ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 2562 มรสุมงานวิวาห์ 3 / บทที่ 2563 มรสุมงานวิวาห์ 4 (1)
บทที่ 2562 มรสุมงานวิวาห์ 3
แม้ว่าทหารเหล่านั้นของอวิ๋นเยียนหลีล้วนเป็นมือดีด้านการสืบร่องรอย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเกมนอกกติกาเช่นนี้ ก็แยกแยะได้ไม่กระจ่างว่าเป็นผู้ใดกันแน่ที่กล่าววาจา ‘ก่อกบฏ’ ประโยคเช่นนี้ออกมา…
ย่อมไม่อาจหยุดยั้งได้ชั่วขณะ ไม่ง่ายเลยกว่าพวกเขาจะหาหุ่นเชิดตัวนั้นพบ ประโยคที่ตะโกนออกมานั้นก็จบลงแล้ว
ได้ยินกันไปทั่วแล้ว!
ประชาชนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตกตะลึง…
ไม่สนใจทหารที่ขวางกั้นเหล่านั้นอีก คนมากมายเริ่มแห่แหนทะยานไปด้านหน้า…
เจ้าเมืองอวิ๋น ท่านจะว่าอย่างไร?”
“เขายังจะว่าอย่างไรได้อีก?! เขาไม่มีทางยอมรับแน่ แต่การที่เขาไม่ยอมให้พวกเราไปดูที่จวนว่าการก็เป็นหลักฐานยืนยันความผิดได้แล้ว!”
“ไม่สนแล้ว ช่วยรูปสลักท่านเทพลงมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”
“ดับไฟ ดับไฟ!”
เสียงเอะอะโวยวายนับไม่ถ้วนดั่งคลื่นสมุทรซัดสาด ความโกรธเคืองของเหล่าปวงชนถูกกระตุ้นขึ้นมาแล้ว เงาร่างนับไม่ถ้วนเหินขึ้นมา บ้างก็ทะยานไปยังแท่นเพลิงที่ลุกไหม้หมายจะช่วยเหลือรูปสลักหยก บ้างก็มุ่งไปยังเวทีที่อวิ๋นเยียนหลีอยู่ คิดจะขอคำอธิบายจากเขา พลางขัดขวางเขาไว้ด้วย และคนส่วนใหญ่ก็เข้าพัวพันทหารเหล่านั้นไว้…
โกลาหลวุ่นวายไปทั่วแล้ว!
ในขณะเดียวกัน เกิดเสียงวิ่งที่ราวกับคลื่นน้ำแว่วมาแต่ไกล
สายสืบทะยานเข้ามารายงาน
“ท่านเจ้าเมือง แย่แล้ว! ประตูเมืองถูกตีแตกแล้ว สัตว์ร้ายมากมายหลั่งไหลเข้ามาแล้วขอรับ!”
พื้นดินใต้ฝ่าเท้าสั่นไหว ดุจมีหมื่นอาชาควบทะยานอยู่ไกลๆ ชัดเจนยิ่งนัก สัตว์ร้ายที่บุกเข้ามามีจำนวนมหาศาล และเมื่อฟังจากเสียงแล้ว เห็นได้ชัดว่ามุ่งมาทางนี้
ชาวบ้านที่เดิมทีกำลังมุงดูอยู่ในที่สุดก็ทนไม่ไหวแล้ว พากันแยกย้ายหลบหนีไป
ทั่วลานโกลาหลวุ่นวายอย่างยิ่ง…
กู้ซีจิ่วอยู่ที่ไหนน่ะหรือ?
ตอนนี้เธออยู่ท่ามกลางฝูงชน แถมจุดที่อยู่ยังเป็นตำแหน่งที่สามารถสังเกตการณ์สถานการณ์โดยรวมได้ง่ายดายยิ่งจุดหนึ่ง เพียงแต่เธอไม่ได้มีอิสระ มีคนกักตัวเธอไว้…
แต่สถานการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนนี้เธอล้วนมองเห็นทั้งสิ้น
เดิมทีทุกอย่างราบรื่นยิ่งนัก กู้ซีจิ่ววางระเบิดจวนของอวิ๋นเยียนหลีสำเร็จ ทำให้ผังดาวปรากฏออกมา ขณะที่เธอกำลังจะเคลื่อนย้ายไปที่จัตุรัสราชธรรม กลับคาดไม่ถึงว่าขณะที่ร่อนลงจะถูกคนผู้หนึ่งขวางทางไว้
คนผู้นั้นสวมชุดสีไผ่ บนใบหน้าหล่อเหลามีสิ่งที่คล้ายแถบแพรคาดบังตาซ้ายไว้ เผยเพียงนัยน์ตาขวาที่เย้ายวน
เขาหยักยิ้มนิดๆ มือข้างหนึ่งทาบลงบนไหล่ขวาของกู้ซีจิ่ว
“อาจารย์ซีจิ่ว จะไปไหนหรือ?”
คนผู้นี้มิใช่ใครอื่น เป็นจู๋ตู๋ชิง ศิษย์ใหม่ที่เธอรับไว้
มือเขาที่จับหัวไหล่เธอไว้มีแรงยิ่งนัก ทำให้ร่างกายเธอชาหนึบไปครึ่งซีก เธอถอยหลังไปตามสัญชาตญาณ ทว่าเขาดุจเงาตามตัว ซ้ำยังเพิ่มแรงกระทำการหนักข้อขึ้นด้วย ถึงขั้นที่ใช้แขนขวาโอบเธอไว้ รัดจนเธอเจ็บบั้นเอวไปหมดแล้ว!
หัวใจของกู้ซีจิ่วจมดิ่งแล้ว!
วรยุทธ์ของจู๋ตู๋ชิงสูงขึ้นกว่าเมื่อก่อนมิใช่น้อยเลย! หากกล่าวว่าแต่ก่อนคือแม่น้ำน้อยสายหนึ่ง ตอนนี้ก็เป็นลำนำใหญ่ที่ไหลเชี่ยวสายหนึ่งแล้ว! วรยุทธ์อย่างน้อยก็ขั้นซ่างเสินแล้ว!
เห็นได้ชัดว่ายามนี้เขาเปิดเผยพลังยุทธ์ที่แท้จริงออกมาแล้ว เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา นั่นบ่งบอกได้ว่าเขาไม่คิดจะเสแสร้งต่อไปแล้ว…
เดิมทีกู้ซีจิ่วยังคิดจะแกล้งทำเป็นสับสนอยู่
“จู๋ตู๋ชิง นี่เจ้าทำอะไร? เจ้าหนีออกมาได้ช่างดีเหลือเกิน ข้ากำลังหาทางช่วยเจ้าอยู่เลย…”
จู๋ตู๋ชิงยิ้มน้อยๆ ถอนหายใจ
“ซีจิ่ว ไยเจ้าต้องเสแสร้งอีกเล่า? เจ้านึกสงสัยในตัวข้าแล้ว ไหนเลยจะยังไปช่วยข้าอีก? ดังนั้นไม่ว่าข้าจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นใด เจ้าล้วนจะทิ้งข้าไปอย่างไม่ไยดี”
“ข้าสงสัยอะไรเจ้า? ข้าไม่เข้าใจเลย เจ้าคงจะเข้าใจข้าผิดไปแล้ว เพียงแต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาอธิบาย ข้ายังมีธุระอยู่ ไว้ข้าค่อยกลับไปคุยกับเจ้าให้ละเอียด…”
กู้ซีจิ่วไม่คิดจะเปิดโปงเขา เลี่ยงไม่ให้เขาโมโหพาโลขึ้นมา คิดจะเล่นกับเขาเล็กน้อยเพื่อหาช่องหลบหนี
————————————————————————————-
บทที่ 2563 มรสุมงานวิวาห์ 4 (1)
จู๋ตู๋ชิงถอนหายใจเบาๆ
“เจ้าคิดจะไปช่วยตี้ฝูอีสินะ? ดี ข้าจะพาเจ้าไป!”
กู้ซีจิ่วเพียงได้ยินเสียงลมพัดผ่านหูคราหนึ่ง ยามที่ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งก็อยู่ในซุ้มม่านที่จัตุรัสราชธรรมแล้ว รอบข้างมีชาวบ้านอยู่ไม่น้อยเลย แต่เธอกลับร้องไม่ออก พอฝืนพูดออกมาก็เบาหวิวเหมือนเสียงยุง
อย่าว่าแต่รอบข้างที่เดิมทีก็ดังโหวกเหวกอยู่แล้วเลย ต่อให้ไม่ดังโหวกเหวก ชาวบ้านที่อยู่รอบข้างเหล่านั้นก็ไม่ได้ยินเสียงเธออยู่ดี
จู๋ตู๋ชิงไม่เพียงแต่สกัดจุดเธอไว้ ยังแปลงโฉมเธอและตัวเองด้วย ตอนนี้เธอกับจู๋ตู๋ชิงดูเหมือนสามีภรรยาวัยกลางคนธรรมดาสามัญ ที่รักใคร่กันคู่หนึ่ง กลืนไปกับฝูงชน
ด้วยเหตุนี้ กู้ซีจิ่วจึงได้เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนเวทีทั้งสอง
มองเห็นอวิ๋นเยียนหลีกับคุนเสวี่ยอี๋เข้าพิธีกัน มองเห็นเพลิงที่ลุกไหม้เวทีที่มัดรูปสลักหยกไว้ เพลิงลุกโชติช่วงสูงขึ้นฟ้า…
“ซีจิ่ว คนที่เข้าพิธีกับอวิ๋นเยียนหลีคือคุนเสวี่ยอี๋กระมัง? อวิ๋นเยียนหลีปากก็พร่ำบอกว่ารักเจ้า ทว่าแม้แต่ตัวปลอมคนหนึ่งก็ยังดูไม่ออก โง่เง่าจริงๆ!”
“ซีจิ่ว รู้ไหมว่านี่คือเพลิงอันใด? คือเพลิงผลาญโสดาบัน…”
จู๋ตู๋ชิงอธิบายถึงความร้ายกาจของเพลิงนี้ กล่าวสรุปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“วิธีนี้เป็นข้าเองที่ถ่ายทอดให้อวิ๋นเยียนหลี โลหิตเหล่านั้นกับศิลาห้าสีก็เป็นข้าที่มอบให้เขา เฮ้อ เพื่อเติมเต็มความปรารถนาของเขา ข้าทุ่มเทอย่างยิ่งจริงๆ แต่เจ้าคนผู้นี้กลับไม่รู้ดีรู้ชั่ว จับข้าไปขังไว้ในคุกวารี คิดจะทำให้ข้าเป็นกิ่งไผ่แช่น้ำ…”
“จู๋ตู๋ชิง เจ้าทำทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไร?”
ความสิ้นหวังมหาศาลเกาะกุมหัวใจของเธอ เธอกัดฟันแน่น
“เพื่อเขาไง”
จู๋ตู๋ชิงเชิดหน้าชี้ไปที่รูปสลักหยกบนแท่น ถอนหายใจแผ่วเบา
“ในที่สุดวันนี้ที่ข้ารอคอยก็มาถึงแล้ว!”
“เจ้ามีความแค้นใดต่อเขาถึงได้วางแผนปองร้ายเขาเช่นนี้?”
“ความแค้นของข้ากับเขา…มิใช่สิ่งที่เจ้าจะเข้าใจได้ เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้หรอก เจ้ารู้ไว้เพียงว่า โลกนี้มีข้าไม่มีเขา มีเขาไม่มีข้า พวกเราไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าได้”
“เจ้าก็เป็นลูกหลานตระกูลอวิ๋นหรือ?”
กู้ซีจิ่วได้แต่คาดเดาไปในทิศทางนี้
“ตระกูลอวิ๋นนับเป็นอันใดกัน? ข้าไม่ร่วมวงศ์วานกับตระกูลอวิ๋นหรอกนะ”
ริมฝีปากจู๋ตู๋ชิงแทบจะจรดริมหูกู้ซีจิ่วแล้ว
“ตระกูลอวิ๋นไม่คู่ควรจะยกรองเท้าให้ข้าด้วยซ้ำ!”
มาถึงขั้นนี้ กู้ซีจิ่วก็เข้าใจแล้วเช่นกัน จู๋ตู๋ชิงก็คือบอสใหญ่ที่ซ่อนตัวลึกยิ่ง ตัวการสำคัญที่ทำให้แดนอสุราแห่งนี้ต้องตกอยู่ในสภาพแวดล้อมอันเลวร้าย
ในที่สุดเขาก็เผยตัวแล้ว…
ทว่าสถานการณ์เป็นเช่นนี้!
มองเห็นเพลิงลุกไหม้สูงเทียมฟ้ากำลังจะลามไปถึงรูปสลักหยกแล้ว เธอกลับถูกคุมตัวไว้ที่นี่ ทำได้เพียงเบิกตามอง!
เธอเห็นคุนเสวี่ยอี๋ส่งสัญญาณลับให้ทหารของอาณาจักรมาร มองเห็นเฟิงหรูฮั่วใช่ขลุ่ยกระดูกส่งสัญญาณลับให้ทัพมารที่ซุ่มอยู่นอกเมือง ล่อสัตว์ร้ายให้หลั่งไหลเข้ามา…
ได้ยินหุ่นเชิดของเทียนซิ่วซิ่วปลุกปั่นฝูงชนเปลี่ยนกระแสน้ำ มองเห็นพวกเขาพุ่งเข้าหาเวทีที่ลุกไหม้อยู่แห่งนั้น…
รอบข้างโกลาหลอย่างยิ่ง ในใจเธอเพิ่งจะบังเกิดความหวังอันน้อยนิดขึ้นมา ก็ถูกจู๋ตู๋ชิงดับให้วอดด้วยประโยคหนึ่ง จู๋ตู๋ชิงส่ายศีรษะทอดถอนใจเบาๆ อยู่ตรงนั้น
“โง่เง่าจริงๆ หากเพลิงผลาญโสดาบันถูกจุดขึ้นมาแล้วจะไม่สามารถดับลงได้ มันแผดเผาทุกอย่างที่ถูกขังอยู่ภายใน พวกเขากระโจนเข้าไปก็เป็นการเข้าไปตายเท่านั้น จุ๊ๆ น่าเสียดาย”
กู้ซีจิ่วเยือกเย็นเสมอมา ทว่ายามนี้ในสมองกลับเกิดเสียงดังหึ่งๆ แล้ว เบื้องหน้ามืดมัวเป็นพักๆ นัยน์ตาแดงฉาน!