ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 2297 จากไป 1
กู้ซีจิ่วถูกประโยคนี้ตอกใส่จนหน้าคล้ำแล้ว
เธอหลับตาลงเล็กน้อย เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง เธอก็ยิ้มนิดๆ
“ไม่เกี่ยวกับข้าจริงๆ นั่นแหละ เป็นข้าถามมากไปเอง ขอโทษยิ่งนักที่มารบกวนพวกเจ้า ขออวยพรให้อนาคตพวกเจ้ามีแต่ความสุขสมหวัง ลาก่อน!”
เธออยู่ที่นี่ต่อไม่ได้แล้ว ใช้วิชาเคลื่อนย้ายไปทันที เงาร่างหายลับไปในชั่วพริบตา
ภายในบ่อน้ำร้อนกลับสู่ความสงบอีกครั้ง ตี้ฝูอียืนอยู่ในน้ำ ในอากาศคล้ายยังมีกลิ่นหอมจางๆ จากร่างนางอวลอยู่แต่เขารู้ดี นางจะไม่มาอีกแล้ว!
เขายืนอยู่ในน้ำเนิ่นนานจู่ๆ ก็รู้สึกหมดเรี่ยวแรง…
เลือกจะปล่อยวางแล้วชัดๆ รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้ผูกสมัครรักใคร่เขาสักเท่าใดชัดๆ แต่พอเห็นนางจากไปเช่นนี้ หัวใจเขายังปวดร้าวยิ่งนัก…
นางมีร่างเซียนบริสุทธิ์ ต่อให้มีชุดกันเพลิงและหญ้ายืนเยาว์มากพอ นางก็ไม่อาจรั้งอยู่ที่อาณาจักรแห่งนี้ไปตลอดได้ นอกเสียจากจะเปลี่ยนร่างแบบย่วนย่วน…
เมื่อประสบเรื่องนี้ นางคงจะจากไปอย่างรวดเร็วยิ่งกระมัง? ถึงแม้โลกภายนอกจะเลวร้ายยิ่งนัก แต่ก็ยังเหมาะกับนางมากกว่า…
…
ความเร็วในการเคลื่อนย้ายของกู้ซีจิ่วว่องไวยิ่ง ซ้ำเธอยังเร่งร้อนนัก ตอนที่เคลื่อนย้ายเลยไม่ได้คำนวณระยะทางเลย เคลื่อนย้ายไปชนกับต้นไม้ต้นหนึ่งเข้าอย่างจัง ชนจนเธอเวียนหัวตาลาย เซถอยไปหลายก้าว…
เธอจึงนั่งลงบนหินก้อนหนึ่งเสียเลย ความเจ็บปวดตรงหน้าผากแจ่มชัด ทว่าดวงตากลับแสบร้อน ทำให้เธอน้ำตาไหล
เธอขยี้ตา ทว่าขยี้แล้วกลับเปรอะคราบน้ำ เธอหลุบตามองน้ำบนมือ สายตายังคงพร่ามัวอยู่
ในใจเธอฝาดเฝื่อนอย่างยิ่ง ราวกับมีสายน้ำเชี่ยวกราก เธอไม่อยากร้องไห้ เพราะเธอคิดมาเสมอว่าการร้องไห้คือสัญลักษณ์ของคนอ่อนแอ ทว่าตอนนี้กลับควบคุมไม่ได้อยู่บ้าง…
เธอจึงเงยหน้ามองฟ้าเสียเลย! ได้ยินมาว่าจะทำให้น้ำตาไหลย้อนกลับได้…
แต่ว่า…ไม่ได้ผลเลย!
น้ำตายังไหลรินปานเขื่อนแตก ไหลไปตามขนตาแล้วหยดลงมา ควบคุมไม่ได้เลย!
สุดท้ายเธอจึงใช้สองมือปิดหน้าไว้ ซุกหน้าลงตรงหัวเข่า…
โชคดีที่บริเวณนี้อยู่ห่างไกลยิ่ง รอบข้างไม่มีใครย่างกรายผ่านเลย ไม่มีใครเห็นสภาพที่น่าสังเวชของเธอ…
เธอนั่งขดตัวเหมือนดักแด้อยู่ตรงนั้นถึงครึ่งชั่วยามเต็ม ท้ายที่สุดถึงสามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้
เธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ร่างกายพลันแข็งค้าง
บนต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลจากเบื้องหน้าเธอ มีชายในชุดสีมรกตคนหนึ่งนั่งชันเข่าเท้าคางอยู่บนแขนงไม้เล็กๆ กิ่งหนึ่ง บนหน้าเขาสวมหน้ากากทรงผีเสื้อหลากสีที่ดูฉูดฉาดยิ่งนักไว้
หน้ากากผีเสื้อของเขาค่อนข้างประหลาด บดบังไว้เพียงสันจมูกโด่งและดวงตาข้างหนึ่ง ทว่าเปิดเผยดวงตาอีกข้างออกมาอย่างสมบูรณ์ รูปตางดงามยิ่งนัก เป็นนัยน์ตาดอกท้อที่ใสกระจ่างประเภทนั้น ดวงตาหยีโค้ง ถึงไม่ยิ้มก็เจือแววยิ้มหัวไว้แล้วสามส่วน
ริมฝีปากอวบอิ่ม มุมปากหยักขึ้นนิดๆ เป็นทรงกระจับ
คนผู้นี้หน้ายิ้มโดยกำเนิด ยามนี้นั่งอยู่ตรงนั้น มองดูกู้ซีจิ่วอย่างสนอกสนใจ ราวกับกำลังชมละครอยู่ก็มิปาน
เมื่อเห็นกู้ซีจิ่วเงยหน้า ทั้งสองสบตากัน มุมปากเขายิ่งหยักลึกกว่าเดิม
“แม่นางน้อย ที่แท้เจ้าก็ร้องไห้อยู่ ท่าทางตอนร้องไห้ของเจ้าน่ามองโดยแท้! ทำไมไม่ร้องต่ออีกหน่อยล่ะ?”
น้ำเสียงเขาก็มีเสน่ห์ดึงดูดยิ่ง หางเสียงคล้ายแฝงตะขอน้อยๆ ไว้ เกี่ยวใจคนให้คับยุบยิบ
กู้ซีจิ่วเม้มปากนิดๆ โลกนี้วิปริตนัก ทว่าอาณาจักรมารกลับวิปริตยิ่งกว่า ยามนี้พอได้พบอีกคนก็ไม่ประหลาดใจแล้ว
เธอคร้านจะใส่ใจคนโรคจิตชุดเขียวปี๋ผู้นี้ จึงจัดการร่างกายตนเสีย
เสื้อผ้าบนร่างเธอยังคงเปียกโชกอยู่ เส้นผมก็ชุ่มลีบติดหนังศีรษะ สภาพน่าสังเวชอย่างยิ่ง
เธอยกมือใช้วิชาเป่าร่างให้แห้งสนิท รวบผมเข้ามารวมกัน แล้วค่อยๆ หวีสาง ทำให้ตัวเองเอี่ยมอ่องอีกครั้ง!
ในที่สุดชายชุดมรกตผู้นั้นก็มามองอยู่ด้านข้างเธอแล้ว เมื่อเห็นเธอจัดการตัวเองเรียบร้อย ก็ผิวปากทีหนึ่ง
“แม่นางน้อย วรยุทธ์ของเจ้าไม่เลวเลยนะ! ยังมีอีก หนังหน้านี้ที่เจ้าสร้างขึ้นก็เยี่ยมมาก เหมือนของจริงเลย!”
กู้ซีจิ่วนิ่งงัน
คนๆ นี้มองวิชาแปลงโฉมของเธอออกเหรอ?!
ต้องทราบก่อนว่าวิชาแปลงโฉมของเธอเข้าขั้นเทพแล้ว ยังไม่เคยมีใครมองการแปลงโฉมของเธอออกเลย…
ตอนนี้เธอไม่มีแก่ใจมาสนใจคนอื่น สายตากวาดมองรอบข้าง แยกแยะทิศทาง
นี่เธอเคลื่อนย้ายมาโผล่ที่ไหนกัน?
“นี่คือเขตชานเมืองทางทิศใต้ เป็นสถานที่อันงดงามยิ่ง แม่นางน้อยเจ้าคงมิได้หลงทางกระมัง?”
ชายคนนั้นกระโดดลงมาจากต้นไม้ ร่อนลงตรงหน้าเธอ
บนร่างเขามีกลิ่นหอมของต้นไผ่ กู้ซีจิ่วถอยหลังไปทันที พ่นลมออกจมูกเหยียดคำพูดของเขา
สถานที่แห่งนี้มีพฤกษาใหญ่อยู่ไม่กี่ต้น ใบไม้บนต้นเหมือนใบไผ่ที่เห้งเหี่ยวไปแล้ว หากมิใช่เพราะลำต้นของพฤกษาใหญ่เหล่านี้ล้วนล่ำสันเปี่ยมด้วยรอยยับย่น เธอแทบนึกว่านี่คือต้นไผ่กลายพันธุ์!
นอกจากพฤกษาใหญ่ไม่กี่ต้นนี้ รอบข้างล้วนเป็นวัชพืช ไม่มีพืชล้มลุกเลยสักต้น สถานที่เช่นนี้เรียกได้รกร้าง ไหนเลยจะมีความงดงาม?
ในใจกู้ซีจิ่วยังคงพะวงถึงหลัวเจิ้งที่ช่วยดูแลพ่อหนูน้อยกับหมาป่าเงินให้ตน เธอจากมานานมากแล้ว ไม่แน่ว่าหลัวเจิ้งอาจคิดว่าเธอทิ้งลูกหนีหายไปแล้วก็ได้…
เธอยังต้องหาหนทางช่วยเหลือเด็กคนนั้นตามหาครอบครัวด้วย…
ในเมื่อเป็นเรื่องที่รับปากผู้อื่นไว้แล้ว เธอก็ต้องหาวิธีทำให้สำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้นคือเด็กน้อยคนนั้นน่าเอ็นดูถึงเพียงนั้น เธอรู้สึกชมชอบเด็กน้อยคนนั้นขึ้นมาตามสัญชาตญาณ…
“แม่นางน้อย รูปโฉมดั้งเดิมของเจ้าก็งดงามอย่างยิ่ง ไยต้องแปลงโฉมอีก…”
ชายต้นไผ่คนนั้นก้าวเข้ามาใกล้กู้ซีจิ่ว สายตาที่มองพินิจเธอคล้ายมองดูงานศิลป์ชิ้นหนึ่ง
เพียงแต่ประโยคนี้ของเขากล่าวยังไม่ทันจบก็ต้องชะงักไป!
แม่นางน้อยผู้งดงามที่เมื่อกี้ยังยืนอยู่ตรงนี้หายไปในพริบตาเดียว…
หนีไปแล้ว!
ไม่น่าเชื่อว่าสาวน้อยจะไม่หลงเสน่ห์ตนหลบหนีไปเสียดื้อๆ เลย!
ปัญหาคือ เขาไม่เห็นเลยด้วยซ้ำว่าที่แท้แล้วอีกฝ่ายหนีไปได้อย่างไร!
ชายต้นไผ่ดึงพัดขนห่านอันหนึ่งออกมาเสียงดังพรึบ ดูคล้ายกับพัดประจำตัวของจูเก่อเหลียง ในดวงตาดอกท้อใสกระจ่างข้างนั้นทอแววสนอกสนใจยิ่ง…
กู้ซีจิ่วตรงกลับไปที่เหลาสุราแห่งนั้น
นับตั้งแต่เธอจากเหลาสุรามาจนถึงยามนี้ยังไม่ถึงหนึ่งชั่วยามเลย หลัวเจิ้งผู้นั้นเที่ยงธรรมและรักษาคำพูดยิ่ง น่าจะยังรอเธออยู่ที่นั่น…
สิ่งที่เธอคาดไม่ถึงคือ พอเธอกลับไปถึงเหลาสุราก็ได้ยินเรื่ององค์หญิงน้อยซื้อหมาป่าเงิน…
จากถ้อยคำของแขกพวกนั้น เธอทราบว่าองค์หญิงน้อยแสดงบารมี ซื้อหมาป่าเงินในราคาหนึ่งแสนกษาปณ์มาร เนื่องจากพกตั๋วเงินมาไม่พอ จึงให้หลัวเจิ้งติดตามไป…
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว ถึงอย่างไรเธอก็เป็นคนคร่ำหวอดในวงการมาเนิ่นนานปานนี้ สัมผัสอันเฉียบแหลมรับรู้ได้ว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายแล้ว!
เธอคร้านจะใคร่ครวญมากมาย ร่ายวิชาหาตำแหน่งของหลัวเจิ้งทันที
แต่สัมผัสอยู่พักหนึ่ง กลับไม่มีความเคลื่อนไหวเลย
เธอนิ่วหน้า เมื่อปรากฏเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมีความเป็นไปได้อยู่สองกรณี
หนึ่ง หลัวเจิ้งไปจากอาณาจักรมารแล้ว สอง หลัวเจิ้งเกิดเรื่องแล้ว
ไปจากอาณาจักรมารไม่น่าจะเป็นไปได้ ถึงอย่างไรชุดกันเพลิงบนร่างหลัวเจิ้งก็ยังใช้งานได้อีกสี่ชั่วยาม แถมเขายังอยู่ในสถานการณ์ที่ยังไม่ได้คืนเด็กให้เธอด้วย ไม่มีเหตุที่เขาต้องรีบร้อนจากไป
เช่นนั้น เขาเกิดเรื่องขึ้นหรือ?
กู้ซีจิ่วสูดหายใจเบาๆ มุ่งหน้าไปที่จวนองค์หญิง
จวนองค์หญิงใหญ่โตโอ่อ่า ถึงแม้จะด้อยกว่าตำหนักราชันย์มาร แต่ก็ยังคงสง่างามเรียบง่าย หรูหราพองาม
หน้าประตูจวนองค์หญิงมียามอยู่แปดคน ยืนตระหง่านดุจต้นสน เคลื่อนไหวดั่งสายลม มองปราดเดียวก็รู้ว่าวรยุทธ์สูงยิ่ง