ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 2455 เขาตามมาแล้ว... / บทที่ 2456 รอดพ้น
บทที่ 2455 เขาตามมาแล้ว…
หยกนภาตระหนกแล้ว!
มันชอบเป็นกำไล ไม่ชอบเป็นของประดับกระบี่ เป็นตัวรับเคราะห์ได้ง่ายๆ!
มันเอ่ยอย่างคับข้องใจกับความไม่เป็นธรรม
‘เจ้านาย ท่านว่ายังไง?’
กู้ซีจิ่วถอนหายใจ
“เสี่ยวชาง หากว่าเขาต้องกลับชาติมาเกิดใหม่อีกจริงๆ เพื่อให้เขากลับมาได้เร็วขึ้นข้ายอมแลกทุกอย่างได้โดยไม่เสียดายเลย…” ความหมายแฝงก็คือสละมันได้
หยกนภาโศกหมองขุ่นเคือง
‘เจ้านาย ท่านนี้เป็นต้นแบบของการให้ค่าความรักไม่ให้น้ำหนักสหาย! ท่านจะโยนข้าทิ้งเพื่อคนรักไม่ได้นะ!’
“เสี่ยวชาง ข้ารู้ว่าเจ้ามีวิธีที่ดีที่สุด ถ้าเจ้าคิดวิธีที่ปลอดภัยได้ ก็ไม่จำเป็นต้องสละเจ้าแล้ว…”
กู้ซีจิ่วค่อยๆ ตะล่อม
เธอรู้สึกอยู่รางๆ ว่าหยกนภามีวิธี เพียงแต่มันมีความกังวลจึงไม่ยอมเผยออกมาก็เท่านั้น
ดังนั้นเธอกับตี้ฝูอีจึงบีบคั้นมันดู…
หยกนภานิ่งไปแล้ว
ภายใต้การบีบคั้นหยกนภาทำได้เพียงยอมจำนน
‘ให้ข้า…ให้ข้าคิดดูก่อน…’
ท้ายที่สุดแล้ว หยกนภาก็เผยวิธีการหนึ่งออกมา
หยกนภาจะไปห้อยอยู่ที่ข้อมือของตี้ฝูอี รอถึงเวลาที่ฤทธิ์ยาในร่างตี้ฝูอีปะทุออกมา มันจะพยายามใช้พลังของมันดูดซับฤทธิ์ยาในร่างตี้ฝูอีอย่างสุดชีวิต…
มันคือหยกนภา รูปร่างและพลังลึกลับพิสดารอยู่ บางทีอาจคลี่คลายวิกฤตให้ตี้ฝูอีปลอดภัยได้
แต่พลังวิญญาณในร่างมันมีจำกัด ถ้ามันดูดซับมากเกินไป มันก็จะระเบิด ไม่แน่ว่าอาจสลายเป็นเถ้าธุลีปลิวหายไปเลย ทำได้เพียงลองพยายามอย่างสุดความสามารถ…
หยกนภาเอ่ยความเป็นไปได้ทั้งหมดออกมา กู้ซีจิ่วยังคงรู้สึกผิดกับมันอยู่ ตบมันเบาๆ
“เสี่ยวชาง เจ้าพยายามให้สุดความสามารถก็พอ อย่าฝืนเกินไป…”
คล้ายว่าจู่ๆ เธอจะนึกอะไรขึ้นมาได้
“เจ้าสามารถถ่ายเทฤทธิ์ยาส่วนหนึ่งมาที่ร่างข้าได้ไหม? ถึงอย่างไรเมื่อก่อนข้าก็เป็นซ่างเสิน ตอนนี้แค่วรยุทธ์เสื่อมถอย แต่สมรรถภาพร่างกายน่าจะเป็นสมรรถภาพระดับซ่างเสิน น่าจะสามารถรองรับพลังไว้ได้บ้าง…”
เสี่ยวชางเรืองแสงแวบหนึ่ง
‘พอถึงเวลาข้าจะลองดู ไม่แน่นะอาจจะสำเร็จก็ได้!’
สองคนหนึ่งหยกเพิ่งจะปรึกษาหารือกันลงตัว จู่ๆ รถม้าก็หยุดลงกะทันหัน ทำให้กู้ซีจิ่วเสียการทรงตัว ถลาเข้าสู่อ้อมแขนของตี้ฝูอี
ตี้ฝูอีก็นั่งไม่มั่นคงเช่นกัน จึงหงายหลังลงไปโดยที่โอบกอดเธอไว้…
โชคดีที่ภายในรถคันนี้ปูพรมหนานุ่มไว้ ล้มลงไปเช่นนี้ก็ไม่ถึงกับหัวร้างข้างแตก
“ผู้ใดกัน?”
เสียงตะคอกขององครักษ์จินแว่วมาจากด้านนอก
“ข้าเอง”
น้ำเสียงเย็นชาสายหนึ่งดังขึ้น
โลหิตทั่วร่างกู้ซีจิ่วพลันเย็นเฉียบลงไปทันที
อวิ๋นเยียนหลี!
เขาตามมาแล้ว…
หรือว่าเขาจะพบพิรุธอะไรแล้ว?!
เธอชะงักไปแวบหนึ่ง ขณะที่คิดจะออกไปดูอีกฝ่ายสักหน่อย ตี้ฝูอีพลันรั้งเธอไว้ ส่งกระแสเสียงหา
‘อย่าออกไป รอฟังก่อนค่อยว่ากัน’
ด้วยเหตุนี้ กู้ซีจิ่วจึงหยุดนิ่งแล้ว
เสียงขององครักษ์จินที่อยู่ด้านนอกไม่โอหังไม่ถ่อมตน
“ที่แท้ก็ท่านเจ้าเมืองอวิ๋น เจ้าเมืองอวิ๋นยังมีธุระใดอีก? รถม้าขององค์มหาเทพมิอาจสกัดขวางส่งเดชได้ ระวังจะยั่วโทสะองค์มหาเทพเข้า เจ้าจะได้รับโทษฐานหมิ่นเบื้องสูงเอานะ!”
นัยน์ตาอวิ๋นเยียนหลีโชนแสงแวบหนึ่ง ถึงอย่างไรเขาก็แค่นึกคลางแคลง ยังไม่แน่ใจ ดังนั้นจึงชะงักไปเล็กน้อย ยังคงเอ่ยอย่างสุภาพมีมารยาท เสี่ยวเซียนมิกล้าขวางรถม้าองค์มหาเทพสงเดชหรอก เสี่ยวเซียนมีเรื่องด่วนที่เพิ่งนึกขึ้นได้จริงๆ ต้องการขอคำชี้แนะอย่างซึ่งหน้ากับองค์มหาเทพ…”
“องค์มหาเทพกำลังทำการรักษาให้ฝ่าบาทเนี่ยนโม่ของพวกเราอยู่ ไม่มีเวลามาพบเจ้า เจ้ากลับไปก่อนเถอะ รอองค์มหาเทพว่างแล้ว ท่านเจ้าเมืองมาขอคำชี้แนะอีกครั้งก็ยังไม่สาย”
องครักษ์หวาออกปากไล่คน
อวิ๋นเยียนหลีมิใช่คนที่จะขับไล่ให้จากไปได้ภายในไม่กี่ประโยคเช่นนี้ เขายิ้มสู้พลางเอ่ย
“เสี่ยวเซียนมีธุระด่วนต้องพูดคุย เกี่ยวข้องกับอาการบาดเจ็บของฝ่าบาทเนี่ยนโม่ ล่าช้าไม่ได้ ยังคงต้องเชื้อเชิญองค์มหาเทพให้สละเวลามาพบเสี่ยวเซียนสักนิด หากองค์มหาเทพยังไม่สะดวกชั่วคราว ผู้น้อยยินดีติดตามอยู่ด้านหลังขบวนรถก่อน รอองค์มหาเทพพอมีเวลาแล้ว เสี่ยวเซียนค่อยเข้าไปคารวะ…”
….
————————————————————————————-
บทที่ 2456 รอดพ้น
เสียงของมหาเทพแว่วออกมาจากด้านในรถม้า
“เรื่องใด? ยืนรายงานอยู่ตรงนั้นเถอะ”
อวิ๋นเยียนหลีชะงักไปแวบหนึ่ง
“เรื่องนี้เป็นความลับ ยังคงต้องรอให้เสี่ยวเซียนได้พบหน้าองค์มหาเทพก่อนถึงรายงานได้ เสี่ยวเซียนสามารถรอได้”
น้ำเสียงมหาเทพเย็นชา
“เช่นนั้นเจ้าก็รอไปเถอะ”
อวิ๋นเยียนหลีค้อมกาย ดูเคารพนอบน้อม ความจริงกลับเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวด้านในอยู่
ด้านในไม่เก็บเสียง เขาจึงได้เสียงเคลื่อนไหวด้านในรางๆ
“มหาเทพ ข้าจะออกไปดูสักหน่อย อวิ๋นเยียนหลีเป็นสหายของข้า ในเมื่อเขาตามมา น่าจะมีธุระจริงๆ เขาอาจจะยอมพูดกับข้าก็ได้”
เสียงนี้เป็นของกู้ซีจิ่ว
“นั่งลง”
มหาเทพเอ่ยอย่างเฉยเมยเพียงสองคำ
“ซีจิ่ว ในเมื่อเขาเป็นสหายของเจ้า รอนานหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก ให้ข้าได้พิงตัวเจ้าต่ออีกหน่อยเถอะ”
น้ำเสียงตี้ฝูอีดูเอื่อยเฉื่อยเช่นที่แล้วมา
….
อวิ๋นเยียนหลีเงียบงัน
แววตาเขาวูบไหวนิดๆ ไม่พบความผิดปกติจากบทสนทนาของสามคนนี้เลยจริงๆ หรือเขาจะคิดมากไป?
เขาหวาดเกรงมหาเทพเกินไปจริงๆ ก่อนที่จะมั่นใจว่าอีกฝ่ายเป็นของเลียนแบหรือไม่ เขายังคงไม่กล้าล่วงเกินอย่างแท้จริงชั่วคราว…
ทำได้เพียงยืนรออยู่ตรงนั้น
ยามนี้องครักษ์จินและองครักษ์หวาหมดจดเอี่ยมอ่องแล้ว ไม่ได้เลอะเทอะกระเซอะกระเซิงเหมือนก่อนหน้านี้ ดูองอาจหลักแหลมเช่นกัน
ในอดีตอวิ๋นเยียนหลีไม่เคยพบสองคนนี้เลย ดังนั้นเขาจึงไม่แน่ใจว่าสองคนนี้ใช่องครักษ์แห่งอาณาจักรมารหรือไม่ สายตาหันเหไปเล็กน้อย ยิ้มนิดๆ แล้วเอ่ยขึ้น
“ทั้งสองท่านดูเป็นผู้มีความสามารถโดยแท้ ไม่คล้ายก่อนหน้านี้…”
เขายังพูดไม่จบ องครักษ์จินก็ร้องชู่ว เอ่ยกระซิบ
“มหาเทพชอบความสงบ เงียบหน่อย!”
อวิ๋นเยียนหลีพูดไม่ออกเลย วันนี้ไม่มีทางได้คุยได้แล้ว!
เขาก็ไม่ขุ่นเคืองเช่นกัน หัวเราะเบาๆ คราหนึ่ง เงียบไปจริงๆ พลันดีดนิ้วเบาๆ แสงสีขาวจางๆ สายหนึ่งพุ่งขึ้นสู่อากาศ
องครักษ์จินขมวดคิ้ว
“เจ้าทำอะไร?”
อวิ๋นเยียนหลีเอ่ยอย่างไม่โอหังไม่นอบน้อม
“เรียกคนมาคุ้มกัน องค์มหาเทพกำลังรักษาฝ่าบาทเนี่ยนโม่อยู่ ไม่อาจปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดได้ ฟ้าก็ย่ำค่ำแล้ว พิรุณโลหิตและค้างคาวโลหิตกำลังจะมา ผู้คุ้มกันของเสี่ยวเซียนพอจะควบคุมค่ายกลเล็กๆ ได้ สามารถปกป้องรถม้าคันนี้ให้ปลอดภัยได้”
เขาไม่รู้จักองครักษ์จินและองครักษ์หวา แต่ลูกน้องของเขารู้จักอยู่สองสามคน แสงนี้ที่เขาปล่อยออกไปเป็นการเรียกตัวพวกเขา
ใบหน้าหล่อเหลาขององครักษ์จินเยียบเย็นลง
“รถม้าขององค์มหาเทพไหนเลยจะต้องใช้คนของท่านผู้สูงศักดิ์มาคุ้มกัน? ไม่จำเป็น!”
รอยยิ้มบนหน้าอวิ๋นเยียนหลีไม่แปรเปลี่ยน
“วางใจเถอะ คนของเสี่ยวเซียนเพียงจะเฝ้าระวังอยู่สี่ทิศ ไม่สร้างความเดือดร้อนใดๆ ให้องค์มหาเทพ ยากนักกว่าองค์มหาเทพจะมายังแดนอสุรา จะอย่างไรผู้แซ่อวิ๋นก็สมควรทำหน้าที่ของเจ้าบ้านให้ดี”
“หน้าที่ของเจ้าบ้าน? เหตุใดท่านผู้สูงศักดิ์ถึงได้ยึดเอาแดนอสุราเป็นอาณาเขตของตนไปเสียเล่า? ท่านผู้สูงศักดิ์คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?”
องครักษ์จริงมีวาทศิลป์ยิ่ง ย้อนถามกลับไป
อวิ๋นเยียนหลีกลับโบกพัดในมือ ทำท่าจุ๊ๆ
“มหาเทพชอบความสงบ เงียบหน่อย!”
องครักษ์จินและองครักษ์หวาสบตากันแวบหนึ่ง ล้วนหน้าเปลี่ยนสีนิดๆ ไม่ทราบว่าควรจัดการอย่างไรไปชั่วขณะ
นิ่งไปครู่หนึ่ง กำลังจะเอ่ยอะไรออกมา กู้ซีจิ่วก็เดินออกมาแล้ว เอ็ดเสียงเบา
“โวยวายอะไรกัน?!”
องครักษ์จินและองครักษ์หวาค้อมกายให้กู้ซีจิ่วพร้อมกัน
“แม่นางกู้”
เดิมทีอวิ๋นเยียนหลีจรดนิ้วทำมุทราแล้ว คล้ายว่าคิดจะทำอะไร พอเห็นกู้ซีจิ่วออกมา ก็คลายออกอย่างเงียบเชียบ ยิ้มน้อยๆ
“ซีจิ่ว ฝ่าบาทเนี่ยนโม่เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ยังดีอยู่ เยียนหลี อีกเดี๋ยวองค์มหาเทพจะออกมาพบเจ้า เจ้าอดทนรอสักครู่เถิด”
ใบหน้าเฉิดฉันของกู้ซีจิ่วไม่แสดงสีหน้าอันใดให้มองออก เธอโบกมือสั่งการองครักษ์จินองครักษ์หวา
“เจ้าสองคนเข้าไปสิ องค์มหาเทพมีเรื่องจะสั่งการพวกเจ้า”