ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 2447 กองหนุนที่ทรงพลัง 2 / บทที่ 2448 กองหนุนที่ทรงพลัง 3
บทที่ 2447 กองหนุนที่ทรงพลัง 2
ตี้ฝูอีหยิบยาลูกกลอนอีกเม็ดออกมาจากร่าง แล้วกลืนเข้าไป
“ยานี่ของเจ้าคือ?”
“ยาที่สามารถจัดระเบียบชีพจรที่ปั่นป่วนจากการถูกธาตุไฟเข้าแทรกอย่างรวดเร็วได้…”
มียาแบบนี้ด้วยเหรอ?
กู้ซีจิ่วเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก เธอยังคงไม่วางใจ
“แล้วมีผลข้างเคียงไหม?”
“มี ยานี้จะทำให้อาการเลวร้ายในร่างข้าหายเป็นปลิดทิ้ง แต่อีกครึ่งชั่วยามให้หลังจะปะทุขึ้นมาอีก…”
และจะปะทุรุนแรงยิ่งกว่าเดิมด้วย ซึ่งวาจาท่อนหลังนี้ตี้ฝูอีไม่ได้เอ่ยออกมา
หากมิใช่เข้าตาจนแล้ว ตี้ฝูอีก็ไม่คิดจะใช้ยานี้ ส่งผลเสียต่อร่างกายเขามหาศาลยิ่ง แต่ตอนนี้ไม่มีเวลามาสนใจแล้ว
อวิ๋นเยียนหลีเริ่มคลางแคลงแล้ว หากไม่เหนือไปจากที่คาดไว้ ในไม่ช้าเขาจะลงมือโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดแล้ว…
กู้ซีจิ่วเดินออกมาจากรถม้า อวิ๋นเยียนหลียังรออยู่นอกรถม้า ยืนเอามือไพล่หลัง คล้ายจะเหม่อมองไปไกล ดูสบายๆ ทว่าบนร่างกลับมีไอสังหารปกคลุมอยู่รางๆ
เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็หันกลับมา เลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ
“รักษาเขาเสร็จเร็วขนาดนี้เชียวหรือ?”
กู้ซีจิ่วหมุนขลุ่ยในมือ ตอบอืมคำหนึ่ง
“ข้าจะไปดูเขา!”
อวิ๋นเยียนหลีหันหลังหมายจะเข้าไป
กู้ซีจิ่วพลันยื่นขลุ่ยออกไป ขวางเขาไว้
“ไม่ต้องหรอก เขาต้องพักฟื้นอย่างสงบสักครู่ ไม่อยากให้มีใครไปรบกวนเขา”
อวิ๋นเยียนหลีมองสีหน้านาง แย้มยิ้มแล้วกล่าวว่า
“ได้ ล้วนฟังเจ้า”
สายตาร่อนลงบนขลุ่ยในมือนาง
“เจ้าเป่าขลุ่ยเป็นด้วยหรือ?”
“พอได้บ้าง”
กู้ซีจิ่วลองเสียงขลุ่ยดูเล็กน้อย
“หากไม่ใช่ว่าคุณชายฝูอีต้องการความสงบ ข้าคงขอให้เจ้าเป่าสักเพลงแล้ว”
“ไม่เป็นไร เสียงขลุ่ยกระจ่างชัด ถ้าบรรเลงบทเพลงที่เหมาะสมจะทำให้เขามีสมาธิมากขึ้น”
กู้ซีจิ่วตั้งท่า หมายจะเป่าบรรเลง
“ช้าก่อน!”
มือของหนึ่งของอวิ๋นเยียนหลีกดขลุ่ยนางไว้
กู้ซีจิ่วบรรเลงไม่สำเร็จ ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง หลบหลีกจากมือเขา
“ทำไมหรือ?”
อวิ๋นเยียนหลียิ้มนิดๆ หยิบขลุ่ยเลาหนึ่งออกมาจากร่าง
“ขลุ่ยเลานี้ของข้าสร้างจากไผ่นางสนม[1] เสียงดียิ่งนัก ขลุ่ยเลานี้เหมาะกับเจ้ามากกว่า”
กู้ซีจิ่วไม่รับไว้ มองเขาอย่างยิ้มมิเชิงยิ้ม
“นี่เจ้ารังเกียจว่าขลุ่ยเลานี้ของข้าไม่ดีพอหรือ?”
อวิ๋นเยียนหลีเอ่ยยิ้มๆ
“เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าแค่คิดว่าเสียงที่เจ้าบรรเลงออกมาจะต้องเป็นเสียงสวรรค์แน่ ใช้ขลุ่ยธรรมดาเกรงว่าจะเป็นการดูหมิ่นเจ้า…”
กู้ซีจิ่วหัวเราะเบาๆ มองขลุ่ยในมือ ขลุ่ยเลานี้ที่ตี้ฝูอีมอบให้เธอดูไม่ได้เรื่องเท่าไหร่จริงๆ
คล้ายจะเหลาขึ้นจากต้นไผ่ธรรมดา บนตัวขลุ่ยถึงขั้นที่ยังมีหน่อไผ่น้อยๆ อยู่ด้วย
เพียงแต่ ขลุ่ยเลานี้ที่ตี้ฝูอีมอบให้เธอจะมีต้องมีความนัยอยู่แน่ กู้ซีจิ่วย่อมไม่ยินยอมเปลี่ยน ริมฝีปากบางยกโค้งนิดๆ
“ข้าชอบขลุ่ยที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแบบดั้งเดิมมากกว่า…”
เธอควงขลุ่ยรอบหนึ่ง ไม่ทันระวังจับไว้ไม่มั่น ขลุ่ยจึงหลุดมือลอยหวือออกไป ร่วงลงไปข้างล่าง
อวิ๋นเยียนหลีพลันสะบัดแบนเสื้อ แบมืออก ขลุ่ยที่เกือบจะหล่นลงไปก็ลอยมาที่มือเขา
“ทำไมเจ้าไม่ระวังเลยล่ะ?”
อวิ๋นเยียนหลีบ่นอย่างไม่จริงจังประโยคหนึ่ง ตรวจสอบขลุ่ยไผ่ในมืออย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง ไม่พบความผิดปกติใดๆ
ขลุ่ยเลานี้เป็นขลุ่ยธรรมดาจริงๆเขาสบายใจแล้ว ยื่นขลุ่ยคืนให้
“ซีจิ่ว เจ้าอยากบรรเลงบทเพลงใด? ข้าบรรเลงประสานกับเจ้าได้นะ”
กู้ซีจิ่วลูบขลุ่ยเล็กน้อย เอ่ยออกมาไม่กี่คำ
“เก้าวิถีสวรรค์”
อวิ๋นเยียนหลีนิ่งไป
เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
กู้ซีจิ่วดูไม่ยี่หระยิ่งนัก ขลุ่ยก็เป็นขลุ่ยธรรมดา ความคลางแคลงของอวิ๋นเยียนหลีจึงลดลง ยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยว่า
“ได้ เจ้าเป่าเถอะ ข้าจะล้างหูรอฟัง”
กู้ซีจิ่วยิ้มหยันอยู่ในใจ เธอรู้ว่าขลุ่ยเลานี้ของตี้ฝูอีไม่ได้ซุกซ่อนลูกไม้ใดๆ ไว้ อย่างน้อยก็ดูไม่มีลูกไม้เล่ห์กล ก่อนจะออกมาเธอก็ตรวจสอบดูแล้ว
————————————————————————————-
บทที่ 2448 กองหนุนที่ทรงพลัง 3
เพื่อคลายความระแวงของอวิ๋นเยียนหลีเธอถึงได้จงใจแสร้งทำขลุ่ยหลุดมือ เธอรู้ว่าอวิ๋นเยียนหลีจะต้องฉวยโอกาสตรวจสอบแน่…
เสียงขลุ่ยค่อยๆ แว่วขึ้น เสียงขลุ่ยใสกระจ่างแว่วลอยไปตามลม ล่องอยู่ในชั้นเมฆา
กู้ซีจิ่วร้องเพลงเก่ง และเชี่ยวชาญเครื่องดนตรีสารพัดชนิด ถึงแม้ฝีมือการเป่าขลุ่ยของเธอจะสู้ตี้ฝูอีไม่ได้ แต่ก็ยอดเยี่ยมมากเช่นกัน
แววตาอวิ๋นเยียนหลีวูบไหวนิดๆ มองนางอยู่ตรงนั้น
นางยืนอยู่ตรงนั้น กระโปรงของนางร่อนรำไปตามสายลมที่พัดพา เสมือนภาพวาดน้ำหมึกของศิลปินใหญ่ท่านหนึ่ง ผู้ใดเล่าจะไม่มองด้วยสายตาตกตะลึง?
แววตาร้อนแรง แววตาร้าวรานวาบผ่านนัยน์ตาของอวิ๋นเยียนหลีแวบหนึ่ง…
เขาชอบนาง!
ต้องการครอบครองนาง!
เพียงแต่ตอนที่รู้จักกับนาง ถึงแม้ฐานะของนางจะไม่นับว่าสูงศักดิ์ แต่ก็อยู่เหนือบรรทัดฐานสังคม พลังยุทธ์ก็เลิศล้ำ มีรัศมีอย่างหนึ่งที่ทำให้คนไม่กล้าลบหลู่
ตอนที่เขาเป็นองค์ชายหลงนึกไปว่าคู่ควรกับนางแล้ว ดังนั้นจึงคอยเฝ้าอยู่ข้างกายนางเงียบๆ ทำนู้นทำนี่ให้นาง เพียงเพื่อให้นางหวั่นไหว…
กลับคาดไม่ถึงว่าจะมีวันที่โลกของเขาพลิกหมุนเปลี่ยนแปลง เขาตกอับกลายเป็นองค์ชายในราชวงศ์ก่อนที่ไม่มีผู้ใดไว้หน้า นางก็ไม่ได้รังเกียจเขาแถมยังช่วยเหลือเขาด้วย…
เป็นเพราะชอบเกินไปถึงได้รักอย่างระมัดระวัง เวลาที่อยู่กับนางเขาทำตัวลำเอียงเสมอ
เขาสามารถโหดเหี้ยมกับคนอื่น สงมืออย่างทารุณได้ มีเพียงนางเท่านั้นที่เขามักจะประคองไว้อย่างระมัดระวังเสมอ ไม่อยากให้นางเห็นด้านเลวร้ายใดๆ ของตนเลย…
มีคนกล่าวว่ายามที่ตกอยู่ในห้วงรัก สติปัญญาจะถดถอยลงไป ถึงขั้นที่ติดลบเลยด้วยซ้ำ
ตอนที่อวิ๋นเยียนหลีอยู่ต่อหน้ากู้ซีจิ่วก็มักจะประหม่าอยู่เสมอจริงๆ ถึงแม้สีหน้าจะสุขุมราบเรียบ แต่ความจริงแล้วเขาทำตัวไม่ถูกเลย เวลาจัดการเรื่องราวก็มักจะด้อยไปกว่าปกติประจำ…
ยกตัวอย่างเช่นวันนี้ อันที่จริงเขารู้นานแล้วว่าจิตใจของกู้ซีจิ่วไม่ได้อยู่ที่ตน เขาทุ่มเทอย่างสุดกำลังแล้ว นางก็ยังมองเขาเป็นเพียงสหายเท่านั้น
ถ้าอยากครอบครองนางก็ต้องบังคับ วันนี้เขาควรจะแย่งตัวนางมาไว้ข้างกายโดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งนั้น ฉวยโอกาสจากอาการบาดเจ็บของตี้ฝูอีลงมือกำจัดเขาทิ้งซะ…
เขารู้ว่าสมควรทำเช่นนี้ แต่พอเขาเห็นนาง เขาก็ทำไม่ลง ห่วงหน้าพะวงหลัง กังวลไปสารพัด…
กู้ซีจิ่ว เจ้าพร้อมใจชมชอบเด็กน้อยคนหนึ่งแต่ไม่ชอบข้าหรือ?
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเจ้าชอบคนที่ตายไปแล้วคนหนึ่ง เปลี่ยนใจเป็นอื่นได้รวดเร็วปานนี้เชียวหรือ?
ตอนนี้เขามีพลังยิ่งนักแล้วชัดๆ ฐานะก็ไม่ด้อยไปกว่านางแล้ว แต่ตอนที่เขามองนางก็ยังคงเงยหน้ามองด้วยความเคยชิน…
ความคิดสารพัดวนเวียนอยู่ในใจเขา ราวกับมีเพลิงกำลังลุกโชนอยู่ ลุกโหมจนปากคอเขาแห้งผาก…
นิ้วมือที่อยู่ในแขนเสื้อของเขากำแน่น คิดจะลงมืออยู่หลายครั้งทว่าไม่สามารถทลายอุปสรรคในใจตนได้…
บทเพลงสิ้นสุดลงแล้ว เสียงยังคงล่องลอยอ้อยอิ่ง
“เพลงดี!”
อวิ๋นเยียนหลีปรบมือชมเชย เบี่ยงหัวข้อสนทนา
“ซีจิ่ว เจ้าไม่คิดจะตามหาหวงถูต่อแล้วหรือ?”
กู้ซีจิ่วย่อมไม่บอกเขาเรื่องที่ตี้ฝูอีก็คือหวงถู ดังนั้นจึงเอ่ยอย่างคลุมเครือสองประโยค
“มีวาสนาก็จะตามหา ถ้าไร้วาสนาก็ไม่หาแล้ว”
พวกเขาเดิมก็เป็นคนเดียวกันอยู่แล้ว สิ่งที่แตกต่างกันเป็นเพียงความทรงจำเท่านั้น
ถึงอย่างไรเธอก็ลืมเลือนความทรงจำนั้นไปแล้วเหมือนกัน ดังนั้นต่อให้วันหน้าเขานึกไม่ออกก็ไม่เป็นไร
ด้วยเหตุนี้กู้ซีจิ่วจึงไม่บังคับเรียกร้องให้ตี้ฝูอีฟื้นฟูความทรงจำของหวงถูแล้ว เธอรู้สึกว่าแบบนี้ก็ดีที่สุดแล้ว…
อวิ๋นเยียนหลียังคงเฉลียวฉลาดยิ่งนัก แต่การตีความของเขากลับเป็น
‘ตอนนี้นางเปลี่ยนใจไปรักตี้ฝูอีแล้ว ดังนั้นจึงไม่คิดจะตามหาหวงถูอีก’
อวิ๋นเยียนหลียิ้มน้อยๆ ก้าวเข้าไป
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ ซีจิ่ว ถ้ารู้แต่แรกว่าเจ้าจะเปลี่ยนใจ…”
นิ้วก้อยของเขากระดกนิดๆ จรดนิ้วร่ายอาคมแล้ว ตัดสินใจในทันใด หมายจะฉวยโอกาสลงมือตอนกู้ซีจิ่วไม่ทันตั้งตัว พลันมีเสียงหัวเราะกังวานสายหนึ่งแว่วมาแต่ไกล
“เนี่ยนโม่ เจ้าอยู่ที่นี่ใช่ไหม?”
อวิ๋นเยียนหลีชะงักไป เงยหน้าขึ้นทันที สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง!
————————————————————————————-
[1] ไผ่นางสนม มีอีกชื่อคือ ไผ่ด่าง เป็นต้นไผ่สายพันธุ์หนึ่ง มีลายจุดสีดำอยู่บนลำต้น