ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 2485 เปิดโปง / บทที่ 2486 นางรู้ว่าเรื่องราวไปกันใหญ่แล้ว!
บทที่ 2485 เปิดโปง
ใช่เขาจริงๆ!
กู้ซีจิ่วใจสั่นแวบหนึ่ง จู่ๆ ก็นึกถึงภาพหลอนฉากหนึ่งที่เคยเห็นมาก่อน ในภาพหลอนตนก็เคยเปลื้องผ้ารูปสลักหยกเช่นนี้เหมือนกัน…
ยามนี้คล้ายฉายภาพอดีตซ้ำอีกครั้ง
เธอพยายามขบคิดอย่างสุดกำลัง รู้สึกได้ร่างๆ ว่ารูปสลักหยกชิ้นนั้นก็คล้ายมนุษย์จริงๆ เพียงแต่กำลังฝึกฝนวรยุทธ์แขนงหนึ่งอยู่…
เธอมองรูปสลักที่อยู่ตรงหน้า ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา
‘หรือว่านี่คือเขากำลังฝึกฝนวรยุทธ์อันใดอีกแล้ว?!’
ตรวจพิสูจน์เสร็จสิ้นแล้ว เธอก็รีบนำชุดตัวในมาสวมให้เขาอีกครั้ง เนื่องจากเขาอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิ ยามถอดนั้นง่ายดายนัก ถูกกู้ซีจิ่วฉีกกระชากออกมาโดยตรงเลย
แต่พอสวมเข้าไปกลับเปลืองแรงเหลือเกิน ทว่าไม่สามารถปล่อยให้มันเปลือยเปล่าได้
ถึงแม้จะบอกว่าต่างประเทศมีรูปปั้นหนุ่มหล่อเปลือยกายอยู่มากมายนัก แต่เธอไม่อยากให้ใครเห็นเรือนร่างของตี้ฝูอี!
ไม่มีหนทางแล้ว เธอจึงนำผ้าไปพันรอบตัวเขา แล้วใช้ด้ายเย็บติดไว้ชั่วคราว เย็บให้ดูเหมือนกางเกงตัวในผืนหนึ่ง
ทักษะการเย็บปักของเธอธรรมดายิ่งนัก เมื่อก่อนมากสุดก็แค่เย็บปะชุนสิ่งใดเท่านั้น ตอนนี้ให้มาเย็บกางเกงตัวในนับว่าเป็นครั้งแรกในประวัติการณ์แล้ว!
ดังนั้นกางเกงตัวในที่เธอเย็บออกมาจึงเทียบกับตัวเก่านั้นของเขาไม่ได้เลย กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าตนทนมองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
โชคดีที่บนร่างเขายังมีเสื้อคลุมตัวยาวอยู่ ขอเพียงเขาไม่ขยับเขยื้อนมากนัก ก็ไม่มีผู้ใดมองเห็นกางเกงที่อยู่ด้านในตัวนี้ของเขา…
เธอสวมเสื้อคลุมให้เขาอย่างดีด้วยความรู้สึกผิด มองดูดวงหน้าที่เสมือนเนื้อหยกของเขา ค่อนข้างวิตกกังวล
หากว่าเขากำลังฝึกฝนวรยุทธ์อะไรอยู่ จะสามารถใช้วิชาเคลื่อนย้ายได้หรือไม่?
ตนทั้งถอดทั้งลูบคลำเขาเช่นนี้ ไม่รู้จะทำให้เขาถูกธาตุไฟเข้าแทรกหรือเปล่า?
กลายเป็นรูปสลักหยกไปแล้ว สัญญาณชีพในชีพจรก็ไม่ไหลเวียนแล้ว เกรงว่าเขาคงไม่รู้สึกเลย ไม่รับรู้ทุกอย่างที่เธอทำลงไป น่าจะไม่ถูกธาตุไฟเข้าแทรกกระมัง?
เธอสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง เธอต้องวางแผนการขั้นต่อไปให้ดี ไม่อาจพลาดได้เลยสักก้าว
….
ชาวเมืองเล่อกั่วทั้งประหลาดใจและยินดี เมื่อพบว่าพิรุณโลหิตที่สมควรจะตกลงมาตลอดทั้งคืนไม่น่าเชื่อว่าพอถึงยามจื่อเมฆฝนก็สลายไปแล้ว! ค้างคาวโลหิตที่โจมตีเขตแดนคุ้มเมืองอย่างดุดันก็หายไปพร้อมกับพิรุณโลหิตด้วย จากไปอย่างไม่เต็มใจ
ถึงแม้เขตแดนเหนือเมืองจะสามารถปกป้องให้ชาวเมืองปลอดภัยได้ แต่ในวันพิรุณโลหิต ยามที่ค้างคาวโลหิตพุ่งโจมตี บางครั้งเขตแดนนั้นก็ถูกกระแทกจนแตกบ้าง ทำให้มีค้างคาวโลหิตมุดเข้ามาได้ เลือกสรรมนุษย์เพื่อกัดกิน ก่อให้เกิดหายนะอันบ้าคลั่ง
ดังนั้นทุกครั้งมาถึงวันนี้ประชาชนในเมืองล้วนดุจพบศัตรูฉกาจ ไม่กล้าหลับอย่างเป็นสุข
คืนนี้พิรุณโลหิตหยุดก่อนกำหนด ประชาชนแทบทั้งหมดล้วนทราบกันทั่ว
ทุกคนทั้งตื่นเต้นยินดีและวิตกกังวล ไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย พากันวิพากษ์วิจารณ์อยู่บนท้องถนน คาดเดากันไปสารพัด
และในวินาทีนั้นเอง
ยามนั้นพิรุณโลหิตเพิ่งหยุดไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม พลันเกิดเสียงดังครึกโครมแว่วมาจากทางจวนพำนักของท่านเจ้าเมือง กึกก้องประหนึ่งฟ้าผ่า สั่นสะเทือนไปทั้งเมือง และพร้อมๆ กับเสียงนี้ ได้มีลำแสงสีรุ้งพุ่งขึ้นสู่ท้องนภาจากทิศทางนั้น ลำแสงนั้นพุ่งตรงสู่เมฆาบนฟากฟ้า ทำให้เมฆทึบทะมึนบนท้องนภาถูกชนจนกระจายตัวออกไป เผยฟ้าครามเมฆาขาวที่ยากจะได้เห็นออกมา
ฝูงชนมองหน้ากันเหลอหลา มองทิศทางของแสงสีรุ้งนั้นหัวใจเต้นระรัว นี่คือ…
หรือว่าในที่สุดเทพเซียนบนสวรรค์ก็มองเห็นความทุกข์ยากของแดนอสุราแล้ว? ลงมาโปรดสัตว์แล้วใช่ไหม?
พวกเจ้าวังน้อยที่กำลังติดตามหาร่องรอยของพวกกู้ซีจิ่วอยู่บนท้องถนนก็ทึ่มทื่อไปแล้วเช่นกัน!
นั่นคือ…
ในเวลาเดียวกันนี่เอง รูปสลักเทพเจ้าองค์หนึ่งก็ค่อยๆ ลอยขึ้นมาท่ามกลางแสงเจ็ดสี รูปสลักนั้นสวมชุดขาวพิสุทธิ์ อาภรณ์พลิ้วไสว ดุจองค์เทพที่ข้ามผ่านแสงรุ้งลงสู่โลกา…
เนื่องจากอยู่ไกลยิ่งนัก ฝูงชนจึงมองเห็นรูปโฉมของรูปสลักนั้นไม่ชัด แต่ฉากเช่นนี้ก็เพียงพอจะสร้างแรงสั่นสะเทือนได้แล้ว!
ท่ามกลางฝูงชนไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่ตะโกนขึ้นมา
“ท่านเทพเจ้า! ท่านเทพเจ้ามาช่วยเหลือพวกเราแล้ว!”
————————————————————————————-
บทที่ 2486 นางรู้ว่าเรื่องราวไปกันใหญ่แล้ว!
หินหนึ่งก้อนสะท้อนพันคลื่น ฝูงชนแทบจะหลั่งน้ำตาแล้ว พากันคุกเข่าลงไป
“ท่านเทพ ช่วยพวกเราด้วย!”
“ท่านเทพ ท่านคือเทพเจ้ากระมัง? ขอท่านโปรดช่วยเหลือแดนอสุราของพวกเราด้วยเถิด…”
เสียงร้องไห้ด้วยความตื่นเต้นตื้นตันระงมไปทั่ว คนบางส่วนที่เดิมทีอยู่ในบ้านก็ถูกเสียงโหวกเหวกเรียกออกมา ผลคือพอเห็นฉากนี้เข้า ก็เข้าร่วมกับฝูงชนคุกเข่าร่ำไห้ไปด้วย ดุจเสียงคลื่นที่ก้องสะท้อนอยู่ในเมือง
“ผู้ที่จะช่วยเหลือพวกเจ้าได้ มีเพียงตัวพวกเจ้าเองเท่านั้น”
มีเสียงแว่วมาจากรูปสลักเทพเจ้า เบาบางแผ่วหวิว ทว่าสะกดข่มเสียงของทุกคนไว้ได้
รูปสลักพูดได้!
ฝูงชนที่ส่งเสียงจอแจอยู่เงียบลงทันที เบิกตามองรูปสลักเทพเจ้า
“พิรุณโลหิตค้างคาวโลหิต เป็นผลมาจากค่ายกลที่รวบรวมวิญญาณร้ายเอาไว้ วันนี้เปิ่นจุนปรับแก้ค่ายลชั่วร้ายนี้ให้กลายเป็นค่ายกลวิญญาณที่สร้างความผาสุกแก่ปวงชนแล้ว พวกเจ้าสามารถมาพิสูจน์ดูได้ที่จวนเจ้าเมือง ค่ายกลวิญญาณร้ายมีทั้งสิ้นเก้าค่าย ตั้งอยู่ใต้ดินของเก้าเมือง…พวกเจ้าจงเร่งถ่ายทอดข้อมูลออกไปโดยเร็ว เสาะหาค่ายกลชั่วร้ายนี้…”
ขณะที่เสียงแว่วอยู่ มีใบปลิวมากมายนับไม่ถ้วนโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า กระจัดกระจายไปในหมู่ชน
ฝูงชนย่อมพากันไขว่คว้า
พวกเจ้าวังน้อยที่เดิมทีอยู่ในที่ลับตา ยามนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีแล้วเช่นกัน
เจ้าวังน้อยตะโกนเสียงดัง
“เป็นมารชั่วจากที่ใด?! มาหลอกลวงผู้คนอยู่ที่นี่!”
พลันทะยานกาย เหินเข้าโจมตีรูปสลักนั้น
“หึๆ…จริงหรือเท็จพวกเจ้าพิสูจน์ดูก็จะรู้เอง…”
รูปสลักยิ้มบางๆ แวบหนึ่ง หลังจากทิ้งประโยคสุดท้ายนี้ไว้ แล้วก็เลือนหายไปท่ามกลางลำแสงสีรุ้งทันที หายตัวไปทันที
ฝูงชนยังคงตกอยู่ในภวังค์
เจ้าวังน้อยโจมตีได้เพียงอากาศ นางวนเวียนอยู่ในอากาศรอบหนึ่ง หาเงาร่างของรูปสลักเทพเจ้าไม่พบ มองลงไปข้างล่างแวบหนึ่ง แววตาพลันมืดมิด
จวนพำนักอันใหญ่โตถูกพลิกกลับด้าน เผยผังดาราที่อยู่ใต้ดินออกมา…
เจ้าวังน้อยเป็นคนสนิทของอวิ๋นเยียนหลี ย่อมทราบประโยชน์ใช้สอยของผังดารานี้ดี แต่ถึงอย่างไรความรู้ของนางก็จำกัด ไม่ทราบลำดับการจัดเรียงผังดาว ยิ่งไม่ทราบด้วยว่าสรุปแล้วผังดาวนี้เกิดความเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ทราบเพียงว่าไอพยาบาทหนาวยะเยือกที่ไหลเวียนอยู่ในผังดาวหายไปแล้ว ทั่วทั้งผังดาวส่องแสงมงคลพร่างพราว ไอมงคลล่องลอย…
มีคนปรับแก้ผังดาวแล้ว! ซ้ำยังทำให้ผังดาวนี้ปรากฏสู่สายตาชาวโลกด้วย
เกิดเสียงดังตู้มขึ้นในสมองเจ้าวังน้อย นางยังคิดจะพลิกสถานการณ์อยู่
“เป็นสวะจากลัทธิมารกำลังเล่นเล่ห์อยู่ ทุกคนอย่าได้หลงเชื่อ…”
เนื่องจากหลายปีมานี้ธรรมชาติคัดสรรให้ผู้แข็งแกร่งอยู่รอด ประชาชนที่อยู่ในเมืองตอนนี้ก็ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนประกอบด้วยผู้กล้าผู้มีความสามารถ ท่ามกลางนั้นมียอดฝีมือผู้เลิศล้ำอยู่ด้วย ทุกคนไหนเลยจะถูกหลอกได้ง่ายดายปานนั้น?
มีบางคนกระโดดออกมา เอ่ยเสียงขรึม
“จริงหรือเท็จ พิสูจน์ดูก็รู้แล้ว! ทุกคนไปดูค่ายกลวิญญาณกันเถอะ!”
หนึ่งคนร้องร้อยคนขานรับ ผู้คนนับไม่ถ้วนมุ่งหน้าไปยังจวนพำนักที่ปรากฏลำแสงสีรุ้งขึ้น
เจ้าวังน้อยตระหนกแล้ว
นางรู้ว่าเรื่องราวไปกันใหญ่แล้ว!
….
ตอนที่อวิ๋นเยียนหลีกลับมาถึงเมืองเล่อกั่ว ก็เป็นยามเที่ยงวันแล้ว เขาเพิ่งจะเข้าเมืองมาก็พบความผิดปกติแล้ว…
เดิมทีชาวบ้านต่างเคารพนับถือเขาอย่างยิ่ง เมื่อเห็นเข้าก็จะคุกเข่าทำความเคารพทันที ปรารถนาจะแซ่ซ้องขอให้อายุยืนนับหมื่นปีแล้ว
แต่ตอนนี้ยามที่ชาวบ้านเห็นเขา สายตานั้นผิดปกติเกินไป มีทั้งคลางแคลง มีทั้งมองอย่างเป็นอริ ไม่มีการกล่าวทักทายเขาแล้ว ถึงมีก็น้อยนิดยิ่ง
เมื่อก่อนในช่วงเวลานี้ บนถนนจะมีผู้คนอยู่ไม่น้อยเลย สัญจรขวักไขว่คึกคักยิ่ง
แต่วันนี้บนท้องถนนกลับวังเวงอย่างที่พบเห็นได้น้อยนัก…
แต่ในทิศทางของจวนพำนักเขากลับคลาคล่ำไปด้วยผู้คน มีเสียงคนดังจอแจ ราวกับคนทั้งเมืองล้วนวิ่งไปที่นั่นหมดแล้ว
เขาใจหายวาบ เกิดอะไรขึ้น?!
เขาพลันเหินกาย พุ่งทะยานไปยังจวนของตน
ยามที่เขาได้เห็นทุกอย่างด้านล่างอย่างชัดเจน ในสมองก็ส่งเสียงดังหึ่งๆ!
จวนของเขาถูกระเบิดจนเละเทะกระจัดกระจาย ผังดาวที่เขาซุกซ่อนไว้ใต้ดินมาโดยตลอดก็ถูกเผยไว้ตรงนั้น อบอวลด้วยแสงมงคล