ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 2357 ราชันย์มารออกโรง 4 / บทที่ 2358 ราชันย์มารออกโรง 5
บทที่ 2357 ราชันย์มารออกโรง 4
ผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจ สถานการณ์ภายในสนามรบก็พลิกผันแล้ว เจ้าวังน้อยที่เป็นฝ่ายได้เปรียบมาโดยตลอดไม่น่าเชื่อว่าจะเสียเปรียบแล้ว ถูกท่าร่างประหลาดของจู๋ตู๋ชิงทำให้หมุนคว้างเป็นวง
คุณชายไผ่ขจีเป็นคนประเภทที่แม้เป็นเรื่องเล็กน้อยก็ต้องเอาคืนให้ได้ เขาโกรธที่เจ้าวังน้อยกรีดสาบเสื้อตรงอกเขาจนขาดยิ่งนักตลอดมา ทำให้เขาต้องโป๊เปลือย
ดังนั้นเขาจึงคิดจะทำให้อีกฝ่ายได้ลิ้มรสชาติแบบเดียวกันดู
ระหว่างที่ต่อสู้ในที่สุดเขาก็สบโอกาสทำเช่นนี้แล้ว พลันตะแคงกระบี่จ้วงใส่ เสียงดังฉึบ สาบเสื้อของเจ้าวังน้อยถูกเขากรีดให้ขาดออกแล้ว
ก่อนหน้านี้คุณชายไผ่ขจีถูกกรีดเสื้อขาดเป็นรูกว้างหนึ่งฉื่อ ดังนั้นพอคุณชายไผ่ขจีได้เอาคืนจึงคิดดอกเบี้ยด้วย กรีดเสื้อนางให้ขาดหนึ่งฉื่อครึ่ง ทำให้สาบเสื้อตรงหน้าอกนางขาดออกทั้งหมด
ผลคือ ปรากฏทิวทัศน์อันอะร้าอร่ามขึ้น!
หน้าอกที่ถูกรัดเอาไว้ตลอดของเจ้าวังน้อยได้รับการปลดปล่อย ชูเด่นอยู่ท่ามกลางสายลม
คุณชายไผ่ขจีตกตะลึง
เจ้าวังน้อยแต่งกายเป็นบุรุษอยู่เสมอ กริยาอาการก็เหมือนบุรุษเช่นกัน ดังนั้นคุณชายไผ่ขจีจึงไม่เคยคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะเป็นสตรี
ทึ่มทื่อไปชั่วขณะ
สมุนที่เจ้าวังน้อยพามาก็เป็นบุรุษเช่นกัน พวกเขาก็น่าจะเพิ่งเคยเห็นตอนที่หัวหน้าตน ‘ใจโต’ เช่นนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกันทึ่มทื่อไปครู่หนึ่งเช่นกัน หันเหสายตาออกไปตามสัญชาตญาณ
เจ้าวังน้อยรีบบดบังสาบเสื้อเอาไว้ ใบหน้าพริ้มเพราเขียวคล้ำ เรือนกายไหววูบ พุ่งทะยานไปที่รถม้าทันที
“ใครอยู่ข้างใน?! ไสหัวออกมา!”
คุณชายไผ่ขจีรู้ว่ากู้ซีจิ่วใช้พลังวิญญาณไม่ได้ชั่วคราว พอเห็นก็ร้อนรนนัก พลันไหวกาย รีบพุ่งตามไปเช่นกัน!
เขาตกอยู่ภายใต้ความร้อนใจ จึงซัดอาวุธออกไป เชือกเงินเส้นหนึ่งพลันพุ่งออกมาจากแขนเสื้อ ออกตัวทีหลังแต่แผลงฤทธิ์ก่อน รัดพันเสื้อของเจ้าวังน้อยไว้ กระชากกลับมาอย่างรุนแรง
“กลับมา!”
‘แคว่ก!’
อาภรณ์ของเจ้าวังน้อยฉีกขาดหลุดลอยออกมา
ร่างของเจ้าวังน้อยยังอยู่กลางอากาศ เปล่าเปลือยแล้ว ทั้งตัวมีเพียงชุดตัวในผืนหนึ่ง
“วิปริต!”
พวงแก้มเจ้าวังน้อยแดงเถือก ตะคอกด้วยความโกรธ
คุณชายไผ่ขจีเซ่อไปแล้ว
เรื่องนั้น ถ้าเขาบอกว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ จะมีผู้ใดเชื่อหรือไม่?
ต่อให้เจ้าวังน้อยจะกล้าหาญชาญชัยปานใด ยามนี้ก็ไม่สนใจเอาชีวิตคนแล้ว ถอยร่นไปทันที เร้นกายเข้าไปในป่าทึบ เพียงแต่ก่อนที่เงาร่างจะหายลับไป นางยังทิ้งคำพูดที่เต็มไปด้วยความโมโหเอาไว้ด้วย
“สังหารพวกมันให้ข้าซะ! ฆ่าพวกมัน!”
สมุนอีกสี่คนที่เหลือต่างตอบรับ
“ขอรับ!”
สี่คนนี้เป็นลูกน้องคนสนิทที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเจ้าวังน้อย วรยุทธ์ก็ไม่ด้อยไปกว่าเจ้าวังน้อยมากนัก
แถมพวกเขาทั้งสี่ยังก่อตัวเป็นค่ายกลรูปแบบหนึ่งด้วย สี่คนพุ่งเข้าโจมตีรถม้าจากสี่ทิศทาง
ชัดเจนยิ่งนัก พวกเขาก็ทราบเช่นกันว่าในรถม้าคันนี้มียอดฝีมือหลบซ่อนอยู่…
ต่อให้คุณชายไผ่ขจีมีวรยุทธ์เลิศล้ำปานใด ก็ต้านทานคนสี่คนในคราวเดียวไม่ได้ เข้าตาจนแล้ว
จู่ๆ ก็มีเสียงขลุ่ยสายหนึ่งแว่วลอยลมมา เสียงขลุ่ยกระจ่างวังเวง ดั่งคลื่นสมุทรที่ซัดสาดมาเป็นระลอกๆ
ต้นไม้ที่อยู่รอบๆ รับรู้ถึงเสียงขลุ่ย เกิดเสียงดังแซ่กๆ ปลิดปลิวไปตามทำนองขลุ่ย หมุนวนอยู่ในอากาศ พัดวนจนกลายเป็นปราการใบไม้เขียวขจี หมุนเข้าหาสมุนทั้งสี่
สมุนทั้งสี่ตกตะลึง พากันออกกระบวนท่ารับมือกับปราการสีเขียวที่ลอยเข้ามา…
ใบไม้ในปราการสีเขียวดุจอาวุธลับที่คมกริบ หากมีใครถูกปราการครอบเอาไว้ จะถูกใบไม้ที่อยู่ด้านในทิ่มแทงจนพรุนแน่!
“ราชันย์มาร!”
“เป็นค่ายกลขลุ่ยอสุราของราชันย์มาร!”
สมุนสี่คนนี้ก็นับว่ารู้ความอยู่เช่นกัน จดจำได้ทันที
กล่าวกันว่าตอนที่อาณาจักรมารอสุรามีการต่อสู้ชิงอำนาจกันอยู่ สิ่งที่ราชันย์มารเชี่ยวชาญที่สุดก็คือค่ายกลขลุ่ยอสุรานี้ ไม่ทราบว่ามีชาวมารที่เป็นปฏิปักษ์กับเขามากน้อยเพียงใดแล้วที่ต้องปราชัยในค่ายกลนี้
คนของอวิ๋นเยียนหลีย่อมเคยได้ยินมาก่อน ยามนี้ในที่สุดก็จดจำได้ด้วยการมองเพียงแวบเดียว
สีหน้าของคุณชายไผ่ขจีก็แปรเปลี่ยนเล็กน้อยเช่นกัน
หันไปมองตามทิศทางที่เสียงขลุ่ยแว่วมาตามสัญชาตญาณ
————————————————————————————-
บทที่ 2358 ราชันย์มารออกโรง 5
เห็นรถม้าคันหนึ่งเหินนภาอยู่ไกลๆ ตัวรถม้าเป็นสีเงินยวง สัตว์ที่ลากรถคืออาชาสวรรค์ที่กางปีกสยายตัวหนึ่ง ด้านหน้าตัวรถมีชายผู้หนึ่งยืนอยู่
อาภรณ์แดงดุจแสงอรุโณทัย ณ ปลายขอบฟ้า เกศาดำปลิวไสวดุจม่านน้ำตก สวมหน้ากากอันหนึ่งไว้ ขลุ่ยจรดอยู่ข้างริมฝีปากแดงสด ยืนย้อนแสงอยู่ ทำให้คนมองเห็นรูปลักษณ์ไม่ชัดเจน มองเห็นเพียงเงาร่างที่มีรัศมีสีเงินโอบล้อม
ราชันย์มารมาถึงแล้วจริงๆ!
ทันทีที่จู๋ตู๋ชิงมองเห็นเขา ก็รู้สึกเจ็บซี่โครงตนขึ้นมา!
เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมาด้วยจุดประสงค์ใดกันแน่ ดังนั้นพอเห็นเขามาปฏิกิริยาแรกก็คือหนี!
จู๋ตู๋ชิงไม่สนใจอะไรแล้ว โบกมือเปิดใช้ประตูไปไหนก็ได้ทันที…
แล้วผิวปากทีหนึ่ง ลาตัวนั้นกู่ร้องเสียงยาว ลากรถม้าคันนั้นกระโจนเข้าประตูไป จู๋ตู๋ชิงย่อมแทรกกายเข้าไปด้วยเช่นกัน…
สมุนสี่คนนั้นกำลังสาละวนกับการรับมือปราการพิฆาตสีเขียวอยู่ ย่อมไม่สามารถปลีกตัวมาขัดขวางได้ ได้แต่เบิกตามองรถม้าคันนั้นรวมถึงจู๋ตู๋ชิงหายลับเข้าไปในบานประตูพร้อมกัน
สมุนสี่คนนั้นต่อสู้อย่างสุดชีวิตอยู่พักหนึ่ง…
ในที่สุดก็รอดพ้นจากปราการพิฆาตแล้ว มองไปยังทิศทางที่อยู่ไกลออกไปแวบหนึ่ง
ในจุดที่ไกลออกไปมีเพียงลมฟ้าอากาศ ไหนเลยจะยังมีรถม้าคันนั้นอยู่อีก? แม้แต่เสียงขลุ่ยก็ไม่รู้ว่าหายไปตั้งแต่ตอนไหนแล้ว
ทั้งสี่คนมองหน้ากันเหลอหลา
ในที่สุดเจ้าวังน้อยที่ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์แล้วก็ออกมาจากป่าทึบ
ทั้งสี่คนจึงรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ต่อนาง
เจ้าวังน้อยขมวดคิ้ว
คนของอาณาจักรมารไม่เคยเผยโฉมในแดนมนุษย์ง่ายๆ ไม่น่าเชื่อว่าหนนี้ราชันย์มารออกโรงด้วยตัวเอง เพื่ออะไรกันแน่?
มีแผนร้ายอะไรหรือเปล่า?
….
ณ เชิงเขาแห่งหนึ่ง
บนเชิงเขามีทุ่งหญ้าเขียวชอุ่ม มีลำธารสายหนึ่งไหลรินผ่านเชิงเขา
จู๋ตู๋ชิงนั่งหอบหายใจอยู่บนพื้น หมดสภาพอย่างยิ่ง
ตอนที่เปิดประตูไปไหนก็ได้เมื่อครู่นี้ แทบจะสิ้นเปลืองพละกำลังของเขาไปครึ่งหนึ่งแล้ว ตอนที่ร่อนลงสู่พื้นเขาถึงขั้นที่ซวนเซไปเล็กน้อย แทบจะล้มหัวทิ่มแล้ว
ยามที่เจ้าลาตัวนั้นร่อนลงมากลับยืนได้มั่นคงดี จากนั้นมันก็มองเจ้านายของมันแล้วพ่นลมออกจมูก กวาดตามองเขาอย่างเหยียดหยามยิ่งนักแวบหนึ่ง แล้วเล็มหญ้าเขียวขจีบนพื้นกินด้วยตัวเอง
กู้ซีจิ่วลงมาจากรถม้า มองจู๋ตู๋ชิง ยื่นผลไม้ลูกหนึ่งให้เขา
“เอ้า พักหายใจเสียหน่อย กินแล้วจะชุ่มคอ”
จู๋ตู๋ชิงกัดเสียงดังกร้วมคำหนึ่ง คงจะรู้สึกแล้วว่าท่าทางเช่นนี้ของตนดูเสียภาพลักษณ์ จึงลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ปัดชายชุด จัดทรงผม จากนั้นก็ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามกู้ซีจิ่ว
“เจ้าว่า ราชันย์มารตามพวกเรามาหรือเปล่า? มารดามันเถอะ คงมิใช่ว่าเขายังล้างแค้นไม่พอ ยังคิดจะมาต่อสู้กับข้าอีกสามร้อยยกกระมัง?”
กู้ซีจิ่วก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าครั้งนี้ตี้ฝูอีมาเพราะอะไร เธอจึงไม่คิดเสียเลย เลี่ยงไม่ให้คิดมากจนฟุ้งซ่านอีก
“บางทีเขาอาจจะมีกิจธุระอย่างอื่นก็ได้ เห็นพวกเรากำลังลำบากพอดี เลยสอดมือเข้าช่วยเหลือกระมัง?”
เห็นได้ชัดว่าจู๋ตู๋ชิงไม่เชื่อ
“เขาจะใจดีขนาดนี้ได้อย่างไร? ปกติแล้วเจ้าคนผู้นี้กระทำการโหดเหี้ยมนัก ข้ารู้สึกอยู่เสมอว่าเขาคงไม่มีเจตนาดี…”
“เอาเถอะๆ ไม่ต้องเดาให้วุ่นวายแล้ว ถึงอย่างไรพวกเราก็สลัดพวกเขาพ้นแล้ว ใช่แล้ว เจ้าหิวหรือยัง?”
แววตาจู๋ตู๋ชิงวูบไหวเล็กน้อย อันที่จริงเขาไม่หิวเลย
เพียงแต่เขาคาดหวังจะได้รับการเอาใจใส่จากกู้ซีจิ่ว…
ดังนั้นเขาจึงพยักหน้า
“หิวมาก”
จากนั้นก็มองกู้ซีจิ่วตาแป๋ว
เจ้าลาที่กำลังเล็มหญ้าอยู่ด้านข้างปรายตามองนายของบ้านมันอีกครั้ง
หิวหรือ หิวกับผีน่ะสิ! ปล้องไผ่อย่างเจ้าแค่ดูดซับแก่นปราณตะวันจันทราก็พอแล้ว! กินข้าวบ้าบออะไร! เอาเปรียบสาวน้อยที่มองร่างจริงของเจ้าไม่ออกชัดๆ…
กู้ซีจิ่วยิ้มน้อยๆ
“ชอบกินเนื้อย่างไหม? ข้าย่างเนื้อเก่งมากนะ”
จู๋ตู๋ชิงไม่มีความเกรงใจอย่างยิ่ง
“อยาก!”
จากนั้นก็ตบเจ้าลาทีหนึ่ง
“ไปล่าสัตว์มา เอาหมูกับกระต่ายมาสักสองสามตัว”
เจ้าลาจึงเตะเขาทันที!
ส่งลาตัวหนึ่งออกไปล่าหมู น้ำเข้าสมองเจ้าแล้วหรือไง?!
สายตากู้ซีจิ่วมองไปที่เจ้าลาแวบหนึ่ง
“เอ๊ะ มันล่าสัตว์เป็นด้วยหรือ? มีความสามารถขนาดนี้เชียว?!”
เจ้าลาจึงยืดอกเชิดคอกู่ร้องทีหนึ่ง แล้วหันหลังวิ่งออกไปเลย
งั้นท่านลาอย่างข้าจะไปล่าสัตว์ก็ได้! ท่านลาอย่างข้าก็เป็นลาที่มีความสามารถเช่นนี้แหละ…
…