ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 2569 ประลอง 2 / บทที่ 2570 ประลอง 3
บทที่ 2569 ประลอง 2
ตี้ฝูอียังไม่ทันเอ่ยวาจา คุนเสวี่ยอี๋ที่อยู่ด้านข้างก็เปิดปากแล้ว
“ปัญหานี้ชัดเจนปานเหาบนศีรษะแล้ว ยังต้องถามอีกหรือ? ผังดาวนั้นเป็นค่ายกลวิญญาณร้ายแน่นอน! ค้างคาวโลหิต พิรุณโลหิตรวมถึงสัตว์คลุ้มคลั่งเหล่านั้นล้วนเป็นผลมาจากค่ายกลทั้งสิ้น! ผังดาวในเมืองนี้ได้เผยออกมาก่อนหน้านี้แล้ว ทุกคนกลับไปดูเองก็รู้แล้ว”
ชาวบ้านที่มุงดูอยู่ต่างเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า เมื่อผนวกกับพฤติกรรมก่อนหน้านี้ของอวิ๋นเยียนหลี พวกเขายังคงเชื่อถือต่อคำพูดนี้ยิ่งนัก
ความจริงแล้วทุกคนล้วนอยากไปดูผังดาวนั้น ไปดูของจริงสักหน่อย ถึงอย่างไรนี่ก็เกี่ยวพันถึงชะตาชีวิตของพวกเขา
แน่นอน พวกเขาต่างสนใจสองเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่กำลังจะเริ่มประลองกันยิ่งนักเช่นกัน ถึงอย่างไรโอกาสเช่นนี้ก็หาได้ยากยิ่งนัก…
พวกเขาค่อนข้างขัดแย้งในตัวเองไปชั่วขณะ แต่พอหวนคิดดูแล้ว ถึงอย่างไรค่ายกลนั้นก็เผยออกมาแล้ว หนีไปไม่ได้ด้วย งั้นก็ดูศึกตัดสินของเทพใหญ่สองท่านนี้ก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด!
ด้วยเหตุนี้ หลังจากเหล่าชาวบ้านวุ่นวายอยู่ครู่หนึ่งก็สงบลงอีกครั้ง ยืนอยู่ที่เดิมรอชมละคร
แววตาเจ้าวังน้อยวูบไหวนิดๆ พลันเยาะหยันคราหนึ่ง
“ผังดารานี้เดิมที่ดียิ่ง ท่านเจ้าเมืองของบ้านข้าทุ่มเทกายใจเพื่อคงสภาพวงโคจรของค่ายกลนี้ ถึงทำให้ปวงประชาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้ กลับคาดไม่ถึงว่าจะถูกลบล้างด้วยคำพูดไม่กี่ประโยคของเผ่ามาร ซ้ำยังยัดข้อหาใหญ่โตเช่นนี้ให้ท่านเจ้าเมืองของพวกเราด้วย พวกเจ้าทำลายผังดาราของเมืองเล่อกั่วไปแล้ว ผู้ใดจะรู้ได้ว่าก่อนหน้านี้คนของพวกเจ้าไม่ได้ลงมือกับผังดาราของที่นี่? ไม่แน่ว่าอาจจะลงมือไปมากมายยิ่งแล้ว เจตนาปล่อยวิญญาณอาฆาตส่วนหนึ่งไว้ อาศัยเรื่องนี้มาป้ายสีท่านเจ้าเมืองของพวกเรา…”
เจ้าวังน้อยผู้นี้วาทศิลป์ดี ความสามารถในการกลับดำเป็นขาวยังคงแก่กล้านัก
ในวาจาวกวนประโยคนี้ยังคงมีเหตุผลเช่นนั้นอยู่หลายส่วนจริงๆ หากว่าก่อนหน้านี้อวิ๋นเยียนหลีไม่ได้ปิดตายที่นี่ขัดขวางไม่ให้ผู้คนไปตรวจสอบดู ไม่แน่ว่าผู้คนที่นี่อาจจะเชื่อวาจาตลบตะแลงนี้ของนาง…
แต่ตอนนี้…
ตี้ฝูอียิ้มอย่างเฉื่อยชาแวบหนึ่ง กวาดสายตามองด้านล่างแวบหนึ่ง
“ทุกท่านเชื่อผู้ใดเล่า?”
ชาวบ้านด้านล่างมองหน้ากันครู่หนึ่ง แทบจะเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน
“พวกเราเชื่อท่าน!”
เจ้าวังน้อยโมโหจนใบหน้าพริ้มเพราเขียวคล้ำแล้ว ด่าทอด้วยความโกรธ
“พวกโง่เขลาเบาปัญหา ไร้เหตุผลสิ้นดี!”
บางคนทนไม่ไหวอีกต่อไป เอ่ยโต้ไปว่า
“หากในใจพวกเจ้าไร้มาร เหตุใดจึงไม่ปลายให้พวกเราเข้าไปตรวจดูผังดาวของเมืองอื่นเลยเล่า? หลังจากเกิดเรื่องที่เมืองเล่อกั่วพวกเจ้าก็ปกปิดข่าวเอาไว้ตลอด และตามจับกุมยอดฝีมือผู้มีความสามารถที่ต้องการไปสืบหาความจริงไปทั่ว! มอบข้อหาสายลับเผ่ามารให้พวกเขาแล้วประหารทันที! ระยะนี้คนจำพวกนี้ที่ถูกพวกเจ้าสังหารไปมีมากน้อยปานใดแล้ว? ในใจพวกเจ้าไม่รู้จำนวนหรือไร?! ถึงแม้พวกเจ้าจะฝืนกลบเรื่องนี้ลงไป แต่การที่พวกเจ้าทำเช่นนี้คือการปิดหูขโมยกระดิ่งชัดๆ! ยิ่งปิดยิ่งเผย! ทุกคนนึกสงสัยในตัวพวกเจ้ามานานแล้ว! พวกเจ้านึกว่าจะชาวบ้านเป็นพวกที่หลอกลวงได้ง่ายดายปานนั้นหรือ?!”
พอมีคนหนึ่งต่อต้านเช่นนี้ คนอื่นๆ ก็พากันคล้อยตาม ทุกคนต่างอดทนกันมานานมากแล้ว ตอนนี้ถึงกล้าเอ่ยความจริงออกมา
เจ้าวังน้อยมีนิสัยหยิ่งยโสเสมอมา ไหนเลยจะยอมให้ผู้อื่นตำหนินางได้เช่นนี้? ด้วยความโกรธจึงตวัดแส้เข้าใส่คนที่เอ่ยโต้แย้งผู้นั้น!
แส้นี้ของนางใส่พลังวิญญาณทั้งหมดลงไป ชัดเจนยิ่งนักว่าคิดจะฟาดผู้อื่นให้ตายทันที!
แต่แส้นี้ของนางยังไม่ทันฟาดลงบนร่างคนผู้นั้น แสงกระบี่สายหนึ่งก็โฉบเข้ามา ปัดแส้ของนางออกไปโดยตรง
เจ้าวังน้อยโกรธานัก
“กู้ชิง เจ้าคิดจะกบฏรึ?”
ไม่น่าเชื่อว่าคนที่ขัดขวางนางจะเป็นลูกน้องใต้สังกัดของนางคนหนึ่ง และเป็นชาวแดนอสุราเต็มตัวด้วย
กู้ชิงเม้มปากแน่น
“ชาวแดนอสุราต้องการความจริง!”
————————————————————————————-
บทที่ 2570 ประลอง 3
“มิผิด! พวกเราต้องการความจริง! ไม่อยากถูกคนใจทรามคิดคดใช้ให้ทำร้ายชาวดินแดนของพวกเรา! ”
“ใช่! ใช่! เหตุผลที่พวกเราติดตามเจ้าเมืองก็เพราะรู้สึกว่าเจ้าเมืองคือดาวช่วยชีวิตของพวกเราชาวแดนอสุรา แต่ตอนนี้เห็นทีว่าเรื่องราวจะไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว!”
“คนที่พวกเจ้าส่งเราออกไปไล่ล่าสังหารมิใช่เผ่ามารเลย แต่เป็นชาวดินแดนของพวกเรา!”
มีทหารส่วนหนึ่งลุกออกมาด้วย พวกเขาก็ทนมานานมากแล้วเช่นกัน!
ในเวลาชั่วพริบตาหนึ่ง กว่าครึ่งของทหารเหล่านั้นที่อวิ๋นเยียนหลีพามาก็ต่อต้านแล้ว ซ้ำยังเป็นไฟลามทุ่งด้วย มีทหารเริ่มคล้อยตามมากขึ้นเรื่อยๆ…
คนเหล่านี้ล้วนเป็นศิษย์หัวกะทิในนิกายดั้งเดิมเหล่านั้นของแดนอสุรา แดนอสุราประสบเภทภัยใหญ่หลวงนี้ พวกเขาไม่ว่าคนใดล้วนมีญาติมิตรที่สิ้นชีพไปในภัยพิบัตินี้ บางคนถึงขั้นที่ถูกกวาดล้างไปทั้งวงศ์วาน พวกเขาก็ต้องการความจริงเช่นกัน
ตอนนี้ขอเพียงมิได้ตาบอดอย่างแท้จริง ผู้ใดบ้างที่ยังมองไม่ออกว่าใครถูกใครผิด?!
คนเหล่านี้ย่อมไม่คิดจะขายชีวิตให้อวิ๋นเยียนหลีแล้ว!
ต่อให้เจ้าวังน้อยจะมีวาทศิลป์เป็นเลิศ ก็จูงใจคนกลับไปไม่ได้แล้ว
เดิมทีคนเหล่านั้นปิดล้อมพวกเฟิงหรูฮั่วเอาไว้ ทว่ายามนี้กลับตีวงเข้าหาเวทีสูงรางๆ แล้ว…
สีหน้าอวิ๋นเยียนหลีซีดเซียว
เพียรพยายามทำทุกวิถีทางมากว่าร้อยปี อีกก้าวเดียวจะกลับไปทวงกรรมสิทธิ์ได้แล้ว!
เขาไม่นึกเลยว่าพอตี้ฝูอีฟื้นคืนมา ยังไม่ทันลงมืออย่างจริงจังก็ทำลายความพยายามเนิ่นนานปีของเขาลงเช่นนี้แล้ว!
ไม่ง่ายเลยว่าเขาจะก่อสร้างฐานความไว้ใจของปวงชนได้ กลับถูกทำลายลงเช่นนี้!
เขาโกรธเกรี้ยวนัก เพียงแต่ ยังมิได้สิ้นหวัง
ถึงอย่างไรเขาก็เห็นแดนอสุราแห่งนี้ เป็นเพียงแท่นเหยียบย่างสำหรับการบำเพ็ญอยู่แล้ว ไม่เคยมีใจอยากเป็นราชันของดินแดนนี้เลย ยิ่งไปกว่านั้นคือตอนนี้พื้นฐานบำเพ็ญของเขาเป็นขั้นเทพยุทธ์แล้ว ต่อให้ไปจากที่นี่ก็ไม่เป็นไร…
เขากวาดตามองทหารชุดดำที่โผล่ออกมาในช่วงหลังเหล่านั้น คนพวกนั้นสิถึงจะเป็นลูกน้องที่แท้จริงของเขา เป็นแขนขาของเขา
และคนเหล่านี้ไม่มีทางทรยศเขาได้!
คนเหล่านี้ล้วนถูกเขาอบรมเลี้ยงดู ด้วยวิธีที่ท่านเทพในฝันผู้นั้นถ่ายทอดให้ ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ก็จะจงรักภักดีต่อเขาแน่นอน ถึงแม้เขาจะสั่งให้พวกเขาไปตาย พวกเขาก็ไม่มีทางขมวดคิ้วเลยสักแวบ
อย่างเช่นยามนี้ ทุกคนล้วนตั้งข้อสงสัยในตัวเขา แต่คนเหล่านี้ยังคงเฝ้าคุ้มกันอยู่ข้างกายเขาด้วยความภักดี…
คนเหล่านี้ล้วนเป็นหัวกะทิในหมู่หัวกะทิ ล้วนเป็นผู้มีพลังยุทธ์ประมาณขั้นจินเซียน ต้านร้อยด้วยหนึ่งได้! ต้านพันด้วยหนึ่งได้!
เขาเหลือบมองทหารพวกนั้นที่ก่อการกบฏแล้ว สั่งการเสียงเยียบเย็น
“ทัพทมิฬรับคำสั่ง ไปจับตัวคนที่ทรยศต่อข้าผู้เป็นเจ้าเมืองมาให้ข้า!”
“ทราบ!”
ทัพทมิฬรับคำสั่งเสียงกร้าว ชักดาบชูกระบี่ย่างเข้าโจมตีทหารเหล่านั้นที่ตั้งคำถามต่ออวิ๋นเยียนหลี!
เดิมทีกู้ซีจิ่วคิดว่าจะได้ดูยอดฝีมืออย่างตี้ฝูอีกับอวิ๋นเยียนหลีสำแดงกระบวนท่า กลับไม่นึกเลยว่าคนของอวิ๋นเยียนหลีจะเกิดศึกภายในขึ้นมาก่อน เลิกคิ้วขึ้นนิดๆ
ถึงแม้ทัพทมิฬเหล่านี้จะปิดบังหน้าตาไว้ แต่กู้ซีจิ่วยังคงมองออกว่าพวกเขาเป็นชาวพื้นเมืองของแดนอสุรา ว่ากันตามเหตุผลแล้วพวกเขาไม่ควรจะงมงายเช่นนี้ เวลานี้แล้วยังคงขายชีวิตให้อวิ๋นเยียนหลีอยู่…
คนเหล่านี้น่าจะถูกล้างสมองให้ภักดีอย่างสิ้นเชิง หรือไม่ก็ถูกควบคุมจิตใจ…
เรือนกายเธอไหววูบ พุ่งตรงไปยังเบื้องหน้าของคนชุดดำผู้หนึ่ง…
นิ้วมือแตะลงบนข้อมือคนผู้นั้นแวบหนึ่ง
เนื่องจากเธอว่องไวเกินไป คนผู้นั้นจึงไม่ทันได้ตอบสนอง
ส่วนกู้ซีจิ่วด้วยการสัมผัสนี้ก็จับสังเกตได้ว่าชีพจรของคนผู้นี้ไม่ปกติ!
“พวกเขาถูกควบคุม!”
กู้ซีจิ่วเอ่ยเสียงเย็น สายตาร่อนลงบนหน้าอวิ๋นเยียนหลี คมกริบดุจใบมีด
“อวิ๋นเยียนหลี เจ้าใช้ยากับพวกเขา!”
อวิ๋นเยียนหลีสูดหายใจเบาๆ คราหนึ่ง ยิ้มหยัน
“เจ้าพูดเหลวไหลอะไร? ข้าผู้เป็นเจ้าเมืองเคยใช้ยากับพวกเขาจริงๆ แต่ก็เพียงเพื่อให้พลังยุทธ์ของพวกเขาก้าวหน้า! มิใช่ยาสั่งอันใด!”