ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 2512 เจ้านาย ท่านเพลาลงหน่อย... / บทที่ 2513 รอยยิ้มที่ในที่สุดก็พบทางออกแล้ว!
- Home
- ลำนำบุปผาพิษ
- บทที่ 2512 เจ้านาย ท่านเพลาลงหน่อย... / บทที่ 2513 รอยยิ้มที่ในที่สุดก็พบทางออกแล้ว!
บทที่ 2512 เจ้านาย ท่านเพลาลงหน่อย…
แต่พลังที่ก่อเกิดจากพลังวิญญาณอันกล้าแกร่งนั้น ทรงพลังจนทำให้ไม่อาจสัมผัสแตะต้องทั้งร่างของรูปสลักหยกได้แล้ว แตะเพียงนิดก็จะถูกดีดออกไปอย่างรุนแรง!
มือของกู้ซีจิ่วก็ถูกดีดสะท้อนแล้วเช่นกัน!
ฝ่ามือชาหนึบ เหมือนถูกไฟดูด
เธอไม่ยอมถอดใจแน่นอน ไม่สนใจมือที่ปวดชา แตะแขนของเขาอีกครั้ง แต่ก็ถูกแรงมหาศาลดีดสะท้อนกลับไปอีก แถมแรงดีดครั้งนี้ยังทรงพลังยิ่งขึ้นด้วย
ท่อนแขนของกู้ซีจิ่วปวดชาไปหมดแล้ว ความเจ็บปวดท่วมท้นจนราวกับจะขาดออกจากกัน
หยกนภารีบลอยเข้ามาขวาง
‘เจ้านาย ไม่ได้นะ! ท่านอย่าเข้าไปอีกเลย! ตอนนี้พลังยุทธ์ของท่านต่ำเกินไป จะได้รับผลกระทบนะ!’
แรงดีดสะท้อนของรูปสลักหยกเทียบเท่ากับการซัดฝ่ามืออย่างเต็มกำลังของยอดฝีมือชั้นจินเซียน!
ด้วยวรยุทธ์ของกู้ซีจิ่วในตอนนี้ไม่มีทางทนรับไหว!
นางจะบาดเจ็บสาหัส!
ดวงตากู้ซีจิ่วแทบจะแดงก่ำไปหมดแล้ว!
หากว่าเขาหายจากไปอย่างสมบูรณ์จริงๆ แล้วเธอจะมีชีวิตต่อไปอีกทำไม?!
รูปสลักหยกสั่นไหวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นที่มีละอองแสงเล็กน้อยแผ่ออกมาจากร่างของรูปสลักหยกด้วย…
ขยายไปเรื่อยๆ มากขึ้นเรื่อยๆ…
“เขา…นี่เขา…เป็นอะไร?”
กู้ซีจิ่วยื่นมือออกไปแตะ ละอองแสงเหล่านั้นมีขนาดเล็กยิ่งกว่าเมล็ดข้าวสาร ยามที่ร่วงหล่นลงบนฝ่ามือแทบจะมองไม่เห็นเลย แต่สายตากู้ซีจิ่วเฉียบไว ซ้ำยังมองออกด้วยว่านี่คือผงหยก…
คงมิใช่ว่าเขากำลังจะดับสลายกลายเป็นเถ้าธุลีแล้วกระมัง?!
น้ำเสียงของกู้ซีจิ่วก็สั่นพร่าแล้ว!
หยกนภาก็เริ่มสั่นระริกขึ้นมาเช่นกัน มันมีลางสังหรณ์ไม่ดีแล้ว แต่มันไม่กล้าพูดออกไป…
“ฝูอี นี่ข้าไง! เจ้าอย่าปฏิเสธสิ ข้าเอง”
กู้ซีจิ่วทนไม่ไหวแล้ว โผเข้าไปอย่างไม่แยแสสิ่งใดทั้งนั้น สองแขนโอบรัดเอวของมันเอาไว้สุดชีวิต
“ฝูอี ถ้าเจ้ากล้าหายไปอีก ข้าจะ…ข้าจะ…”
เธอจะอะไรล่ะ?
เธอก็คิดไม่ออกเช่นกันว่ามีอะไรที่สามารถข่มขู่เขาได้ ในสมองเหลือเพียงความหวาดหวั่น เปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว!
ทั้งยังทำอะไรไม่ถูกด้วย ทำอะไรไม่ถูกเสมือนกำลังจะถูกโลกทั้งใบทอดทิ้ง…
เธอไม่สนใจแรงดีดสะท้อนนั้น โอบรัดมันเอาไว้สุดชีวิต น้ำตาไหลริน หยดลงที่ซอกคอของรูปสลักหยก
รูปสลักหยกที่เดิมทีสั่นไหวอยู่ หลังจากถูกกู้ซีจิ่วฝืนกอดรัดเอาไว้ก็ชะงักไปแวบหนึ่ง!
ผ่านไปครู่หนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่ารูปสลักหยกจะหยุดสั่นแล้ว ละอองผงหยกที่เดิมทีกำลังกระจายออกมาในที่สุดก็หยุดลงแล้วเช่นกัน…
ถึงขั้นที่แรงดีดสะท้อนที่พัวพันอยู่บนร่างมัน ก็เลือนหายไปกว่าครึ่งแล้ว ราวกับมีใครคนหนึ่งที่อยู่ในรูปสลักกำลังฝืนสะกดพลังเอาไว้
ครั้งนี้กู้ซีจิ่วไม่ถูกดีดออกไปแล้ว เพียงแต่ ตอนที่เธอเพิ่งจะโอบกอดอีกฝ่ายเอาไว้ แรงดีดสะท้อนนั้นยังคงล้นหลามอย่างยิ่ง สั่นสะเทือนอวัยวะภายในของเธอให้เจ็บปวดราวกับถูกไฟช็อต…
ตอนนี้ถึงแม้แรงดีดสะท้อนบนร่างของรูปสลักหยก จะเลือนหายไปแล้ว แต่ทั้งร่างของกู้ซีจิ่วยังคงเจ็บปวดราวกับถูกเคี่ยวกรำไปแล้วรอบหนึ่ง ทว่าเธอไม่กล้าปล่อยมือเลย
ซุกหน้าลงบนลาดไหล่มัน
“ตี้ฝูอี ข้าจะรอเจ้ากลับมา! ข้าคอยเจ้ากลับมาอยู่นะ! เจ้าจะทิ้งข้าไปอีกไม่ได้นะ…”
หยกนภาก็ลอยเข้ามาหาเช่นกัน คล้องลงบนข้อมือกู้ซีจิ่ว กล่าวอย่างจริงจัง
‘เจ้านาย เขาไม่ตายง่ายๆ หรอก ท่าน…ท่านอย่าเป็นกังวลจนเกินไปเลย’
วาจานี้ไม่สัมฤทธิ์ผลในการปลอบโยนสักเท่าไหร่ กู้ซีจิ่วเพียงนึกว่าหยกนภาแค่เอ่ยปลอบไปเรื่อยเท่านั้น จึงไม่ใส่ใจ
เธอฉวยโอกาสที่รูปสลักหยกไม่สั่นไหวอีกต่อไปแล้ว รีบทาบสองฝ่ามือลงบนร่างมันทันที ทดลองดูดซับพลังวิญญาณอันเชี่ยวกรากในรูปสลักดู…
จะว่าไปแล้วก็แปลก ก่อนหน้านี้ไม่ว่าเธอกับหยกนภาจะใช้วิธีใดล้วนไม่อาจดูดซับได้เลยสักนิด ทว่ายามนี้กลับดูดออกมาได้ราบรื่นยิ่ง พลังวิญญาณที่เชี่ยวกรากในร่างรูปสลักหยกหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายกู้ซีจิ่ว
หยกนภาตระหนกแล้ว
‘เจ้านาย ท่านเพลาลงหน่อย…’
หนนี้มันดูดพลังวิญญาณจากร่างของตี้ฝูอีไม่ได้ ทำได้เพียงคอยชมอยู่รอบนอกเท่านั้น
กู้ซีจิ่วก็ร้อนใจเช่นกัน ฝืนดูดรับโดยไม่แยแสทุกสิ่ง ยามที่พลังวิญญาณหลั่งไหลเข้าสู่ร่าง เจ็บปวดราวกับชีพจรจะปริแยก เธอกัดฟันข่มกลั้นไว้
————————————————————————————-
บทที่ 2513 รอยยิ้มที่ในที่สุดก็พบทางออกแล้ว!
เธอดูดซับมาส่วนหนึ่ง ภายในร่างของตี้ฝูอีก็จะลดลงส่วนหนึ่ง ความเป็นไปได้ที่มันจะระเบิดก็จะลดต่ำลงส่วนหนึ่ง
สิ่งที่เธอไม่รู้ตัวคือ ท้องฟ้าด้านนอกเกิดความแปรปรวนขึ้นมาแล้ว เมฆาทึบทะมึนนับไม่ถ้วนซัดตลบม้วนกลิ้ง…
….
อวิ๋นเยียนหลีที่โจมตีอยู่ด้านนอกหุบเขา ก็ไม่สังเกตเห็นความแปรปรวนของท้องฟ้าเช่นกัน เขาโมโหจนแทบคลั่งแล้ว!
เขามาในครั้งนี้ ได้พายอดฝีมือทั้งหมดที่อยู่ใต้อาณัติมาด้วย
ข้ออ้างที่เขาใช้ง่ายดายยิ่ง ที่นี่คือแหล่งกบดานของลัทธิมารอีกแห่ง จะต้องทำลายทิ้งเสีย!
เขาพากองกำลังมาเรือนหมื่น ในบรรดานั้นไม่ขาดแคลนยอดฝีมือชั้นจินเซียนเ คนเหล่านี้ปิดล้อมโจมตีเขตแดนที่โอบล้อมหุบเขาแห่งนี้มาสามสี่ชั่วยามแล้ว เขตแดนนี้แผ่คลุมไปทั่ว พวกเขาจะงัดอย่างไรก็งัดให้เปิดออกไม่ได้!
อวิ๋นเยียนหลีก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำลายเขตแดนเช่นกัน ซ้ำยังมีพลังวิญญาณชั้นซ่างเสิน เขาคิดว่าบนโลกนี้ไม่มีเขตแดนอันใดที่เขาทำลายไม่ได้ ไม่นึกเลยว่าจะมาพบแผ่นเหล็กที่นี่เข้า!
ผู้ใดกันแน่ที่ก่อเขตแดนนี้ขึ้นมา?!
เหตุใดถึงกล้าแกร่งจนเข้าขั้นวิปริตเช่นนี้ได้?!
แล้วพวกกู้ซีจิ่วเข้าไปได้อย่างไร?
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขตแดนนี้เมื่อปีนั้น กู้ซีจิ่วก็เคยพูดคุยกับเขาอยู่บ้างประโยคสองประโยค เล่าเพียงว่าทำลายได้ยากเย็นอย่างยิ่ง ผู้ที่เปิดออกได้คือตี้ฝูอี เรื่องอื่นไม่ได้พูดถึงเลย
เมื่อก่อนเขาก็เคยหลอกถามเช่นกัน ผลคือหลอกถามอะไรมาไม่ได้เลย
ตอนนี้เขตแดนนี้กลายเป็นอุปสรรคที่กีดขวางเขาไปเสียแล้ว…
ขณะที่ฝืนใช้กำลังโจมตีอยู่ พลันมีคนจุดพลุส่งสัญญาณขึ้น ณ ที่ไกลๆ
เขาใจเต้นแวบหนึ่ง จำได้ว่าเป็นพลุสัญญาณจากเจ้าวังน้อย แสดงว่าพบกับผู้ใดเข้าแล้ว เช่นนี้คือต้องการให้ไปสมทบเพื่อจับกุม
เขารีบทะยานไปยังจุดปล่อยพลุทันที อยู่บนเชิงเขาแห่งหนึ่ง มองเห็นเงาร่างในชุดสีเขียวสายหนึ่งถูกกลุ่มของเจ้าวังน้อยล้อมไว้ตรงกลาง ที่ถูกล้อมไว้ด้วยกันคือลาตัวหนึ่ง…
คุณชายไผ่ขจีแห่งอาณาจักรมาร…
ลูกศิษย์ที่กู้ซีจิ่วเพิ่งรับไว้
ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะส่งตัวเองมาให้ถึงหน้าประตู!
นี่ช่างเป็นสวรรค์ลิขิตทางให้เจ้ากลับไม่เดิน นรกไร้ประตูเจ้ากลับบุกทะลวงเข้ามา!
แววตาอวิ๋นเยียนหลีทอประกายแล้ว! ในที่สุดมุมปากก็หยักขึ้นเป็นรอยยิ้มนิดหน่อยแล้ว
นั่นคือ…รอยยิ้มที่ในที่สุดก็พบทางออกแล้ว!
ว่ากันตามจริงแล้ว วรยุทธ์ของคุณชายไผ่ขจียอดเยี่ยมนัก โดยเฉพาะวิชายุทธ์ประตูตามประสงค์ยิ่งเลิศล้ำ ความสามารถในการหลบหนีเป็นหนึ่งไม่มีสอง
ครั้งนี้ที่เขามา น่าจะเป็นเพราะได้ยินข่าวว่ากู้ซีจิ่วอยู่ที่นี่มาเช่นกัน ดังนั้นจึงลอบมาสืบดู ซ้ำยังแปลงกายเป็นไผ่ลำหนึ่งมาแอบดูด้วย
กลับคาดไม่ถึงว่าเจ้าวังน้อยหมิงเตี๋ยจะสายตาเฉียบคมมองทะลุร่างเดิมได้ ตรงเข้าปิดล้อมโจมตีทันที…
เจ้าวังน้อยก็รอบคอบเช่นกัน นางรู้ถึงวิชาหลบหนีของจู๋ตู๋ชิงดี ดังนั้นนางจึงเลือกจับกุมลาที่เล็มหญ้าอยู่ตรงนั้นก่อนเป็นอันดับแรก!
วรยุทธ์ของลาตัวนั้นไม่อ่อนด้อยเลย แต่คนที่มันต้องประมือด้วยกลับเป็นเจ้าวังน้อยที่เชี่ยวชาญการปราบสัตว์ร้าย ดังนั้นจึงถูกสยบลงอย่างว่องไวยิ่ง ถูกคนของเจ้าวังน้อยใช้เชือกเซียนมัดจนเป็นก้อน
จู๋ตู๋ชิงหักใจจากลาของบ้านตนไม่ได้ ถ้าไม่เข้าตาจนจริงๆ เขาจะไม่ทิ้งลาไว้แล้วหนีไป…
ตอนที่อวิ๋นเยียนหลีตามไปถึง เขากำลังพยายามพุ่งไปทางลาอยู่…
ความเร็วของอวิ๋นเยียนหลีว่องไวดุจใช้วิชาเคลื่อนย้าย ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าจู๋ตู๋ชิงโดยตรง มือหว่านแหใหญ่เข้าใส่เขา…
ผ่านไปหนึ่งนาที จู๋ตู๋ชิงก็ถูกรัดแน่นอยู่ในแหใหญ่ ดิ้นอย่างไรก็ไม่หยุด หนีก็หนีไม่ได้
อวิ๋นเยียนหลีดีใจนัก ยิ้มน้อยๆ ให้เขา
“คุณชายไผ่ขจี สบายดีหรือไม่ เจ้าช่างมาได้ถูกเวลาดีจริงๆ!”
ใบหน้าหล่อเหลาของจู๋ตู๋ชิงเขียวคล้ำ
“อวิ๋นเยียนหลี ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะเลวทรามถึงเพียงนี้!”
อวิ๋นเยียนหลีมองคำด่าทอด้วยความโกรธเกรี้ยวของเขาเป็นดั่งลมที่พัดผ่านใบหูไป คุมตัวเขาเดินไปที่หน้าเขตแดน จากนั้นก็เปล่งเสียงตะโกนก้องเข้าไปสู่ด้านใน
“คุณชายไผ่ขจีแห่งอาณาจักรมารอยู่ในกำมือของข้าแล้ว ตี้ฝูอี บอกคนของเจ้าให้รีบเปิดเขตแดนซะ มิใช่นั้นข้าจะสังหารเขาบูชาสวรรค์ที่นี่เสียเลย!”