ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 2224+2225
บทที่ 2224 ปลุกความทรงจำ 4
ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็รับรู้แล้วว่าเขาเจ็บ
“เจ็บมากหรือ?”
“พ…พอไหว”
หยาดเหงื่อชุ่มศีรษะอวิ๋นเยียนหลี เจ็บขนาดนั้นเชียว?
กู้ซีจิ่วมองบาดแผลโชกเลือดนั้น ต้องเย็บถึงสิบเจ็ดสิบแปดเข็มเชียวนะ เธอเพิ่งเย็บไปห้าเข็มเท่านั้น…
“บุรุษต้องห้าวหาญสมชาย เหตุใดจึงกลัวเจ็บเช่นนี้เล่า?”
กู้ซีจิ่วอดถอนหายใจไม่ได้
อวิ๋นเยียนหลีนิ่งไปแวบหนึ่ง
“ซีจิ่ว เจ้าร้องเพลงให้ข้าฟังได้ไหม? เจ้าร้องเพลงเพราะมาก ถ้าเจ้าร้องเพลงข้าก็ไม่เจ็บแล้ว”
บางสิ่งก็ฝังลึกอยู่ในกระดูกแล้ว ยกตัวอย่างเช่นการร้องเพลง
ครึ่งปีที่กู้ซีจิ่วอยู่ที่นี่ถึงแม้จะลืมเลือนบทเพลงเหล่านั้นที่เคยร้องไปแล้ว แต่เธอยังจำทำนองได้นิดหน่อย ยามว่างก็ร้องฮัมออกมาบ้างเป็นครั้งคราว แน่นอนว่าเธอลืมเนื้อไปแล้ว จำได้แต่ทำนอง
เห็นแก่ที่เขาเจ็บจนกลายเป็นเช่นนี้ กู้ซีจิ่วจึงตอบตกลง ดังนั้นเธอจึงฮัมทำนองออกมานิดหน่อย ไม่น่าเชื่อว่าเธอเพิ่งจะฮัมทำนองออกมา อวิ๋นเยียนหลีก็ร้องตามได้แล้ว
‘มองย้อนกลับไปห้าร้อยปีมีเพียงเจ้า
วันเวลาเคลื่อนคล้อยผ่านทำให้รักพลั้งจากจร
แม้นร่างแปรเป็นสะพานศิลาก็หมายรอเจ้าย่างผ่าน
ความในใจข้าเจ้าอยากฟังข้าเล่าอยู่หรือไม่
รอยยิ้มของเจ้าทำให้ข้าต้องมนต์ไปชั่วกาล
คำมั่นของเจ้าฝังอยู่ในใจข้า
แม้นนิพพานสู่อรหันต์ใต้ลานโพธิ์
จะหวนสู่แดนธุลีก็มิอาจไหว้วานส่งจดหมาย’
….
เพลงที่เธอร้องคือ ‘พุทธองค์ตรัส[1]’ หลายปีก่อนขณะที่เธอตามหาคนอยู่ที่ดินแดนเบื้องบน อวิ๋นเยียนหลีก็ตามหาเป็นเพื่อนเธอด้วย ตามหาและผิดหวังอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า วันเวลาแห่งการตามหายืดยาวน่าเบื่อหน่าย และเพลงนี้ก็สอดคล้องกับสภาพสภาพจิตใจของเธอ ดังนั้นในยามที่เบื่อหน่ายก็จะร้องออกมาสี่ห้าประโยค ไปๆ มาๆ เช่นนี้ อวิ๋นเยียนจึงได้เรียนรู้ไปด้วย…
ยามนี้อวิ๋นเยียนหลีขับขานเนื้อเพลงออกมา ตอนแรกกู้ซีจิ่วยังประหลาดใจอยู่บ้าง แต่พอฟังๆ ไป เนื้อเพลงเหล่านั้นก็ผุดขึ้นมาในสมองโดยอัตโนมัติ อวิ๋นเยียนหลียังไม่ทันได้ขับขานครึ่งท่อนหลัง เธอก็ร้องรับด้วยตัวเองแล้ว
‘พุทธองค์ตรัสว่าผ่านผัน ชีวิตผันผ่านไปรวดเร็ว
ปมเกิดขึ้นเพราะรัก เผาผลาญเป็นกองเพลิง
พุทธองค์ตรัสว่าผิดพลั้ง ผิดพลั้งมากเหลือคณา
ทั้งหมดล้วนผิดที่ข้า นับแต่นี้จงลืมเลือนข้าเสียเถิด
เมื่อความคิดว่างเปล่า บงกชในใจจักผลิบาน’
การขับร้องแบบเดี่ยวจึงเปลี่ยนเป็นการขับขานประสานกันของทั้งสองคน ซ้ำบทเพลงยังเข้ากันดียิ่ง ไม่ผิดเพี้ยนเลยสักคำ
หากบอกว่าก่อนหน้านี้กู้ซีจิ่วยังคลางแคลงอวิ๋นเยียนหลีอยู่บ้าง ยามนี้ความคลางแคลงนั้นได้เลือนหายไปกว่าครึ่งแล้ว
สามารถร่ายวิถีกระบี่ของเธอได้ สามารถขับขานบทเพลงของเธอได้ อย่างน้อยๆ ในอดีตความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองน่าจะยอดเยี่ยมนัก
เธออดไม่ได้ที่จะเหลือบมองอวิ๋นเยียนหลีแวบหนึ่ง อารมณ์ค่อนข้างซับซ้อน
อวิ๋นเยียนหลีใช้วิธีนี้ช่วยเธอฟื้นฟูความทรงจำหรือ?
ซึมซาบดั่งหยดน้ำที่ค่อยๆ ร่วมตัวเป็นสายธาร ทำให้คนไม่รู้สึกต่อต้าน คล้ายกับนิสัยของคนผู้นี้ยิ่งนัก สง่างามดังหยก
คนความจำเสื่อมจะมีความรู้สึกโหวงเหวงไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนเสมอ ในจิตใต้สำนึกปรารถนาจะฟื้นฟูความทรงจำยิ่งนัก กู้ซีจิ่วก็ย่อมปรารถนายิ่งนักเช่นกัน
แต่เวลาที่เธออยู่กับตี้ฝูอี กลับดูไม่มีทีท่าว่าจะชี้นำให้เธอ ไม่มีทีท่าว่าจะปลุกความทรงจำให้เธอเลย
เขาบอกว่าความจำเสื่อมไม่สำคัญ ที่สำคัญคือต้องปัจจุบัน ตอนนี้ทั้งสองคนรักกันก็พอแล้ว
ยามนั้นเธอซาบซึ้งยิ่งนัก แต่ตอนนี้…
ไอ้สารเลวน้อยผู้นั้นไม่คิดจะฟื้นฟูความทรงจำให้เธอจริงๆ สินะ?!
เธอกำมือแน่นอย่างอดไว้ไม่อยู่ ในยามที่ลงเข็มสุดท้าย จึงหนักมือไปเล็กน้อย
แผ่นหลังอวิ๋นเยียนหลีพลันแข็งทื่อ หมายจะเอ่ยอันใด จู่ๆ ก็จับสัมผัสอะไรได้ มองไปทางต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย!
บุรุษในชุดสีฟ้าอ่อนคนหนึ่งยืนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น
เรือนกายสูงโปร่งดังต้นอวี้ คมคิ้วดุจวงเดือน นัยน์ตาดุจทะเลสาบลึก ริมฝีปากบางเม้มน้อยๆ เครื่องหน้างดงามยากจะพรรณนาได้ เขายืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย กำลังมองทั้งสองคนด้วยสายตาเยียบเย็น
คนผู้นี้…
ประสาทสัมผัสของกู้ซีจิ่วก็เฉียบไวเช่นกัน หันไปมองตามสัญชาตญาณ ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง เธอลุกพรวดขึ้นมาทันที
“ตี้ฝูอี!”
————————————————————————————-
บทที่ 2225 เขามีสิทธิ์อะไรมาโกรธ?!
ตี้ฝูอียืนอยู่ตรงนั้น จันทราลอยสูงบนนภาด้านหลังเขา ราวกับมีรัศมีสีเงินแผ่เป็นวงอยู่บนอาภรณ์เขา
เสื้อคลุมปลิวสะบัด ใบหน้าหล่อเหลาของเขาซ่อนเร้นอยู่ใต้เหงาจันทร์กึ่งหนึ่ง ทำให้คนมองเห็นสีหน้าของเขาไม่ชัดเจน เขาเอ่ยทวนเบาๆ
“ตี้ฝูอี? เจ้าเรียกข้าเช่นนี้รึ?”
หลังจากมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันครั้งนั้น ยามที่กู้ซีจิ่วเรียกเขาจะเรียกว่า ‘ฝูอี’ ‘ฝูอี’ อยู่ไม่ขาดปาก ครานี้กลับขานชื่อพร้อมแซ่ แฝงความห่างเหินอันไร้รูปธรรมไว้…
น้ำเสียงเขาเย็นกระจ่างปานน้ำพุหยดกระทบศิลาเขียว ในความดึงดูดได้เจือความเย็นชาเอาไว้รางๆ
กู้ซีจิ่วผงะไปเล็กน้อย ย่อมฟังความขุ่นเคืองบางๆ ในสุ้มเสียงของเขาออก
ยามที่คนผู้นี้ยิ้มแย้มอยู่ตลอดยังว่าดีหน่อย แต่พอเขาตีสีหน้าเย็นชาแล้ว อำนาจบนกายจะแกร่งกล้าจนสามารถกดทับให้ผู้อื่นโงหัวไม่ขึ้นได้เลย!
ตั้งแต่ได้พบกัน ยามอยู่ต่อหน้าเธอเขาล้วนเก็บงำเขี้ยวเล็บไว้ตลอด ราวกับพี่ชายข้างบ้าน ในความอบอุ่นแฝงความเฉื่อยชาที่เป็นไปตามธรรมชาติไว้ ทำให้เธอหลงใหล
ท่าทางเช่นในยามนี้ กู้ซีจิ่วเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก!
เขาโกรธแล้ว กู้ซีจิ่วกระจ่างแจ้งนัก
แต่เขาโกรธอะไร?!
เขามีสิทธิ์อะไรมาโกรธ?!
เขายังอยู่ดีชัดๆ ทว่าไม่ตอบรับยันต์ถ่ายทอดเสียงเธอเลยนี่มันอะไร?! ทำเท่ห์หรือไง?!
ทำให้เธอเป็นห่วงอยู่ทั้งวัน!
ทันทีที่กู้ซีจิ่วมองเห็นเขาก็รู้สึกโล่งใจ แต่เมื่อความโล่งใจนี้ผ่านพ้นไป โทสะในใจเธอก็ปะทุขึ้นมา!
เธอเลิกคิ้วมองเขา แย้มยิ้ม น้ำเสียงเยียบเย็นยิ่ง
“เช่นนั้นต้องเรียกเจ้าว่าอะไรล่ะ? ฝ่าบาทเนี่ยนโม่รึ?”
ตี้ฝูอีแข็งทื่อไปเล็กน้อย สายตาเหลือบไปทางอวิ๋นเยียนหลีแวบหนึ่ง
อวิ๋นเยียนหลียืนอยู่ตรงนั้นค้อมกายทำความเคารพเขา
“ฝ่าบาทเนี่ยนโม่ เสี่ยวเซียนขอถวายความเคารพ”
ตี้ฝูอีหลับตาลงเล็กน้อย เรือนกายไหววูบ กระโจนลงมาทันที ไม่สนใจอวิ๋นเยียนหลีที่ทำความเคารพอยู่ คว้ามือกู้ซีจิ่วในทันใด
“พวกเราต้องคุยกัน!”
ฝ่ามือเขาเย็นเฉียบเล็กน้อย กุมข้อมือเธอแล้วค่อนข้างเจ็บ กู้ซีจิ่วชักข้อมือตนกลับทันที ดิ้นจนหลุดจากฝ่ามือเขา
“คุยอะไร?”
ยามนี้รู้ว่าคำโป้ปดถูกเปิดโปงแล้ว เลยคิดจะคุยกับเธอสินะ?
โทสะในใจกู้ซีจิ่วพวยพุ่งสูงชนเพดาน
“ฝ่าบาทเนี่ยนโม่ เจ้ามาได้จังหวะพอดี ถือโอกาสที่คุณชายอวิ๋นก็อยู่ที่นี่ด้วย ข้ามีคำถามบางอย่างอยากถามเจ้าอยู่พอดี หวังว่าเจ้าจะไม่โกหกข้าอีก!”
บางเรื่องก็มีแต่ต้องประจันหน้ากันสามฝ่าย ถึงจะยืนยันได้ว่าใครแน่ที่โกหก
ตี้ฝูอีสูดหายใจเฮือกหนึ่ง
“ได้ เจ้าถามมา!”
“เจ้าคือเสิ่นเนี่ยนโม่บุตรแห่งเทพมารใช่หรือไม่?”
“ใช่!”
“ปีนี้เจ้าอายุเจ็ดขวบใช่ไหม?”
“ใช่ แต่ข้าเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่สามขวบแล้ว!”
“เจ้ากับข้ามิใช่เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ จริงๆ แล้วข้าเป็นคนรุ่นเดียวกับบิดามารดาเจ้าใช่ไหม?”
“พวกเราไม่ใช่เหมยเขียวม้าไม้ไผ่จริงๆ แต่บิดามารดาข้าล้วนอายุหลักหมื่นปีแล้ว ส่วนเจ้าเพิ่งสองร้อยกว่าปี เจ้าคิดว่าเป็นคนรุ่นเดียวกับพวกเขาได้ไหมล่ะ?”
ตี้ฝูอีตอบเสียงหนัก มองใบหน้าที่ซีดขาวของนาง เอ่ยเสริมอีกประโยคหนึ่ง
“แน่นอน วรยุทธ์เจ้าบรรลุขั้นซ่างเซียน เกือบถึงขั้นซ่างเสิ่นแล้ว นับว่ามีศักดิ์ทัดเทียมกับพวกเขา”
ทุกอย่างล้วนตรงตามที่อวิ๋นเยียนหลีบอก ยิ่งถามหัวใจกู้ซีจิ่วก็ยิ่งจมดิ่งลงเรื่อยๆ และมีโทสะขึ้นเรื่อยๆ!
จากนั้นก็สูดหายใจอีกครั้ง
“พวกเราไม่ได้มีสัญญาหมั้นหมายอันใดกันใช่หรือไม่?!”
ตี้ฝูอีชะงักไปครู่หนึ่ง
“ใช่…”
ที่ดินแดนเบื้องบนถึงแม้นางจะถูกผู้อื่นว่าขานอยู่ไม่ขาดปาก บอกว่าต้องการลักตัวเขาไปเป็นสามีวัยขบเผาะ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงเรื่องล้อเล่น ในงานเลี้ยงที่แท่นสระหยกนางได้พูดทุกอย่างไว้กระจ่างแล้ว
นิ้วมือกู้ซีจิ่วที่อยู่ในแขนเสื้อสั่นระริกอยู่บ้าง
“เช่นนั้นเหตุใดอยู่ที่นี่เจ้าถึงบอกว่าตนเป็นคู่หมั้นของข้า?!”
ทำให้เธอประเคนตัวเองให้ถึงหน้าประตูจนก่อเรื่องผิดพลาดมหันต์เข้า!
ตี้ฝูอียิ้มอย่างเศร้าสร้อย
“เพราะข้าชอบเจ้า ชอบจนไม่อาจห้ามตัวเองได้…”
————————————————————————————-
[1] พุทธองค์ตรัส (佛说 fú shuō) ขับร้องโดย เหอเฉิงหมิง เป็นบทเพลงร่วมสมัยที่เคยโด่งดังในอดีต