ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 2451 กองหนุนที่ทรงพลัง 6 / บทที่ 2452 เตรียมพร้อมรับมือ
บทที่ 2451 กองหนุนที่ทรงพลัง 6
อวิ๋นเยียนหลีนิ่งงัน…
“นายท่าน จะปล่อยเขาไปเช่นนี้หรือขอรับ?”
ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยถามอย่างไม่ค่อยพอใจ
อวิ๋นเยียนหลียังคงใจลอยอยู่บ้าง
“ไม่ปล่อยเขาไป แล้วจะให้รั้งเขาไว้ทำไม?”
“แต่เขาคือผู้ที่สามารถประดิษฐ์ชุดกันเพลิงได้ นายท่านอยากดึงตัวเขา มาเข้าร่วมกับค่ายของพวกเรานานแล้วมิใช่หรือขอรับ? นายท่านจะพิชิตอาณาจักรมารได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเขาแล้ว…”
ในสุดสติของอวิ๋นเยียนหลีก็กลับคืนมา พลันกำมือแน่น!
ใช่แล้ว เขาอยากดึงตัวคุณชายไผ่ขจีมาเข้าพวกเสมอมา เพียงแต่คนผู้นี้แทบจะไม่ออกจากอาณาจักรมารเลย ซ้ำตัวคนยังลื่นไหลยิ่ง ทำให้คนหาเขาไม่พบง่ายๆ…
การตามหาตัวเขาเพื่อให้ประดิษฐ์ชุดกันเพลิงสักตัวยากเย็นกว่าปีนขึ้นสวรรค์เสียอีก!
ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะลืมเลือนเรื่องใหญ่หลวงเช่นนี้ไปเลย!
“รีบตามเขาไปเร็ว! จับเขากลับมาให้ข้า! ไม่สิ ข้าไปจับเองดีกว่า!”
เรือนกายอวิ๋นเยียนหลีทะยานขึ้นมา พุ่งไปดุจดาวหาง…
ตอนนี้ค่ายกลรวบรวมพลังวิญญาณของเขาสั่งสมได้ไม่เพียงพอแล้ว ทั่วทั้งแดนอสุราเหลือเพียงอาณาจักรมารที่ยังสุขสมบูรณ์ แถมยังมีประชากรมากมาย หากตีชิงได้ ก็จะติดตั้งค่ายกลรวบรวมพลังวิญญาณเพิ่มอีกที่ได้ วรยุทธ์ของเขาถึงจะทะลวงด่านอย่างแท้จริงได้ วันหน้าถึงจะมีกำลังพอต่อกรกับคู่เสินจิ่วหลีสามีภรรยา…
และวิธีเดียวที่จะบุกอาณาจักรมารได้ก็คือชุดกันเพลิง มิเช่นนั้นต่อให้เป็นอวิ๋นเยียนหลี พอไปถึงด้านในก็จะถูกไอมารกัดกร่อน สำแดงพลังได้ไม่ถึงหนึ่งในสิบด้วยซ้ำ…
คนทั่วไปถ้าไม่มีชุดกันเพลิงไม่มีทางเข้าไปได้ ต่อให้มีคนฝืนบุกรุกเข้าไปก็จะกลายเป็นเถ้าธุลี…
อวิ๋นเยียนหลีสำแดงพลังยุทธ์ออกมาเต็มที่ รวดเร็วยิ่งกว่ากระแสไฟฟ้าเสียอีก ซ้ำวิชาตามรอยของเขายังล้ำเลิศ และจู๋ตู๋ชิงก็จากไปยังไม่ถึงสองนาทีเลย
ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ไม่ถึงหนึ่งนาทีอวิ๋นเยียนหลีก็น่าจะตามเขาทันแล้ว!
แต่กลับหาตัวเขาไม่พบ!
ภายในระยะเวลาสั้นๆ แค่นี้ รถเทียมลาของจู๋ตู๋ชิงกลับหายไปแล้ว
อย่าว่าแต่สัตว์ลากรถของเขาเป็นเพียงลาธรรมดาตัวหนึ่งเลย ต่อให้เทียมมังกรตัวหนึ่ง ก็เกรงว่าจะวิ่งได้ไม่ว่องไวขนาดนี้!
ราวกับเขาอันตรธานไปกับอากาศ หายไปดื้อๆ เลย
อวิ๋นเยียนหลียืนอยู่บนยอดเมฆาอดไม่ได้ที่จะกำหมัด คุณชายไผ่ขจีผู้นี้เดาได้ใช่ไหมว่าเขาต้องการจับตัว? ดังนั้นจึงชิงเปิดประตูหนีไปก่อนสินะ?
ช่างลื่นยิ่งกว่าปลาไหลจริงๆ! จิ้งจอกเฒ่า!
เอ๊ะ ไม่ถูกสิ เขาจำได้ว่าก่อนหน้านี้คนผู้นี้ยังดูอ่อนแอป้อแป้อยู่เลย กู้ซีจิ่วอยากให้เขาเปิดประตูเขาก็ไม่ยอมท่าเดียว ยืนกรานจะใช้แรงงานลาให้ลากรถ…
แล้วในระยะเวลาสั้นๆ แค่นี้ทำไมจู่ๆ เขาถึงผงาดปานพยัคฆ์มังกรขึ้นมาเล่า?
คงมิใช่ว่าความอ่อนแอของคนผู้นี้ก็เป็นการเสแสร้งด้วยกระมัง?!
ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างเขาจะยอมรับกู้ซีจิ่วเป็นอาจารย์ แปลกจริงๆ…
อวิ๋นเยียนหลีทอดถอนใจอยู่ภายใน
เพียงแต่ในไม่ช้าเขาฉุกคิดถึงปัญหาอีกข้อขึ้นมาได้ จู๋ตู๋ชิงพำนักอยู่ในอาณาจักรมารไม่ออกมาเนิ่นนานแล้ว ทว่าจู่ๆ กลับยอมรับกู้ซีจิ่วเป็นอาจารย์ ชัดเจนยิ่งนักว่าช่วงที่ผ่านมานี้กู้ซีจิ่วน่าจะไปอาณาจักรมารมาแล้ว ถึงได้มีโอกาสพบกับจู๋ตู่ชิง รับไว้เป็นศิษย์…
ร่างของกู้ซีจิ่วเป็นกึ่งเซียน ว่ากันตามเหตุผลแล้วนางเข้าสู่อาณาจักรมารไม่ได้ เว้นแต่นางจะมีชุดกันเพลิง…
หัวใจอวิ๋นเยียนหลีพลันเย็นยะเยือกขึ้นมา!
เขานึกถึงเรื่องที่เมืองซุ่ยเย่ถูกปล้น สิ่งที่หายไปนอกจากผลึกวิญญาณจำนวนมหาศาลแล้ว ชุดกันเพลิงที่ยากนักกว่าจะได้มายังหายไปด้วย…
หรือว่าหัวขโมยในครั้งนั้นก็คือนาง?! มิใช่คนของอาณาจักรมาร…
อวิ๋นเยียนหลีพลันนึกคลางแคลง! ฝ่ามือเย็นเฉียบไปหมดแล้ว!
หากว่าหัวขโมยคนนั้นคือนางจริงๆ เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เกือบสิบส่วนที่นางจะพบแผนการบางส่วนของเขาแล้ว!
ที่อยู่ต่อหน้าเขาในครั้งนี้คงมิใช่ว่านางเสแสร้งเล่นละครทั้งหมดกระมัง?!
กลัวว่าเขาจะลงมือกับนางสินะ?
ร่างอวิ๋นเยียนหลีแข็งทื่อนิดๆ ขบคิดต่อไป…
องครักษ์จิน องครักษ์หวา…
นามของสองคนนี้ค่อนข้างคุ้นหู…
เขาพลันสั่นสะท้าน นึกออกแล้ว!
คล้ายว่าองครักษ์คนสนิทของราชันมารองค์ใหม่แห่งอาณาจักรมารก็มีผู้ที่แซ่จินและแซ่หวาเช่นกัน…
หรือว่า…หนึ่งปีนี้ที่ตี้ฝูอีหายตัวไปคือไปรวมอำนาจตั้งตนเป็นราชันมารงั้นหรือ?!
….
————————————————————————————-
บทที่ 2452 เตรียมพร้อมรับมือ
เป็นไปไม่ได้กระมัง?!
เขาจะประสบความสำเร็จเช่นนี้ในระยะเวลาสั้นๆ แค่นี้ได้อย่างไร?
เพียงแต่ เรื่องนี้ถ้าเป็นเทพเซียนธรรมดาอาจเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเป็นตี้ฝูอี…
คนผู้นี้เป็นตัวตนที่น่าพิศวงคนหนึ่ง ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบุตรแห่งเทพมาร อายุยังน้อยก็เจ้าเล่ห์แสนกลแล้ว ความคิดจิตใจไม่ด้อยไปกว่าผู้ใหญ่เลย ซ้ำบนร่างยังมีของวิเศษนับไม่ถ้วนที่บิดามารดามอบให้เขาอีก เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อันใดพออยู่บนร่างเขาแล้วเป็นไปได้ทั้งนั้น!
ยากนักกว่าจะสบโอกาสที่เขาอ่อนแอเช่นหนนี้ได้ ไม่นึกเลยว่าจะถูกมหาเทพขัดคอเสียแล้ว…
จะว่าไปเหตุใดมหาเทพถึงบังเอิญมาได้ทันเวลาขนาดนี้ล่ะ?
จากถ้อยคำเขา ราวกับได้ยินเสียงขลุ่ยแล้วก็ปรี่มาเลย
ขลุ่ยเลานั้นเป็นของตี้ฝูอีหรือ? บทเพลงที่กู้ซีจิ่วบรรเลงก็เป็นสัญญาณเรียกหากันระหว่างตี้ฝูอีกับมหาเทพสินะ?
หรือว่าตี้ฝูอีรู้อยู่ก่อนแล้วว่ามหาเทพจะมา?
ดังนั้นจึงให้กู้ซีจิ่วเป่าขลุ่ยเรียกหรือ?
ประหลาด ในเมื่อเขารู้อยู่แล้วว่ามหาเทพจะมา เหตุใดจึงไม่เรียกมาแต่แรกเล่า?
คำถามนับไม่ถ้วนพลิกตลบอยู่ในสมองเขา จู่ๆ ข้อสันนิษฐานหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในสมอง
‘หรือมหาเทพผู้นี้จะเป็นผู้อื่นสวมรอยมา? เป็นแผนหลบหนีของตี้ฝูอีใช่ไหม?’
เมื่อข้อสันนิษฐานนี้ผุดขึ้นมา ในหัวเขาเกิดเสียงดังตูม! โลหิตอุ่นร้อนแทบพุ่งกระฉูดสู่ยอดศีรษะ
ฝ่าเท้าซวนเซเล็กน้อย แทบจะพลัดตกจากก้อนเมฆ!
เขาพยายามจับจุดสำคัญนี้ไว้แล้วคิดแตกแขนงออกไปอีก เขาได้ยินว่าข้างกายราชันมารมียอดฝีมือพิสดารอยู่มากมายนัก ในบรรดานั้นมีผู้ที่ชำนาญการลอกเลียนแบบผู้อื่นอยู่ด้วย…
“ใครก็ได้!”
เสียงเขาแทบจะหลงแล้ว…
….
กู้ซีจิ่วมอง ‘เสินจิ่วหลี’ ที่ยืนค้อมกายอยู่ที่จุดนั้นในห้องโดยสาร มีความรู้สึกราวกับสามมุมมองพังทลายแล้ว!
ไม่น่าเชื่อว่ามหาเทพผู้นี้จะเป็นคนปลอมแปลงมา
ไม่น่าเชื่อว่าตี้ฝูอีจะให้ลูกของตัวเองปลอมตัวเป็นบิดาเขา…
ซ้ำยังสวมรอยได้แนบเนียนเป็นธรรมชาติขนาดนี้ด้วย สมจริงอย่างยิ่ง แม้แต่ตัวเธอก็เกือบถูกหลอกแล้ว
สายตาเธอหันเหไปทางตี้ฝูอี
“ที่แท้นี่ก็เป็นทางหนีของเจ้า…”
สีหน้าตี้ฝูอียังคงซีดเซียวอยู่ ทว่ายิ้มละไม
“ไม่มีวิธีแล้ว ศัตรูเจ้าเล่ห์เกินไป พวกเราต้องเตรียมการไว้เสมอ”
เขารู้แต่แรกแล้วว่าอวิ๋นเยียนหลีต่ำช้า และรู้ด้วยว่าวรยุทธ์ของเขาสูงกว่าตนมากนัก ดังนั้นตอนที่ตี้ฝูอีจะออกจากอาณาจักรมารจึงได้จัดกลยุทธ์นี้เอาไว้ เผื่อไว้ในกรณีที่ถูกอวิ๋นเยียนหลีตีวงล้อมกรอบ ก็จะใช้วิธีนีเอาตัวรอด
เดิมทีเขาคิดจะรอให้เข้าสู่เมืองเล่อกั่วก่อน ดูว่าอวิ๋นเยียนหลีจะใช่เล่ห์ร้ายอันใดออกมา ถือโอกาสสำรวจตื้นลึกหนาบางของเขาก่อนจะหลบหนีด้วย กลับนึกไม่ถึงว่าเป็นเพราะกินโอสถวิญญาณมากเกินไป จึงเกือบถูกธาตุไฟเข้าแทรก เลยต้องใช้ออกมาก่อนกำหนด…
กู้ซีจิ่ววนรอบตัว ‘เสินจิ่วหลี’ รอบหนึ่ง
เหมือน! เหมือนจริงๆ!
ที่พบเห็นได้ยากที่สุดคือพลังอำนาจบนร่างนี้แทบไม่ต่างไปจากเสินจิ่วหลีเลย เพียงด้อยกว่าเล็กน้อยเท่านั้น
แน่นอน ถ้าไม่ใช่คนใกล้ชิดจริงๆ ไม่มีทางจับสังเกตได้แน่
อวิ๋นเยียนหลีก็เคยเห็นมหาเทพจากที่ไกลๆ แค่ไม่กี่ครั้ง เขายิ่งดูไม่ออกเลย
และในอดีตมหาเทพก็เคยมาที่แดนอสุราแล้ว ยามนี้ปรากฏตัวขึ้นอีกก็ไม่นับว่าผิดสังเกตชัดเจนเกินไป อวิ๋นเยียนหลีจึงไม่สงสัยเลย…
“กลับอาณาจักรมารด้วยความเร็วสูงสุด!”
ตี้ฝูอีสั่งการ
“พ่ะย่ะค่ะ!”
องครักษ์จินรับคำ ออกไปบังคับรถแล้ว
กู้ซีจิ่วมองตี้ฝูอีแวบหนึ่ง ตี้ฝูอีจึงอธิบาย
“กันไว้ก่อนดีกว่า”
กู้ซีจิ่วถอนหายใจเบาๆ เธอเลิกม่านรถเหม่อมองออกไปไกล
ตี้ฝูอีเอ่ยถามเธอ
“เจ้าห่วงจู๋ตู๋ชิงหรือ? เจ้าคงนึกเคืองข้าที่ครั้งนี้ไม่เรียกเขามาด้วยใช่ไหม?”
กู้ซีจิ่วนิ่งไปครู่หนึ่ง
“ข้าห่วงเขาจริงๆ แต่ไม่โทษเจ้าหรอก ทุกคนบนโลกต่างรู้ดีว่ามหาเทพไม่สนใจกงการของผู้อื่นเสมอมา”