ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 2489 คุนเผิง 2 / บทที่ 2490 คุนเผิง 3
บทที่ 2489 คุนเผิง 2
หมิงเตี๋ยก็เฉลียวฉลาดเช่นกัน พูดเออออตามไปด้วย
“ทุกคนคิดดูเอาเถิด หากว่าผู้ที่ปรากฏตัวกลางอากาศเมื่อคืนนี้เป็นเทพเซียนที่ดินแดนเบื้องบนส่งลงช่วยเหลือสรรพสัตว์จริง เช่นนั้นเหตุใดพอเห็นข้ามาก็รีบหนีหายไปทันทีเล่า? กินปูนร้อนท้องชัดๆ! ทำให้พวกเจ้าเอาเรื่องเอาราววุ่นวายกับเจ้าวังเช่นข้ามาจนถึงยามนี้ ทำให้พวกเขาฉวยโอกาสหลบหนีไปได้!”
เมื่อคืนประชาชนแทบทั้งเมืองล้วนออกมาเคลื่อนไหว ในเมืองวุ่นวายอย่างยิ่ง เจ้าวังน้อยและคนของนางถูกรั้งตัวไว้ ไม่อาจตามสืบเสาะเบาะแสของพวกกู้ซีจิ่วต่อได้
พวกเขานายบ่าวหนึ่งร้องหนึ่งรับ ประกอบกับมีวิญญาณอาฆาตปรากฏขึ้นบนผังดารา ทำให้เหล่าชาวบ้านเชื่อไปกว่าครึ่งแล้ว
เพียงแต่ยังมีบางคนนำประเด็นที่พิรุณโลหิตหยุดลงภายในครึ่งคืนมาพิสูจน์ข้อดีของผังดวงดาวนี้อยู่
โดยเฉพาะในหมู่ฝูงชนนั้น มีปรมาจารย์ไสยเวทย์อยู่คนหนึ่ง เขาพอเข้าใจศาสตร์ค่ายกลอยู่บ้าง ยิ่งมองออกด้วยว่าวิญญาณอาฆาตเหล่านี้มิได้ดุร้ายเลย และเขาก็เป็นชายชาตรีที่ค่อนข้างเถรตรงคนหนึ่ง เขาจึงลุกออกมากล่าวว่า
“ท่านเจ้าเมือง ผู้น้อยเป็นปรมาจารย์ไสยเวทย์ ถึงแม้ผลึกวิญญาณของค่ายกลนี้จะมีวิญญาณอาฆาตสิงสู่ แต่ดูจากลักษณะแล้ววิญญาณอาฆาตหาใช่ของใหม่ ล้วนสิ้นชีพเป็นเวลาหนึ่งเดือนขึ้นไปแล้วทั้งสิ้น และไอพยาบาทบนร่างพวกมันก็มิได้หนาแน่น ราวกับมีคนบังคับชำระล้างไอพยาบาทบนร่างพวกมัน อีกทั้งค่ายกลนี้ก็มีไอมงคลหนาแน่นมากจริงๆ ไร้ซึ่งไอมาร ไร้ซึ่งความดุร้าย…”
อวิ๋นเยียนหลีหรี่ตาลงนิดๆ มองไปที่เขา จำได้ว่าคนผู้นี้คือปรมาจารย์ไสยเวทย์เลื่องชื่อของเมือง ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม…
แววตาอวิ๋นเยียนหลีวูบไหวเล็กน้อย ทราบว่าถ้าไม่จัดการคนผู้นี้เสีย เกรงว่าคงจะทำให้ผู้คนคิดขบถอีก เขาแย้มยิ้ม
“ไม่ดุร้ายรึ?”
เขาพลันสะบัดแขนเสื้อไปม้วนตัวคนผู้นี้
“เช่นนั้นก็ขอเชิญท่านลงไปพิสูจน์ด้วยตัวเองดูหน่อยเถิด”
แขนเสื้อสะบัดโบยบิน ม้วนตัวคนผู้นี้ลงไปในค่ายกลแล้ว…
การกระทำนี้อวิ๋นเยียนหลีใช้วิชาตัวเบา คนที่อยู่ด้านข้างเห็นเพียงว่าเขาใช้แขนเสื้อโยนคนผู้นี้ลงไปในค่ายกล มีเพียงปรมาจารย์ไสยเวทย์ผู้ไร้ความผิดท่านนี้ที่รู้ว่า แขนเสื้อนี้ของเขาเทียบได้กับการถูกงูเหลือมยักษ์รัดอย่างรุนแรง! อวัยวะภายในของเขาเคลื่อนตำแหน่งไปทันที แม้แต่วาจาก็เอ่ยไม่ออกแล้ว ตกลงไปในค่ายกลก็ซวนเซไปหลายก้าวดุจเมาสุรา คล้ายถูกวิญญาณร้ายอันใดพันแข้งขา จู่ๆ สะดุดล้ม ทับลงบนผลึกวิญญาณก้อนหนึ่ง วิญญาณอาฆาตที่เดิมทีสะลึมสะลือง่วงงุนเหล่านั้นราวกับได้กลิ่นอาหารโอชะอันใด สติแจ่มใสขึ้นมาทันที โผเข้าใส่ปรมาจารย์ไสยเวทย์ผู้นี้อย่างดุดัน…
ด้วยเหตุนี้ ภายใต้สายตาของเหล่าประชาชน ปรมาจารย์ไสยเวทย์ผู้นี้ถูกวิญญาณอาฆาตเหล่านั้นกัดกินจนเหลือเพียงโครงกระดูกภายในชั่วพริบตา…
สีหน้าของชาวบ้านแปรเปลี่ยนไปหมดแล้ว พากันถอยหลังไป เกรงกลัวว่าจะพลัดตกลงไป
อวิ๋นเยียนหลีถามอย่างเฉยเมย
“ยังมีใครที่ไม่เชื่อว่าค่ายกลนี้ดุร้ายอยู่อีกไหม?”
ฝูงชนถอยหลังไปอีก เห็นวิญญาณอาฆาตกัดกินคนต่อหน้าต่อตา ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยว่าค่ายกลนี้ไม่ดุร้ายแล้ว…
อวิ๋นเยียนหลีเอ่ยไปอีกว่า
“ระยะนี้อาณาจักรมารกำเริบเสิบสานในเมืองมนุษย์ของพวกเรามีคนเป็นไส้ศึกของอาณาจักรมารลอบช่วยเหลือให้ทำชั่วช้า ถือโอกาสยุแยงปลุกปั่น ปรมาจารย์ไสยเวทย์ผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในบรรดานั้น เจ้าเมืองอย่างข้ายังไม่ทันไปหาเรื่องเขา เขาก็ส่งตัวเองมาให้ถึงหน้าประตูแล้ว! คนแบบนี้จะเก็บไว้ได้อย่างไร? ไม่ส่งผลดีต่อความสงบสุขของเมืองเรา!”
เมื่อเขาเล่นไม้นี้ออกมา ย่อมสั่นคลอนผู้คนได้ แม้ว่าบางคนจะยังไม่วางใจ ก็ไม่กล้าเอ่ยปากไปชั่วขณะ กล้าขุ่นเคืองทว่าไม่กล้าเอื้อนเอ่ย
อวิ๋นเยียนหลีกวาดตามองฝูงชนแวบหนึ่ง ทราบว่าบรรลุผลลัพธ์ที่ต้องการแล้ว มุมปากยกเชิดขึ้นนิดๆ ยิ้มหยันอยู่ในใจ
เขาคือองค์ชายผู้เป็นผู้นำของดินแดนเบื้องบน กุมกำลังทหารไว้หลายแสนคน เป็นมือดีด้านการวางอุบายบางคนก็เล่นการเมือง ในหมู่ทหารเหล่านั้นก็มีคนหัวแหลมอยู่ไม่น้อยเลย บ้างก็ถูกเขาจัดการด้วยสีหน้าเรียบเฉยบ้างก็ถูกสยบกำราบ
————————————————————————————-
บทที่ 2490 คุนเผิง 3
ล้วนหมอบเชื่องอยู่ในกำมือเขา ไม่กล้าจองหองก่อปัญหา
ตอนนี้ชาวบ้านทั่วเมืองต่อให้แข็งแกร่งสักเพียงใดก็ไม่แกร่งไปกว่าทหารเหล่านั้น คิดจะสยบพวกเขาย่อมเป็นเรื่องไม่คณามือเลย
ขอเพียงใช้กลยุทธ์ที่จำเป็นต้องใช้ ถึงดำก็พลิกให้เป็นขาวได้!
ข่มขวัญไปพอสมควรแล้ว อวิ๋นเยียนหลีจึงใช้ไม้อ่อนอีกครั้ง กวาดตามองฝูงชนแวบหนึ่ง บนใบหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มอ่อนโยน
“ทุกท่านวางใจเถิด เจ้าเมืองอย่างข้าทราบดีว่าคนส่วนมากในที่นี้เป็นคนดี เหตุผลที่ติดตามมาสร้างความวุ่นวายก็เพียงเพราะถูกคนที่มีเจตนาเป็นอื่นยุแยงปลุกปั่นเท่านั้น ข้าผู้เป็นเจ้าเมืองไม่โทษพวกท่านหรอก อย่างไรก็ตาม ระยะนี้เผ่ามารส่งสายลับแทรกซึมเข้ามาในเมืองของพวกเราจริงๆ ข้าผู้เป็นเจ้าเมืองจะทำการไต่สวนคัดกรองอย่างเข้มงวด จะหาต้นตอชั่วร้ายออกมาได้ทันกาล คืนความร่มเย็นผาสุกให้แก่เมืองเล่อกั่วของพวกเรา”
วาจานี้คือมีเจตนาจะจับกุมแกนนำผู้ก่อความวุ่นวายเหล่านั้นมาให้ยาเสีย…
เขาสามารถทำให้เรื่องราวโกลาหลใหญ่หลวงที่เกือบจะกลายเป็นจลาจลสลายไร้เรื่องราวได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยค สายตาที่เจ้าวังน้อยมองเขาเปี่ยมไปด้วยความเทิดทูนใสบูชา ในใจเลื่อมใสเขาเป็นล้นพ้น
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเป็นประชาชนคนธรรมดา ในบรรดานั้นจึงไม่ขาดแคลนคนที่บ้าดีเดือด ยังคงยึดเอาเรื่องพิรุณโลหิตที่หยุดลงในครึ่งคืน แสงมงคลที่พุ่งสู่ฟ้าสลายเมฆาทึบทะมึนไว้ไม่ยอมปล่อย อยากได้คำอธิบายจากอวิ๋นเยียนหลี
ถึงแม้ครั้งนี้ฝูงชนจะไม่ได้คล้อยตามเท่าไหร่แล้ว แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังฉงนในเรื่องนี้อยู่ แสดงออกมาทางสีหน้า
อวิ๋นเยียนหลียิ้มน้อยๆ แวบหนึ่ง ในที่สุดก็ให้คำอธิบาย
“พิรุณโลหิตและค้างคาวโลหิตล้วนเป็นสิ่งชั่วร้ายต่ำทราม น่าจะเป็นเล่ห์กลของคนจากอาณาจักรมาร คิดจะให้อาณาจักรมารได้ครองแดนอสุราเพียงหนึ่งเดียว ในเมื่อเป็นเล่ห์กลของพวกเขา เราย่อมต้องหยุดยั่งไว้ชั่วคราวได้ ครั้งนี้พวกเขาต้องการยุแยงปลุกปั่นคน ใช้กลยุทธ์สร้างเทพเซียนเยือนโลกาอันใดขึ้นมา ควบคู่ไปกับ ‘เทพเจ้า’ ผู้นี้ การทำให้พิรุณโลหิตและค้างคาวโลหิตหยุดลงทันเวลาจะมีอันใดน่าแปลกใจเล่า? ช่วงนี้ข้าผู้เป็นเจ้าเมืองตรวจสอบเรื่องนี้มาโดยตลอดพบว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับบึงพิษ ถึงได้ส่งคนไปตรวจสอบดู ถือโอกาสใช้เพลิงสวรรค์เผาทำลายล้างสถานที่อันตรายแห่งนั้นด้วย ครั้งนี้ที่พิรุณโลหิตหยุดลงทันเวลา น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ข้าผู้เป็นเจ้าเมืองทำลายล้างบึงพิษด้วย…”
คล้ายว่าเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้
“ข้ายังจับอารักษ์มังกรเจียวของอาณาจักรมารได้ด้วย อารักษ์ผู้นี้ก็คือคนที่ขับเคลื่อนค่ายอาคมพิรุณโลหิต”
แล้วโยนแหในมือลงบนพื้น
คุนเสวี่ยอี๋ที่อยู่ในแหปรากฏตัวขึ้นมา…
ฝูงชนเบิกตากว้างมองคนในแห ลอบสูดปากกัน
นี่คืออารักษ์เจียวของเผ่ามารหรือ? งดงามเหลือเกิน!
เป็นบุรุษหรือว่าสตรีล่ะ?
ไม่ถูกสิ เป็นตัวผู้หรือตัวเมียกันนะ?
ที่แท้มังกรเจียวก็งามน่าพิศถึงเพียงนี้…
โลกนี้มีมังกรเจียวอยู่ รูปร่างเหมือนงู ศีรษะเหมือนไทแรนโนซอรัส นิสัยดุร้ายยิ่งนัก โผล่ออกมาจะเกิดลมสลาตัน พายุโหมกระหน่ำ การปรากฏตัวของมันจะมาพร้อมกับภัยพิบัติเสมอ บ้างก็เกิดภัยแล้งกว้างไกลไปพันลี้ บ้างก็เกิดอุทกภัยเนืองนองไปทั่ว
ชาวบ้านที่นี่ทั้งเกลียดทั้งกลัวสิ่งนี้เสมอมา คาดไม่ถึงเลยว่าคนงามที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้จะเป็นสิ่งนั้น!
สายตานับไม่ถ้วนร่อนลงบนร่างคนงามในแห สายตายุ่งเหยิงซับซ้อน มีเกลียดมีเกรงมีชอบมีสงสัย…
ไม่รู้ว่าคุนเสวี่ยอี๋ตื่นตั้งแต่ตอนไหนแล้ว เขาลืมตามองฝูงคนรอบหนึ่ง สายตานั้นดุจระลอกคลื่นคล้ายจะสบตากับทุกคนแวบหนึ่ง
หัวใจของผู้คนนับไม่ถ้วนเต้นกระหน่ำขึ้นมา ลิ้นพันกันไปหมด…
คุนเสวี่ยอี๋หยักมุมปากนิดๆ แทบจะเกี่ยวเอาดวงวิญญาณของฝูงชนได้ แต่วาจาที่เขาเอ่ยออกมาแทบจะทำให้คนพ่นลมออกจมูกด้วยความโมโห
“ตัวโง่เง่ากลุ่มหนึ่ง”
ฝูงชนเหวอไปแล้ว
ทุกคนไม่ลุ่มหลงตะลึงตะลานแล้ว ฝูงชนโกรธายิ่งนัก!
มังกรเจียวติดแหตัวหนึ่ง อยู่ไม่ห่างจากความตายแล้ว ยังกล้าจองหองเช่นนี้อีกหรือ?!