ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 2286+2287
บทที่ 2286 เข้าอาณาจักรมาร 8
กู้ซีจิ่วตอบไปส่งๆ ว่า
“ที่นี่แปลกหูแปลกตา เที่ยวเล่นสักสองสามวันก่อนค่อยว่ากัน”
หลังจากเธอเข้ามาในเมืองก็ใช้เวทวิชาจับสัมผัสกลิ่นอายของตี้ฝูอี ผลคือสัมผัสถึงไม่ได้เลย
หรือตี้ฝูอีไม่ได้อยู่ในเมือง?
เธอตามหาผิดทิศทางแล้วหรือเปล่า?
หรือในตัวเมืองของอาณาจักรมารแห่งนี้จะมีกลไกประเภทที่ปกปิดกลิ่นอายไว้ได้โดยเฉพาะ จึงปกปิดกลิ่นอายบนร่างเขาได้?
ไม่ง่ายเลยกว่าเธอจะเข้ามาได้ ย่อมไม่ยอมถอดใจกลับไปมือเปล่า ต้องตรวจสอบดูให้ดีก่อนแล้วค่อยว่ากัน
หลัวเจิ้งกลับเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“ซวี่เยวี่ย เจ้าลืมหรือ? คนนอกอยู่ที่อาณาจักรมารได้ไม่เกินสิบสองชั่วยาม พอผ่านไปสองวันชุดกันเพลิงบนร่างก็จะเสื่อมฤทธิ์ พวกเราจะถูกเพลิงอนธการของที่นี่เผาเป็นเถ้าธุลี”
มีแบบนี้ด้วยเหรอ?!
เช่นนั้นเธออยู่ที่นี่ได้อีกแค่สามสี่ชั่วยามก็ต้องรีบออกไปแล้วหรือ?
ไม่ถูกสิ เธอพกชุดกันเพลิงมาสองชุด รั้งอยู่ได้วันกว่าๆ…
เธอจึงยิ้มแวบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า
“ข้าไม่อาจกลับไปมือเปล่าได้ จะอย่างไรก็ต้องหาทางเจรจาซื้อขายให้ได้”
หลัวเจิ้งเป็นชายชาตรีผู้กระตือรือร้น เขาพยักหน้าแล้วพูดขึ้นว่า
“ได้ ตอนบ่ายข้าจะไปขายหมาป่าเงินตัวนี้เป็นเพื่อนเจ้า ทางตะวันตกของเมืองนี้มีตลาดค้าสัตว์วิญญาณอยู่แห่งหนึ่ง พวกเราลองไปเสี่ยงโชคที่นั่นดูเถิด”
กู้ซีจิ่วกระแอมคราหนึ่ง
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวข้าไปคนเดียวจะสะดวกกว่า”
อีกอย่างเธอก็ไม่ได้คิดจะขายหมาป่าเงินตัวนี้จริงๆ ย่อมไม่คิดจะไปที่ตลาดค้าสัตว์วิญญาณอะไรนั่น
ยามนี้เป็นช่วงเที่ยงวัน เนื่องจากก่อนหน้านี้กู้ซีจิ่วช่วยหลัวเจิ้งต่อรองราคา ทำให้หลัวเจิ้งขายได้เงินมากขึ้น หลัวเจิ้งซาบซึ้งในตัวเธอ จึงเชิญเธอไปเลี้ยงอาหารที่เหลาสุราข้างๆ สักมื้อ
กู้ซีจิ่วย่อมตอบรับอย่างยินดี ร้านอาหารเหลาสุราเป็นแหล่งรวมข่าวสาร บางทีเธออาจจะได้ข่าวคราวบางอย่างจากบทสนทนาของกลุ่มคนก็เป็นได้
หลัวเจิ้งหาใช่ผู้มั่งมีอันใด ย่อมเชิญไปเลี้ยงในห้องรับรองส่วนตัวไม่ได้ ทั้งสองจึงหาที่แห่งหนึ่งในห้องโถงใหญ่
ในเหลาสุรามีคนมากมาย คนที่มาจากโลกภายนอกมีน้อยนิด ส่วนใหญ่เป็นชาวเผ่ามาร
โชคดีที่ผู้คนของที่นี่มิได้ต่อต้านระรานคนนอก และไม่ได้ใส่ใจพวกกู้ซีจิ่วทั้งสองเช่นกัน
ทว่าหมาป่าเงินตัวน้อยที่ติดตามอยู่ด้านหลังเธอกลับดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ไม่น้อยเลย โดยเฉพาะพวกเด็กสาวๆ เหล่านั้น ที่มีความรู้สึกชมชอบ ชิดเชื้ออาทรกับสิ่งมีชีวิตขนปุกปุยมาตั้งแต่เกิด ด้วยเหตุนี้จึงมีคนไม่น้อยเข้ามาหยอกล้อเจ้าหมาป่าน้อย
หมาป่าน้อยเย่อหยิ่งนัก ไม่สนใจการหยอกล้อของเด็กสาวพวกนี้เลย เพียงก้มหน้ากินอาหารของตนอย่างจดจ่อ
และเห็นได้ชัดว่ามันฟังภาษาคนรู้เรื่อง ซ้ำท่าทางยามที่เชิดหัวอย่างเย่อหยิ่งก็น่าเอ็นดูยิ่ง ดังนั้นจึงมีบางคนเข้ามาสอบถามว่าหมาป่าเงินตัวนี้ขายหรือไม่?
กู้ซีจิ่วบอกราคาไปอย่างไม่อนาทรร้อนใจ…
ด้วยเหตุนี้ เด็กสาวเหล่านี้จึงพากันถอยกรูดไปอีกครั้ง…
มีเด็กสาวคนหนึ่งโมโหขึ้นมา ก่อนจะจากไปได้เอ่ยขึ้นประโยคหนึ่ง
“ก็แค่หมาป่าเงินตัวหนึ่งเท่านั้น ตั้งหนึ่งแสนกษาปณ์มาร! ทำไมเจ้าไม่ปล้นกันไปเลยล่ะ?!”
กู้ซีจิ่วเพียงทำหูทวนลมเสีย ตั้งใจกินข้าว
หลัวเจิ้งถอนหายใจ
“ซวี่เยวี่ย ราคานี้ของเจ้าสูงเกินไปแล้วจริงๆ…”
“ไม่เป็นไรหรอก สัตว์วิญญาณจะติดตามเพียงผู้ที่มีวาสนา”
กู้ซีจิ่วยิ้มน้อยๆ
หลัวเจิ้งจึงพูดอะไรไม่ออกแล้ว
กู้ซีจิ่วกินข้าวพลางตั้งใจฟังเสียงพูดคุยของคนรอบข้างไปด้วย ล้วนเต็มไปด้วยเสียงยกย่องเทิดทูนคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของท่านราชันย์มารผู้นี้…
ชัดเจนยิ่งนัก ประชาชนของที่นี่เคารพรักยำเกรงท่านราชันย์มารอยู่อย่างยิ่ง ยามที่พูดคุยกันก็ไม่กล้าเอ่ยถึงพระนามของราชันย์มารเลยสักนิด เพียงเรียกว่าท่านราชันย์เช่นนั้นเช่นนี้
จากบทสนทนาของพวกเขา กู้ซีจิ่วจึงทราบว่าวันพรุ่งนี้คือวันเฉลิมพระชนมพรรษาขององค์หญิงน้อยพระขนิษฐาของราชันย์มาร ร่ำลือกันว่าจะมีการเฉลิมฉลองทั้งเมือง ในเมืองกำลังดำเนินการเรื่องนี้อย่างยิ่งใหญ่
และท่านราชันย์มารผู้นั้นก็ทุ่มเทกายใจเพื่อจัดเตรียมของขวัญวันเกิดให้แก่พระขนิษฐา ร่ำลือกันว่าออกจากเมืองไปเสาะหาของขวัญวันเกิดที่ตรงใจด้วยตัวเองแล้ว
————————————————————————————-
บทที่ 2287 ราชันย์มาร
หลัวเจิ้งเสียใจอยู่บ้าง
“มิน่าเล่าทั้งเมืองถึงได้ตกแต่งด้วยสีแดงอันเป็นมงคล ท้องถนนก็ชะล้างจนสะอาดสะอ้านเช่นนี้ ที่แท้ก็เป็นงานฉลองวันเกิดขององค์หญิงน้อย งานนี้ช่างยิ่งใหญ่นัก! เพียงน่าเสียดายพวกเราจะต้องออกจากที่นี่ในคืนนี้แล้ว มิเช่นนั้นคงได้ร่วมชมความครื้นเครงแล้ว”
กู้ซีจิ่วเม้มปากจิบสุราอึกหนึ่ง ขณะที่กำลังจะเอ่ยวาจา จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงอึกทึกดังขึ้นมา มีเสียงตะโกนแว่วมาแต่ไกล
“ท่านราชันย์มารกลับเมืองแล้ว!”
หัวใจกู้ซีจิ่วเต้นกระหน่ำขึ้นมาสองสามจังหวะ!
เธออยากเห็นว่าราชันย์ผู้นี้มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ใดกันแน่?!
ภายในห้องโถงมองไม่เห็นทิวทัศน์ด้านนอก ขณะที่กู้ซีจิ่วกำลังจะหาข้ออ้างออกไปดู
กลับเห็นคนรอบข้างพากันลุกออกจากที่นั่ง
“หวา ท่านราชันย์มารกลับมาแล้ว!”
“รีบไปต้อนรับ! รีบไปต้อนรับเร็ว!”
“ดีเหลือเกิน! ช่างดีเหลือเกิน! ไม่นึกเลยว่าออกมาครั้งนี้จะได้รับเสด็จการกลับมาขององค์ราชันย์ด้วย จะพลาดไม่ได้เด็ดขาด!”
เสียงคนฮือฮา พากันวิ่งออกไป
กู้ซีจิ่วนิ่งไปเล็กน้อย
เอาเถอะ เธอไม่จำเป็นต้องหาข้ออ้างอะไรแล้ว!
เธอติดตามฝูงชนที่หลั่งไหลออกไปนอกเหลาสุรา พบว่าถนนใหญ่ที่เดิมทีก็คึกคักจอแจอยู่แล้วมีคนเพิ่มขึ้นมามากกว่าเดิม! ฝูงชนหนาแน่นเบียดเสียด สามารถใช้คำว่าคลื่นฝูงชนมาบรรยายได้เลย
ถึงแม้คนจะมาก แต่ทุกคนต่างยืนอยู่สองฟากถนนด้วยตัวเองทั้งสิ้น จากนั้นมองไปทางต้นเสียงที่แว่วขึ้นมา
กู้ซีจิ่วก็มองไปยังทิศทางนั้นเช่นกัน
หัวใจพลันเต้นแรงขึ้นมาอีกครา!
ขบวนทหารม้ากองหนึ่งมุ่งหน้ามาแต่ไกล โอบล้อมรถม้าคันหนึ่งไว้ตรงกลาง
ไม่ทราบเช่นกันว่าตัวรถสร้างขึ้นจากวัสดุใด สีพื้นคือสีครามนภา บนรถม้าวาดเมฆาขาวกลุ่มใหญ่ไว้ สุริยันสีชาดสาดส่องดั้นเมฆา ส่วนล่างของรถม้าวาดมหาสมุทรที่มีคลื่นซัดถาโถม เหนือสมุทรมีนกนางนวลเหินร่อน
หลังคารถม้าดุจยอดบรรพต มีกระดิ่งทรงโบราณแขวนอยู่สี่มุมโยกไกวไปตามตัวรถม้า เกิดเสียงกรุ๊งกริ๊งเสมือนจังหวะบรรเลงแว่วขึ้นอยู่ไม่ขาด
รถม้าคันนี้ลากด้วยอาชาเวหาที่ห้อทะยานสี่ตัว อาชาสูงใหญ่ล่ำสัน อานเป็นอานหยกขจี ส่องประกายอยู่ใต้แสงตะวันดุจระลอกคลื่น
เห็นได้ชัดว่าเหล่าทหารขุนพลมารเหล่านี้ต่างได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เคลื่อนไหวเป็นระเบียบแบบแผน ทุกอากัปกริยาล้วนแฝงความห้าวหาญดิบเถื่อนของนักรบเอาไว้ ทั้งกองทหารสร้างความกดดันมหาศาลให้แก่ผู้คน
ม่านรถห้อยลู่ ตัวคนนั่งอยู่ในรถม้า คนข้างนอกไม่มีทางมองเห็นสภาพด้านในรถม้าได้เลย
“องค์ราชันย์มาร!”
“ถวายบังคมท่านราชันย์มาร!”
เมื่อคนกลุ่มนี้ปรากฏตัวขึ้น ฝูงชนที่อยู่รอบข้างก็ตะโกนแซ่ซ้องคุกเข่าทำความเคารพ
การคุกเข่าทำความเคารพของคนเหล่านั้นเฉกเช่นยามที่มนุษย์ทำความเคารพเมื่อพบเห็นเทพเซียน เป็นอารมณ์ที่ปะทุขึ้นมาตามธรรมชาติอย่างหนึ่ง
ไม่ใช่แบบเดียวกับที่เย่หลิงบังคับคนในเมืองให้คุกเข่าแก่เขา
จำพวกแรกคือคนที่ยินยอมเต็มใจ เป็นการแสดงออกถึงความเคารพรักอย่างหนึ่งของประชาชน
จำพวกหลังคือถูกบีบบังคับ ต้องคุกเข่าต้อนรับอย่างอับจนหนทาง
เสียงตะโกน เสียงแซ่ซ้อง ปานคลื่นพายุ สะเทือนปฐพี ราวกับจะสูบกลืนผู้คนได้
กู้ซีจิ่วปะปนอยู่ในฝูงชน รู้สึกว่าถูกสะเทือนจนหูแทบหนวกแล้ว
เด็กน้อยที่อยู่ในเข่งสะพายหลังเธอก็โผล่หัวเล็กๆ ออกมา ขมวดคิ้วกระจิดริดมองออกไปด้านนอกด้วยนัยน์ตาปรือปรอย
ส่วนหมาป่าน้อยตัวนั้น เจ้าตัวน้อยคล้ายเกรงว่าจะถูกทิ้ง จึงตามติดอยู่ข้างกายกู้ซีจิ่วชนิดก้าวต่อก้าว ไม่ยอมช้าไปแม้แต่ก้าวเดียว
ด้วยศักดิ์ฐานะของกู้ซีจิ่วแล้ว เธอไม่คิดจะคุกเข่าให้ผู้ใดและไม่มีใครมาขอให้คุกเข่าลงไปดังนั้นเธอจึงยืนมองความอึกทึกครึกโครมอยู่ที่มุมกำแพง
หลัวเจิ้งที่อยู่ข้างๆ เธอสะกิดเธออยู่หลายที เธอก็แค่ทำเป็นไม่รับรู้
เธอเบิกตามองเข้าไปในรถม้า แต่รถม้าคันนั้นปิดไว้หนาแน่ ม่านรถก็ทึบอย่างยิ่ง เธอไม่เห็นแม้แต่มุมชุดของคนที่อยู่ในรถด้วยซ้ำ