ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 2465 ชักจูง 2 / บทที่ 2466 ชักจูง 3
บทที่ 2465 ชักจูง 2
ครั้งนี้จึงรั้งกระชากออกไปอย่างรุนแรง กรีดให้ฝ่ามือข้างนั้นของอวิ๋นเยียนหลีเหวอะเป็นแผลลึกสองรอย โลหิตสดๆ ทะลักออกมา โลหิตนั้นเป็นสีม่วงแดง ย้อมน้ำทะเลรอบข้างให้แดงฉานอย่างรวดเร็ว…
แผลกัดนี้มีพิษ ทำให้อวิ๋นเยียนหลีเจ็บปวดกว่าแผลทั่วไปถึงสิบเท่า ทำเอาเขาแทบหลั่งเหงื่อเย็นเฉียบออกมาแล้ว
เขาใช้พลังวิญญาณผลักดันพิษออกไป พลางมองไปที่ชายผู้นั้น
คนผู้นั้นโดนฝ่ามือนี้ของเขาบาดเจ็บไม่น้อยเลย ลอยอยู่ตรงนั้นไอไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าเขาคิดจะฉวยโอกาสหลบหนีไป แต่อวิ๋นเยียนหลีเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว พอชายผู้นั้นถอยหลังไป แหปากหนึ่งก็ปรากฏขึ้นข้างหลังเขา เขาชนเข้ากับแห แหปากนั้นรัดพันเขาไว้อย่างรวดเร็ว ทำให้เขาดิ้นไม่หลุดอีก
เขาจึงไม่ดิ้นรนเสียเลย เพียงทอดถอนใจเบาๆ
“อวิ๋นเยียนหลี ชาติก่อนเจ้าเป็นชาวประมงหรือไง? สร้างแหออกมามากมายปานนี้!”
อวิ๋นเยียนหลีไม่สนใจเขา รีดโลหิตพิษต่อไป…
บาดแผลของเขาเจ็บปวดเสมือนถูกแมงป่องต่อย เหงื่อเย็นเฉียบผุดออกมาทีละหยดๆ
เขาพกหยูกยาติดตัวไม่น้อยเลย ในบรรดานั้นมียาถอนพิษที่ยอดเยี่ยมยิ่งนักด้วย และเขาก็กินเข้าไปทันเวลา แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเท่าไหร่…บาดแผลยังคงเจ็บปวดจนทำให้เขาอยากกระทืบเท้า
เขาขับโลหิตสีม่วงออกไปไม่น้อยเลย หลังจากเห็นว่าโลหิตเป็นสีแดงสดแล้ว ถึงได้หยุด หลังจากจัดการพันแผลแล้ว ก็ลากแหปากนั้นว่ายขึ้นสู่ผิวทะเล
ชายผู้นั้นดูเพรียวบางสะโอดสะอง ทว่าหนักยิ่งกว่าก้อนหิน!
อวิ๋นเยียนหลีพาว่ายไปได้พักหนึ่งก็รู้สึกเมื่อยแขนแล้ว สายตาพร่าเลือนอยู่ในน้ำลากอีกฝ่ายแล้วเสมือนลากภูเขาลูกหนึ่ง กินแรงอย่างยิ่ง!
เหตุใดคนผู้นี้ถึงหนักขนาดนี้!
อวิ๋นเยียนหลีมองไปที่แห คนผู้นั้นหลับตานิดๆ สีหน้าซีดเซียว แน่นิ่งอยู่ในแห ประหนึ่งก้อนหิน
มารดามันเถอะ แกล้งตายอีกแล้ว!
ยังคิดว่าเขาจะติดกับอีกหนหรือ?! ไม่มีทาง!
หากว่าเจ้าคนผู้นี้ตายแล้วจริงๆ เขาก็จะเอาศพของเขาไปแขวนไว้หน้าประตูเมือง ล่อพวกกู้ซีจิ่วให้มาชิงศพ…
อวิ๋นเยียนหลียังไม่คิดจะจัดการคนผู้นี้ชั่วคราว เขาอยู่ในน้ำมานานพอแล้ว ในปอดเริ่มขาดอากาศแล้ว เขาต้องขึ้นไปสูดหายใจสักหน่อยก่อน และสั่งการให้ลูกน้องตรวจค้นเมืองเล่อกั่วให้ดีๆ ด้วย…
เขาว่ายอยู่ครู่หนึ่ง ก็รู้สึกว่าผิดปกติ เบื้องหน้าค่อนข้างมืดมัว สองเท้าค่อนข้างอ่อนแรงแล้ว
หรือว่าจะขาดอากาศนานเกินไป?
ขณะที่เขากำลังจะว่ายให้เร็วขึ้น พลันสัมผัสถึงอะไรได้ เงยหน้ามองสำรวจรอบข้างทันที ใจหายวาบนิดๆ
มวลน้ำไหวกระเพื่อม ฉลามดำตัวแล้วตัวเล่าปรากฏโฉมออกมา..
ฉลามพวกนี้มีหลายสิบตัว แต่ละตัวล้วนใหญ่เป็นสองเท่าของฉลามปกติ เขี้ยวโง้งดุจคมดาบ พุ่งตรงมาทางเขา…
มุมปากอวิ๋นเยียนหลี ยกยิ้มหยามหยัน…
พลันยื่นฝ่ามือออกไป กระบี่ล้ำค่าสีเขียวครามเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือเขา ทันทีที่กระบี่ล้ำค่าเล่มนี้ปรากฏขึ้น รอบข้างคล้ายมีเสียงภูตผีโหยหวน ไอเย็นแผ่ลาม
ฉลามจะเล่นงานเขาได้อย่างไร?
เขาจะทำให้ฉลามพวกนี้ได้รู้ เขาไม่ใช่คนที่จะมายั่วยุได้!
….
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม บนผิวทะเลมีฉลามหลายตัวที่ถูกผ่ากรีดท้องลอยเท้งเต้งอยู่ หงายหน้าท้องสีขาวขึ้นมา โลหิตสดๆ อาบย้อมทะเลให้แดงฉาน
อวิ๋นเยียนหลีราวกับอสูรที่ออกมาล่าสังหารในยามราตรี ลอยตัวหอบหายใจอยู่บนผิวทะเล
ศึกนี้ทำให้เขาแทบสูญสิ้นพลังทั้งหมดไปแล้ว หลังจากจัดการฉลามเหล่านี้แล้ว ก็ลอยอยู่บนผิวทะเลไม่อยากขยับเขยื้อนเลย
ยามนี้พิรุณโลหิตโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าแล้ว หล่นต้องซากฉลามเหล่านั้น เพียงครู่เดียวก็กัดกร่อนพวกมันจนกลายเป็นโครงกระดูกแล้ว
จะว่าไปก็แปลก พิรุณโลหิตเหล่านั้นหนาแน่นถึงเพียงนี้ ทว่าไม่ตกต้องร่างของอวิ๋นเยียนหลีเลยสักหยด กระจายออกไปรอบตัวเขา
บางครั้งก็มีค้างคาวโลหิตโฉบลงมาพร้อมกับพิรุณโลหิตด้วยทว่าไม่ได้สนใจเขาเลย เลี่ยงเขาไปเสีย ไปกัดกินเลือดเนื้อบนร่างฉลามเหล่านั้นแทน
————————————————————————————-
บทที่ 2466 ชักจูง 3
สายตาอวิ๋นเยียนหลีมืดมัวเป็นพักๆ ตอนอยู่ที่ก้นสมุทรก่อนหน้านี้เขาฆ่าฟันฉลามเหล่านั้นปานหั่นผักหั่นแตงแต่สังหารหมดไปตัวหนึ่งก็มีมาอีกสองตัว สังหารไม่จบไม่สิ้น
เขานึกว่าเป็นกลิ่นโลหิตฉลามที่ล่อฉลามตัวอื่นมา ดังนั้นหลังจากสังหารฉลามสามสี่ตัวนั้นไปแล้ว เขาว่ายหนีไปทางอื่นทันที กลับนึกไม่ถึงเลยว่าเขาว่ายออกไปได้ไม่ถึงสิบกว่าลี้ ก็ถูกฉลามเข้ามาล้อมกรอบอีกครั้ง…
ฉลามพวกนี้เหมือนมาเพื่อกินเขาโดยเฉพาะ สังหารหมดไประลอกหนึ่งก็มาอีกระลอกหนึ่ง ดาหน้าเข้ามาอย่างไม่กลัวตาย เขาสังหารจนมือไม้อ่อนแรงไปหมดแล้ว สายตาก็มืดมัว
สุดท้ายเขาหมดหนทางแล้วจริงๆ ถึงได้ว่ายเข้าสู่ฝั่งโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดแล้ว โผล่ขึ้นสู่ผิวทะเลทันที ฉลามเหล่านั้นหวั่นเกรงพิรุณโลหิต ไม่กล้าขึ้นสู่ผิวน้ำ เขาถึงได้สลัดฉลามที่ไล่ตามเหล่านี้พ้น…
ฉลามเหล่านี้ไล่ตามตนหรือ?
หรือคิดจะช่วยเหลือคนที่ถูกเขาจับไว้ในแหผู้นี้?
อวิ๋นเยียนหลีมองไปที่คนผู้นั้น ไม่น่าเชื่อว่าคนผู้นั้นจะตื่นแล้ว ยามนี้อยู่ในแหอย่างสงบเสงี่ยม กำลังมองเขาอยู่เงียบๆ
“เจ้าเป็นหัวหน้าของพวกมันหรือ?”
อวิ๋นเยียนหลีถาม
คนผู้นั้นยิ้มแวบหนึ่ง ย้อนถาม
“เจ้าคิดว่า…ผู้เฒ่าจะบอกเจ้าหรือไง?”
คนผู้นี้จนตรอกยิ่งนักแล้วชัดๆ และบาดเจ็บสาหัสยิ่ง พูดจาก็ไม่คล่องแคล่วแล้ว ทว่ากิริยาสุขุมเยือกเย็นยิ่งเสมอมา แย้มยิ้มกวนประสาท ท่าทางเอ้อระเหยเหมือนคนพเนจร ราวกับไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น
สีหน้าอวิ๋นเยียนหลีเขียวคล้ำ หุบปากไปแล้ว
เขาไม่คิดจะต่อปากต่อคำกับผู้อื่น
เขามองคนผู้นั้นอีกแวบหนึ่ง เลื่อมใสในจิตใจอันแกร่งกล้าของคนผู้นี้ยิ่ง ถูกเขาเคี่ยวกรำขนาดนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะยังอยู่รอด
สรุปแล้วนี่มันตัวอะไรกันแน่?!
ตี้ฝูอีไปเสาะหาลูกน้องที่เลิศล้ำเช่นนี้มาจากไหนกัน?!
หากว่าเขามีลูกน้องที่มีความสามารถเช่นนี้…
อวิ๋นเยียนหลีเป็นผู้ที่หมายจะทำการใหญ่ เมื่อพบเจอผู้ที่มีความสามารถเลิศล้ำยังคงคิดดึงตัวเข้ามาเป็นพวกตน
“เจ้าถูกตี้ฝูอีส่งมาเบี่ยงเบนความสนใจของข้าโดยเฉพาะสินะ?”
คนผู้นั้นกะพริบตาปริบๆ
“อย่าได้อ้อมค้อมพูดมาตรงๆ เถอะ”
“ตี้ฝูอีรู้ฝีมือของข้าดี เจ้าคล้ายจะมิใช่คู่มือของข้าเลย การส่งเจ้ามาก็คือส่งเจ้ามาตายนั่นแหละ ข้าเห็นว่าเจ้ามีความสามารถ ถูกเขาใช้เป็นตัวหมากเช่นนี้ เจ้าเต็มใจรึ?”
คนผู้นั้นหลุบตาลงนิดๆ
“ไม่เต็มใจแล้วอย่างไรเล่า? เขาคือองค์ราชันของเผ่ามารเรา คนเป็นลูกน้อง ความภักดีคือจริยธรรมที่มาเป็นอันดับหนึ่ง”
ถึงแม้จะกล่าวเช่นนี้ ทว่าน้ำเสียงกลับแฝงความโศกหมองเอาไว้เล็กน้อย
สายตาอวิ๋นเยียนหลีวูบไหวนิดๆ มีทางแล้ว!
เข้ายิ้มหยัน
“ราชันของเผ่ามารรึ? เจ้ารู้ไหมว่าฐานะเดิมของเขาคืออะไร?”
คนผู้นั้นกะพริบตา สนใจใคร่รู้
“คืออะไรล่ะ?”
“บุตรขององค์มหาเทพแห่งดินแดนเบื้องบน! เขาหาใช่มารไม่! เขารั้งตำแหน่งราชันมารนี้ เพียงเพื่อหลบหนีการล่าสังหารของข้า ไปซ่อนตัวอยู่ที่นั่นก็เท่านั้น”
คนผู้นั้นเหม่ยลอยไปครู่หนึ่ง เอ่ยงึมงำ
“ข้ารู้ว่าเขาคือบุตรของมหาเทพ แต่บนร่างเขาก็มีสายเลือดของเผ่ามารอยู่ด้วย กระทำการเพื่อชาวมาร ทำให้อาณาจักรที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายเป็นปึกแผ่นขึ้นมา ปวงประชาชาวมารสงบสุขร่มเย็น…”
“ในร่างเขามีสายเลือดมารอยู่จริงๆ แต่เขาเป็นคนของแดนเซียนมาโดยตลอด รับหน้าที่ขจัดมารผดุงธรรม เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีมารน้อยที่ดินแดนเบื้องบนสิ้นชีพใต้คมกระบี่เขาอย่างน่าอนาถไปมากน้อยเพียงใดแล้ว?”
คนผู้นั้นเงียบไปแล้ว
อวิ๋นเยียนหลีกล่าวต่อไป
“เจ้าคิดว่าวรยุทธ์ของเปิ่นจวินเทียบกับตี้ฝูอีแล้วเป็นอย่างไรบ้าง?”
คนผู้นั้นชะงักไปเล็กน้อย
“เจ้าเหนือกว่าเขาอยู่บ้าง”
อวิ๋นเยียนหลียกมุมปากขึ้นนิดๆ ตัวเขาในตอนนี้ไหนเลยจะแค่เหนือกว่าอยู่บ้าง เขาแข็งแกร่งกว่าตี้ฝูอีมากเหลือเกินไม่ใช่หรือไง?!
“เช่นนั้นตอนนี้เจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือของข้าแล้ว เจ้าคิดว่าตี้ฝูอีจะเสี่ยงตายมาช่วยเจ้าหรือ?”
คนผู้นั้นเม้มริมฝีปากบาง แววตาหม่นหมอง
“ข้าเป็นแค่ลูกน้องของเขาเท่านั้น”