแล้ว ผู้น้อยขอตัวลา”
พลางหันหลังจากไป
“ข้าจะให้เวลาแม่นางใคร่ครวญดูสามวัน”
เย่หลิงเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่ง
กู้ซีจิ่วไม่ได้หันกลับไปเลย จากไปทันที
เย่หลิงยืนอยู่ที่เดิม จู่ๆ ก็ปรบมือคราหนึ่ง
“ใครก็ได้เข้ามาสิ!”
บนหลังคามีเงาร่างคนวูบไหว คนสองคนกระโจนลงมา คุกเข่าอยู่ตรงแทบเท้าเขา
“นายท่าน มีเรื่องใดจะสั่งการขอรับ?”
….
พิรุณโลหิตยังคงโปรยปรายอยู่ เสียงดังเปาะแปะ
กู้ซีจิ่วอยู่บนถนนใหญ่เพียงลำพัง เธอกำลังคิดเช่นกันว่าจะทำอย่างไรดี
เย่หลิงผู้นี้คือเย่หนู่ในยามนั้นจริงๆ ตามที่หัวหน้าเผ่าเล่า ในปีนั้นคุณสมบัติของเย่หนู่ถือว่าเพียงไม่เลวเท่านั้น ไม่นับว่าเลิศเลอมากมาย คนเช่นนี้ต่อให้ฝึกฝนไปร้อยปีก็ยังไม่แน่ว่าจะสามารถบรรลุพลังวิญญาณขั้นหกได้ แต่ความจริงคือ ยามนี้เขามีพลังวิญญาณขั้นเก้าแล้ว ที่แท้เขาไปพบพานเรื่องมหัศจรรย์อันใดมาถึงได้ทะลวงขีดจำกัดด้านคุณสมบัติของตนได้?
คนผู้นี้เหี้ยมโหดโฉดชั่วโดยแท้ นับว่าเป็นทรราชผู้ทะเยอทะยานคนหนึ่ง แต่ทักษะในการบริหารจัดการคนไม่นับว่าสูงนัก และในบรรดาคนที่ลี้ภัยมายังเมืองนี้ก็มียอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมืออยู่มากมาย คนเหล่านี้ก็ใช่ว่าจะไร้ความสามารถด้านเกมการเมือง แล้วเหตุใดคนเหล่านี้ถึงยอมให้เย่หลิงเป็นผู้นำ ยอมขายชีวิตให้เขาเล่า?
ในมือเขาน่าจะมีไม้ตายไร้เทียมทานอันใดอยู่กระมัง? ทำให้ผู้อื่นได้แต่ยอมให้เขาเป็นเจ้าเมือง เปลี่ยนคนไม่ได้…
แล้วไม้ตายนี้คืออะไรล่ะ?
ลมหอบหนึ่งโชยมา จู่ๆ กู้ซีจิ่วก็รู้สึกหนาวยะเยือกอยู่บ้าง เธอกอดอกไว้ รู้สึกได้จากใจจริงว่าสถานที่ผีสางแห่งนี้น่าเหนื่อยใจยิ่งว่าหมู่บ้านในอดีตมากนัก!
ตอนนี้ถึงแม้บนร่างเธอจะมีพลังวิญญาณอยู่ส่วนหนึ่งแล้ว แต่พลังยุทธ์ก็เพียงขั้นเจ็ดขั้นแปดเท่านั้น ในเมืองมียอดฝีมือเช่นนี้อยู่มากมายปานเมฆา ไม่นับว่าเป็นตัวตนพิเศษที่พิเศษที่สุด
พลังวิญญาณของตี้ฝูอีก็ฟื้นฟูกลับมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อย่างมากก็ถึงพลังวิญญาณขั้นเก้า ระดับเดียวกับเจ้าเมืองผู้นี้
แต่ข้างกายเจ้าเมืองผู้นี้มียอดยุทธ์พลังวิญญาณอยู่ไม่น้อยเลย ในบรรดานั้นไม่มีต่ำกว่าขั้นเจ็ดขั้นแปด ดังนั้นถ้าไม่จำเป็น กู้ซีจิ่วก็ยังไม่อยากจะแข็งข้อกับเจ้าเมืองผู้นี้
โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ไม่ทราบถึงตื้นลึกหนาบางของอีกฝ่าย การปะทะกันตรงๆ มีแต่จะทำให้เรื่องราวเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม…
ครั้งนี้เธอปฏิเสธเขาไปตรงๆ ไม่แน่ว่าคนผู้นี้อาจโกรธจนพาลพาโล ลงมือต่อชาวบ้านผู้บริสุทธิ์เหล่านั้น…
กู้ซีจิ่วนวดคลึงหว่างคิ้วอย่างปวดประสาท เธอรู้สึกว่าพักนี้ใช้สมองเยอะกว่าครึ่งปีที่ผ่านมาเสียอีก!
ช่างมันเถอะ ไม่สนแล้ว! หากว่าเจ้าเมืองผู้นี้ปองร้ายชาวบ้าน ไม่มอบทางรอดให้ผู้อื่น เธอก็จะหาทางพาชาวบ้านหนีซะ ไปดูที่เมืองอื่นๆ
เจ้าเฟิงฉิงบอกว่ายังมีเมืองอื่นๆ อยู่อีกนี่?
คงมิใช่ว่าเจ้าเมืองของเมืองอื่นก็วิปริตเช่นเดียวกับเย่หลิงผู้นี้กระมัง?!
เพียงแต่ ดูเหมือนเมืองอื่นๆ จะอยู่ห่างจากที่นี่ค่อนข้างไกล ได้ยินว่าเมืองที่อยู่ใกล้กับที่นี่ที่สุดก็ยังห่างออกไปพันลี้ และพิรุณโลหิตก็เว้นช่วงอยู่เพียงสิบวัน ถ้าพาคนกว่าร้อยคนเดินทางพันลี้ภายในเวลาสิบวันก็ค่อนข้างยากลำบาก นอกจากจะหาสถานที่อื่นให้พวกเขาลี้ภัยชั่วคราวก่อน รอให้พิรุณโลหิตผ่านพ้นไปอีกครั้งแล้วค่อยออกเดินทาง…
ระหว่างทางน่าจะมีแหล่งพักพิงอื่นอยู่บ้างกระมัง?
เธอเตะหินก้อนหนึ่งที่อยู่ริมถนน ขณะที่กำลังจะคิดหาทางไปตามแนวคิดนี้ต่อไป จู่ๆ ก็ถูกคนตบไหล่คราหนึ่ง
“เด็กน้อย คิดอะไรอยู่? ไยจึงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเช่นนี้?”
กู้ซีจิ่วหันขวับทันที มองเห็นตี้ฝูอียืนอยู่ข้างหลังเธอ มองเธอด้วยรอยยิ้ม
————————————————————————————-
บทที่ 2197 เห็นเขาเป็นสามีเพียงผู้เดียว…
เนื่องจากล่วงสู่ยามดึกแล้ว โคมของร้านรวงสองฟากถนนไม่สว่างนัก ส่องแสงสลัวๆ
เขายืนอยู่ตรงนั้น อาภรณ์สีฟ้าเข้มถูกลมพัดปลิวไสว แสงเทียนแผ่คลุมกึ่งหนึ่ง เกิดเงาวูบไหวเลือนรางบนร่างเขา เขาไม่ได้สวมหน้ากาก ยามที่แย้มยิ้มน้อยๆ ราวกับดอกท้อสามพันดอกผลิบานขึ้นพร้อมกัน
กู้ซีจิ่วใจเต้นแรง!
มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเขาไปแล้วชัดๆ แถมพักนี้ยังตัวติดกันอยู่ตลอด แต่เธอยังคงถูกรูปโฉมอันงดงามของเขาสั่นสะเทือนอยู่ดี พอเขาส่งยิ้มให้เธอเช่นนี้ ก็ทำให้หัวใจดวงน้อยของเธอเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้อยู่พักใหญ่
ยามที่เย่หลิงผู้นั้นร่ำสุรากับเธอ เคยถามเธอว่าคู่หมั้นคนนั้นของเธอมีดีตรงไหน เทียบกับเจ้าเมืองอย่างเขาแล้วมีอะไรที่แตกต่างกัน
ตอนนั้นเธอแค่ยิ้มแวบหนึ่ง บอกว่าพวกเขาต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่อาจเปรียบเทียบกันได้ จึงทำให้หัวข้อสนทนานั้นผ่านพ้นไป
ตอนนี้เธอมองดูตี้ฝูอี ในที่สุดก็สัมผัสถึงความแตกต่างระหว่างคนทั้งสองได้แล้ว
ตี้ฝูอีมีความสูงส่งเจ้าสำราญแฝงอยู่ในกระดูก ทุกอากัปกริยาล้วนเจือความสง่างามไม่ผูกมัดเอาไว้ เป็นธรรมชาติดุจสายลม
แต่ท่วงท่าทุกอย่างของเย่หลิงผู้นี้กลับคล้ายว่าจงใจประดิษฐ์ออกมา ผ่านการอบรมอย่างเข้มงวดกวดขันมา…
“ยังคงเป็นเจ้าที่หล่อเหลา!”
กู้ซีจิ่วคล้องแขนตี้ฝูอีไว้เสียเลย เอียงหัวซบไหล่เขา
“ผู้ใดก็เทียบเจ้าไม่ได้ทั้งนั้น!”
ตี้ฝูอีไม่นึกเลยว่าพอพบหน้ากันก็จะถูกนางชมเชยอย่างกระตือรือร้นเช่นนี้ ในใจทั้งขบขันและอบอุ่น ยื่นมือไปลูบศีรษะนางเบาๆ
“ทำไมจู่ๆ ถึงมารำพันเช่นนี้เล่า?”
ผู้ใดก็เทียบเขาไม่ได้ทั้งสิ้น แล้วหวงถูผู้นั้นเล่า?
ตี้ฝูอีอยากถามประโยคนี้ออกไปยิ่งนัก แต่เขาไม่มีทางถามเรื่องโง่ๆ เช่นนี้ออกมาหรอก
ลมหายใจจากร่างเขาอบอุ่นยิ่ง กลิ่นหอมเย็นอ่อนจางก็มอมเมาคนได้ กู้ซีจิ่วกอดแขนเขาไว้เดินเคียงข้างเขา อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ
“ฝูอี เมือก่อนข้าคว้าเจ้ามาได้ยังไงกันนะ?”
รูปงามมากเล่ห์ ฝีมือแกร่งกล้า ซ้ำยังดีต่อเธออีก…เป็นนิยามของคำว่าบุรุษผู้เพียบพร้อมโดยแท้ ไม่น่าเชื่อว่าบุรุษที่ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้จะถูกเธอคว้ามาได้ก่อน ทำให้เขากลายเป็นคู่หมั้นของตน ดวงตาของตนช่างมีแววยิ่งนัก!
ขณะที่กู้ซีจิ่วชมเชยตัวเองอยู่ ก็มีความรู้สึกเหมือนฝันไปอยู่เล็กน้อย รู้สึกอยู่เสมอว่าช่วงเวลาอันงดงามนี้ไม่คล้ายว่าใช่ความจริงเลย
นางในดวงใจอิงแอบอยู่ข้างกายตน เต็มไปด้วยความรู้สึกอยากพึ่งพา
ไม่มองเขาเป็นเด็กน้อย ในใจไม่มีชายอื่นอยู่ เห็นเขาเป็นสามีเพียงผู้เดียว…
ตี้ฝูอีก็รู้สึกราวกับกำลังฝันอยู่ เป็นความฝันอันงดงาม
ถึงแม้สภาพแวดล้อมที่นี่จะเลวร้ายอย่างที่ไม่เคยพบพานมาก่อน แต่ตี้ฝูอีกลับไม่รังเกียจที่นี่เลย ถึงขั้นที่ค่อนข้างชอบด้วยซ้ำ
หากว่าสามารถอยู่เคียงข้างนางเช่นนี้ได้ตลอดไป สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน เช่นนั้นแม้ว่าจะเป็นแดนอสุราก็ราวกับสรวงสวรรค์สำหรับเขา…
จู่ๆ เขาก็ปรารถนาจะรั้งอยู่ที่นี่ต่อไปอีกหน่อย ให้วันคืนที่งดงามเช่นนี้ยืดยาวออกไปอีกสักหน่อย
ถึงแม้ทั้งสองต่างก็มีเรื่องราวในใจ แต่ในใจกลับชื่นมื่นกันทั้งคู่
กู้ซีจิ่วพะวงถึงหัวหน้าเผ่า เกรงว่าเขาจะถูกเล่นงาน ดังนั้นเธอจึงไปดูที่เรือนแห่งนั้นก่อน หัวหน้าเผ่ายังอยู่ดี ไม่ได้เกิดเหตุเหนือความคาดหมายขึ้น
นี่ทำให้กู้ซีจิ่วโล่งอก พูดคุยกับหัวหน้าเผาสามสี่ประโยค หัวหน้าเผ่าก็กำลังพะวงถึงเธออยู่เหมือนกัน พอเห็นเธอกลับมาแล้วก็วางใจ
อดไม่ได้ที่จะถามประโยคหนึ่ง
“ซีจิ่ว เจ้าเมืองเย่ผู้นั้นใช่เย่หนู่หรือไม่?”
กู้ซีจิ่วใคร่ครวญเล็กน้อย สุดท้ายก็ตัดสินใจบอกไปตามจริง
“น่าจะใช่เขา”
หัวหน้าเผ่าปานต้นไม้ชราที่ถูกพายุพัดโค่น นั่งเงียบงันบนม้านั่งอยู่เนิ่นนาน
กู้ซีจิ่วเข้าใจความรู้สึกของเขา ไม่ว่าผู้ใดหากตกที่นั่งเดียวกับเขาล้วนต้องรับไม่ได้ทั้งสิ้น…
——————————————