ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 2506 เจ้าจะตื่นตอนไหน / บทที่ 2507 คืนถิ่น
บทที่ 2506 เจ้าจะตื่นตอนไหน
เพียงแต่หาตี้ฝูอีตัวจริงไม่พบเลย
เขาหาจนใบหน้าหล่อเหลาเขียวคล้ำแล้ว ในใจกระจ่างแจ้งแล้ว คงจะหลงกลกู้ซีจิ่วเข้าอีกแล้ว!
หากไม่เหนือไปจากความคาดหมาย ตี้ฝูอีไม่ได้มาที่เมืองเฟิ่งผิงแห่งนี้เลย!
คาถาพรางตาเหล่านี้ล้วนเป็นกู้ซีจิ่วกับเจ้าคุนตัวนั้นที่ตามหลังมา ติดตั้งเอาไว้ ทำให้เขาค้นหาอยู่ที่นี่ทั้งวันเสมือนคนโง่งม!
เขาสูดหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง ไม่ตามหาอย่างไร้จุดหมายอีกแล้ว!
จะช้าหรือเร็วตี้ฝูอีก็ต้องกลับอาณาจักรมาร และทางเข้าอาณาจักรมารก็มีอยู่จุดเดียว นั่นก็คือทะเลทรายนิลกาฬที่คาบเกี่ยวกับเมืองซุ่ยเย่ เขาต้องส่งกำลังทหารไปคุมเข้มอยู่ที่นั่น!
ในระยะเวลาแปดวันนี้ปากทางเข้าแห่งนั้นจะถูกปิดล้อม อนุญาตให้ออกได้เท่านั้นไม่อนุญาตให้เข้า ทุกคนที่ต้องการเข้าไปล้วนจะถูกจับกุมทั้งสิ้น!
ถึงอย่างไรอีกแปดวันให้หลังก็จะเป็นวันพิรุณโลหิตแล้ว ถ้าพวกตี้ฝูอีไม่อาจกลับอาณาจักรมารได้ ก็จำเป็นต้องไปหลบฝนในเก้าเมืองใหญ่
อวิ๋นเยียนหลีถ่ายทอดเสียงสั่งการเจ้าเมืองแต่ละเมืองแล้ว ให้พวกเขาตรวจสอบเมืองของตนให้ละเอียดหน่อย บุคลากรทั้งหมดต้องเกาะกลุ่มกันไว้ ไม่ว่าจะไปไหนก็ต้องจับกลุ่มกันยี่สิบคนขึ้นไป ไม่ว่าจะพบความผิดปกเล็กน้อยขึ้นที่ใดก็ให้รายงานทันที ป้องกันไม่ให้ถูกคนของกู้ซีจิ่วจู่โจมแล้วสวมรอยแทน…
แน่นอน เส้นทางสัญจรระหว่างเมืองต่างๆ ก็ต้องมีคนจับตามองตลอดเวลา ผู้เดินทางทั้งหมด ไม่ว่าจะเดินทางเพียงลำพัง หรือว่าเดินทางกันเป็นกลุ่ม ล้วนต้องตรวจสอบอย่างละเอียด
ยอมสังหารพลาดหมื่นคน ดีกว่าปล่อยให้คนๆ เดียวลอยนวลไป
ตอนนี้เขามีกำลังพลมากมาย ครอบคลุมทั้งแดนอสุราแล้ว เมื่อทั้งหมดเคลื่อนไหวขึ้นมา นั่นก็คือตาข่ายสวรรค์ครอบคลุมโลกา แม้แต่หนูสักตัวก็อย่าหมายจะเล็ดรอดออกไปได้!
ทุกอย่างล้วนจัดการไว้อย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว อวิ๋นเยียนหลีกำหมัดยิ้มเยียบเย็น ครั้งนี้เขาจะคอยดูว่าพวก กู้ซีจิ่วยังจะมีลูกไม้ใหม่ๆ อันใดอีกไหม!
….
หนึ่งวันผ่านไป ไม่มีข่าวคราวและความเคลื่อนไหว
สามวันผ่านไป ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหว
ห้าวันผ่านไป ไร้ซึ่งวี่แววว่าจะมีความเคลื่อนไหว
เจ็ดวันผ่านไป…
อวิ๋นเยียนหลีที่ต่อให้ภูเขาถล่มลงตรงหน้าก็ยังสุขุมเยือกเย็นอยู่ เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว! พวกเจ้าวังน้อยถ้าไม่มีเรื่องรายงานจะไม่กล้าปรากฏตัวใกล้ๆ เขาเลย เลี่ยงไม่ให้ถูกลูกหลงความพาลพาโลเข้า…
ทุกคนทำได้เพียงพยายามทุ่มเทตามหายิ่งขึ้น
จนปัญญาที่ไม่กี่คนนั้นราวกับอันตรธานหายไปกับอากาศแล้ว หาร่องรอยไม่พบเลยสักนิด
สุดท้ายอวิ๋นเยียนหลีก็คิดจะใช้ไพ่ตายแล้ว…เขาคิดจะใช้ความปลอดภัยของพวกชาวเผ่าเหล่านั้นของกู้ซีจิ่วมากดดันให้กู้ซีจิ่วเอาตัวเข้ามาติดแหเอง…
เขาสั่งให้คนไปจับกุมคนเหล่านั้นในข้อหาก่อการกบฏ แต่คำสั่งนี้ของเขาเพิ่งสั่งการลงไป
เจ้าวังน้อยก็เข้ามารายงานแล้ว โขกศีรษะรายงานต่อเขา บอกว่าคนเหล่านั้นก็หายตัวไปเมื่อเจ็ดวันก่อนแล้วเช่นกัน…
เป็นวันเดียวกับที่ ‘เทพเจ้า’ ก่อความวุ่นวายขึ้นในเมืองเล่อกั่ว
คืนนั้นในเมืองสับสนอลหม่าน คนของเจ้าวังน้อยต่างไปรักษาความสงบที่จวนพำนัก หลังจากนางจัดการประชาชนที่ก่อปัญหาวุ่นวายได้แล้ว ถึงได้มีคนมารายงานนาง บอกว่ามีประชาชนมากมายหนีออกไปในคืนนั้น
ในบรรดานั้นมีพวกชาวเผ่าเหล่านั้นของกู้ซีจิ่วด้วย…
เนื่องจากหลายวันมานี้ผู้คนวุ่นวายอลหม่านกันอยู่ตลอด ดังนั้นเจ้าวังน้อยจึงไม่ได้สนใจเลยว่า สรุปแล้วเป็นคนกลุ่มไหน ถึงอย่างไรนางก็ไม่ใส่ใจชาวบ้านพวกนั้นอยู่แล้ว ดังนั้นจึงหลงลืมเรื่องนี้ไปเลย
จวบจนได้รับคำสั่งจากอวิ๋นเยียนหลี นางจึงส่งคนไปตามหา ‘ชาวเผ่า’ เหล่านั้น ถึงได้พบว่า ‘ชาวเผ่า’ เหล่านั้นหายไปหมดแล้ว…
สีหน้าอวิ๋นเยียนหลีเขียวคล้ำ เขย่าตัวเจ้าวังน้อย
“เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้เหตุใดจึงไม่มารายข้าแต่เนิ่นๆ?!”
เจ้าวังน้อยคุกเข่าอยู่ตรงนั้นไม่กล้าส่งเสียงสักแอะ
อวิ๋นเยียนหลีสูดหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง หันหลังก้าวไป ก่อนจากไปได้สั่งการประโยคหนึ่ง
“นำกำลังพลทหารม้าทั้งหมดมา ไปรวมตัวกันที่หุบเขาบรรพตเขียวที่ตั้งอยู่ในทิศตะวันตกห่างจากเมืองลั่วฮวาไปสองร้อยลี้!”
เขารู้แล้วว่าพวกตี้ฝูอีไปหลบซ่อนอยู่ที่ไหน!
เป็นช่องเขาแห่งหนึ่งในหุบเขาบรรพตเขียว! สถานที่ที่พวกกู้ซีจิ่วถูกขังไว้ในตอนแรก!
————————————————————————————-
บทที่ 2507 คืนถิ่น
หากไม่เหนือไปจากความคาดหมาย พวกกู้ซีจิ่วน่าจะอยู่ที่นั่น…
….
พวกกู้ซีจิ่วอยู่ที่นั่นจริงๆ
หัวหน้าเผ่านำชาวเผ่าทั้งหมดหวนกลับไปยังสถานที่ ที่แต่ก่อนพยายามสุดชีวิตเพื่อหลบหนีออกมา
คืนนั้นกู้ซีจิ่วติดต่อหาพวกเขาโดยตรง เล่าสถานการณ์โดยรวมของตนให้พวกเขาฟัง และเล่าถึงความเป็นไปได้ที่อวิ๋นเยียนหลีจะมีแผนการซ่อนเร้นอยู่…
ถึงอย่างไรหัวหน้าเผ่าก็เคยคร่ำหวอดอยู่ในยุทธภพมาเนิ่นนาน ฟังครู่เดียวก็ทราบแล้วว่าควรทำอย่างไร…
ถึงแม้ฝีมือของชาวเผ่าเหล่านี้จะไม่ได้เลิศล้ำมากนัก แต่ก็จิตใจหาญกล้า! แถมยังเชื่อฟังคำพูดของหัวหน้าเผ่า ดังนั้นหัวหน้าเผ่าจึงระดมพลชาวเผ่าในคืนนั้นเลย ฉวยโอกาสตอนที่พิรุณโลหิตเพิ่งซา เป็นช่วงเวลาที่ในเมืองกำลังวุ่นวาย หนีออกจากเมืองไปในคืนนั้นเลย…
ประสบพบพานความทุกข์ยากมากว่าหนึ่งปี วรยุทธ์ของชาวเผ่าเหล่านี้จึงก้าวหน้าไปอีกขั้นแล้ว ผนวกกับมีบุคคลมีความสามารถอื่นๆ ที่ล่าถอยออกมาพร้อมกับพวกเขาด้วย ดังนั้นตอนที่พวกเขาหลบหนีไปยังช่องเขาแห่งเดิมในหุบเขาบรรพตเขียวในคืนนั้น จึงไม่นับว่ายากเย็นนัก…
ยามที่อวิ๋นเยียนหลีสั่งปิดเมือง พวกเขาได้หนีออกจากเมืองไปนานแล้ว พักผ่อนอยู่ที่เนินเขาของหุบเขาที่อยู่ด้านนอกแล้ว
และก่อนที่กู้ซีจิ่วจะช่วยเหลือคุนเสวี่ยอี๋ต่อกรกับอวิ๋นเยียนหลีอยู่ในค่ายกล ก็ได้สั่งการให้สององครักษ์จินหวาคุ้มกันรูปสลักหยกตี้ฝูอีไปยังเมืองลั่วฮวาแล้ว…
เนื่องจากเมืองลั่วฮวาอยู่ห่างจากอาณาจักรมารค่อนข้างไกล ซ้ำยังเป็นทิศตรงกันข้ามอีก ส่วนใหญ่คนของอวิ๋นเยียนหลีจึงถูกส่งไปที่เมืองเฟิ่งผิงแล้ว
ทิศทางที่พวกเขาเน้นตรวจสอบอย่างเข้มงวดคือเส้นทางรถม้าจากเมืองเล่อกั่วไปยังอาณาจักรมาร สำหรับทิศทางที่ตรงข้ามกันก็ไม่ได้ตรวจตราเข้มงวดขนาดนั้น
ดังนั้นสององครักษ์จึงผ่านด่านไปได้อย่างสะดวกราบรื่นยิ่ง…
ส่วนกู้ซีจิ่วหลังจากขี่คุนเสวี่ยอี๋ ไล่ตามไปโปรยหุ่นกระดาษมากมายที่เมืองเฟิ่งผิงหลอกล่อให้อวิ๋นเยียนหลีไล่ตามไป เธอกับคุนเสวี่ยอี๋ก็รีบมุ่งหน้าสู่หุบเขาบรรพตเขียวทันที…
ขณะที่อวิ๋นเยียนหลีกำลังตามหาอย่างหน้ามืดตามัวอยู่ที่เมืองเฟิ่งผิง พวกกู้ซีจิ่วก็ไปรวมตัวกันที่ภายในช่องเขาของหุบเขาบรรพตเขียวแล้ว
ช่องเขานั้นมีเขตแดนฮุ่นตุ้นที่ไม่สามารถผ่านเข้าออกได้ ตอนนั้นเป็นตี้ฝูอีใช้อาคมทำให้เขตแดนนั้นเปิดออก พาทุกคนหลบหนีออกมา
ตอนที่ตี้ฝูอีร่ายอาคม กู้ซีจิ่วได้เห็นมาแล้ว และจดจำเอาไว้ในใจ
หลังจากไปรวมตัวกับทุกคนแล้ว เธอทดลองร่ายดู หลังจากทดลองอยู่สี่ห้าครั้ง ก็ทำให้เขตแดนนั้นเปิดขึ้นอีกครั้งได้จริงๆ พาทุกคนเข้าไป…
ทุกอย่างภายในช่องเขายังคงเหมือนเดิม สัตว์ร้ายอาละวาด เพ่นพ่านไปทั่ว
แต่ผู้คนที่หวนกลับมาอีกครั้งมิใช่ไก่อ่อนเช่นในวันวานแล้ว…
ต่อกรกับสัตว์ร้ายเหล่านี้ก็ไม่นับว่าเกินกำลังแล้ว
เดิมทีทุกคนคิดจะเดินเท้าเข้าไป แต่คุนเสวี่ยอี๋รังเกียจว่ายุ่งยาก ดังนั้นจึงแปลงร่างเป็นพญาเผิงกลางหุบเขา ร่างกายใหญ่โตมากพอ ทุกคนขึ้นไปนั่งหมดแล้วก็ยังมีที่เหลือ…
มันกระพือปีกแค่ไม่กี่ครั้งก็มาถึงปากโพรงแห่งนั้นแล้ว…
จากนั้นทุกคนก็หลั่งไหลเรียงรายกันเข้าไปด้านใน…
สถานที่ ที่อยากหลบหนีออกไปใจแทบขาดในปีนั้น วันนี้พอได้หวนกลับมาอีกครั้ง ทุกคนล้วนมีความรู้สึกว่าได้หวนคืนถิ่นกำเนิดประการหนึ่งขึ้นมา
ถึงแม้สภาพความเป็นอยู่ของที่นี่จะลำบากแร้นแค้นยิ่ง แต่ทุกคนรักใคร่กลมเกลียว ไม่มีวรรณะสูงต่ำ ไม่เหมือนอยู่ในเมือง เดิมทีคิดว่าหลังจากได้เข้าเมืองแล้วจะมีชีวิตมั่งคั่งสุขสบาย ไม่นึกเลยว่าชีวิตความเป็นอยู่ที่นั่นจะง่อนแง่นคลอนแคลนยิ่งกว่า สถานะก็ต่ำต้อยลงด้วย…ความเป็นอยู่ยังสู้ในหุบเขาแห่งนี้ไม่ได้เลย…
ดังนั้น ชาวเผ่าส่วนใหญ่จึงยินดียิ่งนักที่ได้หวนกลับมา ทุกคนต่างกลับไปยังกระท่อมหญ้าคาของตน ค่อยๆ ฟื้นคืนวิถีชีวิตตามปกติ…
…..
ทะเลสาบไหวกระเพื่อมแผ่วเบา คลื่นน้ำระยิบระยับดุจฉาบด้วยปรอท
ริมทะเลสาบมีกระโจมสีขาวหลังหนึ่ง เงาของกระโจมส่องกระทบลงในน้ำ ราวกับภาพวาด
กู้ซีจิ่วนั่งอยู่หน้ากระโจม ข้างๆ เธอคือรูปสลักหยกตี้ฝูอี…
เธอมองรูปสลักหยกอย่างทึ่มทื่อคล้ายจะใจลอยอยู่ ถอนหายใจแผ่วๆ
“ฝูอี เจ้าจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่กัน? แปดวันแล้วนะ…”