ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 2581 ครอบครัวพบหน้า 2 / บทที่ 2583 ครอบครัวพบหน้า 3
บทที่ 2581 ครอบครัวพบหน้า 2
ที่ปลายเส้นใยเหล่านั้นมีปากเล็กๆ ปากหนึ่ง ยามที่พวกมันหุบปิดจะมองไม่เห็นอะไร แต่พอพวกมันอ้าออก กลับกว้างเท่าเล็บมือได้ เมื่อยั้วเยี้ยแน่นขนัดเช่นนี้ สามารถทำให้คนที่เป็นโรคกลัวงูมองเห็นขนหัวลุกขึ้นมา!
เส้นใยเหล่านี้โจมตีเขตแดนที่ตี้ฝูอีก่อไม่เข้า จึงแผ่ขยายออกไปด้านนอก ราวกับเถาวัลย์ที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ยืดยาวออกไปทั่วสารทิศ
“ฮ่าๆ ตี้ฝูอี อย่างมากเจ้าก็สามารถปกป้องหมื่นกว่าคนนี้ได้เท่านั้น แต่เจ้าจะปกป้องทั้งแดนอสุราไว้ได้หรือ? เถาวัลย์เซียนอสูรพวกนี้แพร่ขยายออกไปได้ไม่มีสิ้นสุด สุดท้ายทั่วทั้งแดนอสุราล้วนจะถูกเถาวัลย์เซียนอสูรเขมือบกลืน…”
เสียงหัวเราะเบาๆ ของคนชุดดำผู้นั้นแว่วอยู่ในอากาศ วาจาที่เอ่ยออกมาอำมหิตอย่างยิ่ง
ฝูงชนหน้าเปลี่ยนสีแล้ว หากว่าทั้งทวีปล้วนเต็มไปด้วยหนวดของเจ้าสัตว์ประหลาดนี้ พวกเขาไหนเลยจะยังมีทางรอดได้?!
“จู๋ตู๋ชิง เจ้าทำแบบนี้เพื่ออะไรกันแน่?”
กู้ซีจิ่วตะโกนถาม
คนชุดดำผู้นั้นหลุบตาลงนิดๆ สายตาร่อนลงบนร่างกู้ซีจิ่ว ไม่ได้ตอบคำถามของเธอ กลับถอนหายใจแผ่วๆ
“อาจารย์ซีจิ่ว ท่านยังคิดว่าข้าคือจู๋ตู๋ชิงอีกหรือ?”
น้ำเสียงเขาพิเศษอย่างยิ่ง ไม่ได้ไพเราะเสนาะหูมากนัก แต่ยามที่กล่าวด้วยเสียงนุ่มทุ้มยังคงดึงดูดคนนัก ราวกับตะขอน้อยๆ ที่เกี่ยวลงบนใจคน
ชัดเจนนัก เขาใช้วิชาเสน่ห์อันใดอยู่ สตรีคนอื่นที่อยู่ในลานได้ยินเสียงนี้แล้วรู้สึกเพียงว่าร่างกายเบาหวิวเป็นพักๆ หัวใจหลอมละลายอย่างน่าประหลาด
ทว่ากู้ซีจิ่วเพียงเลิกคิ้วแวบหนึ่ง มีภูมิต้านทานต่อมนต์เสน่ห์ประเภทนี้
“ข้ารู้ว่าจู๋ตู๋ชิงเป็นเพียงนามแฝงของเจ้า มังกรประทีปตัวนี้ก็คือลาตัวนั้นกระมัง?”
คนชุดดำถอนหายใจเบาๆ
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าไม่อาจปกปิดเจ้าได้ ใช่แล้ว มันคือลาตัวนั้น”
เขาตบหัวมังกรประทีปเบาๆ
“เสี่ยวโม่ มาสิ ทักทายสหายเก่าหน่อย”
มังกรประทีปพ่นลมออกมา ส่ายหัวนิดๆ เชิดหน้าร้องคราหนึ่ง
ทว่าเสียงร้องนี้มิใช่เสียงลาแล้ว เป็นเสียงคำรามที่กังวานไปไกล ก้องไปทั่วนภา
ด้วยเหตุนี้…เขตแดนที่ตี้ฝูอีก่อขึ้นจึงพังทลายลงทันที…
เหล่าชาวบ้านเผยสู่โลกภายนอกอีกครั้ง เส้นใยเหล่านั้นฉวยโอกาสคืบคลานเข้ามา คิดจะเขมือบกินอีกสักหลายๆ คน โชคดีที่พวกเฟิงหรูฮั่วเฝ้าไว้อย่างหนาแน่น พอเส้นใยมาถึง ก็แกว่งกระบี่ฟาดฟันทันที…
ไม่น่าเชื่อว่าเส้นใยจะเหนียวแน่นเป็นที่สุด ไม่กริ่งเกรงคมดาบ ฟันไม่เข้าในชั่วขณะ ผู้ที่มีวรยุทธ์ค่อนข้างต่ำบางส่วนกลับถูกยึดอาวุธไว้ ถ้ามิใช่เพราะปล่อยมือไว แม้แต่แขนก็คงถูกยึดดึงเข้าไปด้วย
ตี้ฝูอีดีดปลายนิ้วอย่างต่อเนื่อง ทุกกระแสดัชนีพุ่งถูกเส้นใยสายหนึ่ง เมื่อกระแสดัชนีไปถึง เส้นใยก็ขาดสะบั้นทันที…
วิญญาณอาฆาตที่คล้ายโครงกระดูกสองร่างกรีดร้องโหยหวน ราวกับถูกคนตัดมือตัดเท้า ตรงเส้นใยที่ขาดมีของเหลวสีดำเน่าเหม็นไหลออกมา คล้ายจะเป็นเลือดของพวกมัน
“อย่าทำร้ายพวกมันนะ!”
อวิ๋นเยียนหลีแทบจะโผเข้าไปแล้ว หมายจะปกป้องเส้นใยเหล่านั้น
เพียงแต่เขาเพิ่งจะพุ่งออกไปได้สองก้าว ก็ถูกเส้นใยเหล่านั้นเข้ามาพัวพันจากด้านหลัง!
เมื่อเส้นใยเหล่านั้นได้ตัวคน ย่อมหดกลับไปทันที…
คุนเสวี่ยอี๋ขมวดคิ้วแวบหนึ่ง เขาย่อมไม่มีความรู้สึกพิเศษอันใดต่ออวิ๋นเยียนหลี เพียงแต่จากการคลุกคลีอยู่ด้วยกันสองวันมานี้ เขารู้สึกว่าเขาค่อนข้างน่าสงสาร อีกอย่างเขาก็เข้าพิธีกับตนเองแล้วด้วย! ถึงแม้จะเป็นการจับพลัดจับผลูก็เถิด แต่ในใจเขาแล้ว มีความรู้สึกที่บอกได้ไม่กระจ่างอย่างหนึ่งว่าต้องรับผิดชอบอวิ๋นเยียนหลี ย่อมไม่อยากเห็นอวิ๋นเยียนหลีถูกสูบกินจนแห้งเป็นซาก พลันทะยานกายขึ้น กระบี่ยาวตรงเข้าตัดเฉือนเส้นใยที่รัดพันอวิ๋นเยียนหลีไว้…
เกิดเสียงดัง ‘ฉึบ!’ กระบี่ยาวของเขาถูกยึดไว้…
เส้นใยเหล่านั้นไต่พัวพันขึ้นมาบนกระบี่ล้ำค่าอย่างบ้าคลั่ง…
————————————————————————————-
บทที่ 2583 ครอบครัวพบหน้า 3
คุนเสวี่ยอี๋ได้แต่ปล่อยมือ
เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปทางตี้ฝูอี
“นายท่าน!”
เจตนาของความช่วยเหลือ
ตี้ฝูอีก่อเขตแดนโดมคุ้มกันชาวบ้านเหล่านั้นขึ้นมาอีกครั้งแล้ว เมื่อเห็นอวิ๋นเยียนหลีกำลังจะถูกลากไปถึงเบื้องหน้าวิญญาณอาฆาตสองตนนั้น เขาจรดนิ้ว คล้ายคิดจะทำอันใด ทว่าก็ไม่ได้ทำ
คนมากมายมองไปที่ตี้ฝูอี รู้ว่าเขาเป็นคนเดียวที่จะช่วยอวิ๋นเยียนหลีได้…
เจ้าวังน้อยที่ถูกกักไว้ในเขตแดนก็ลงไปคุกเข่าอยู่บนพื้นแล้ว โขกศีรษะให้ตี้ฝูอีติดๆ กัน ขอร้องให้เขาช่วยเหลือ
กู้ซีจิ่วก็วิตกเช่นกัน แต่เธอก็ไม่ได้เรียกร้องให้ตี้ฝูอีช่วยคน เพียงกำมือแน่นอยู่ด้านข้าง…
ตี้ฝูอีจับมือข้างนั้นของนาง พบว่าปลายนิ้วนางเย็นเฉียบอยู่บ้าง ชะงักไปเล็กน้อย เอ่ยเพียงสองคำ
“อย่ากลัว!”
กู้ซีจิ่วพยักหน้า
“วางใจเถอะ ข้าไม่กลัว ข้าเชื่อท่าน”
เธอเชื่อว่าตี้ฝูอีทำเช่นนี้จะต้องมีเจตนาอันลึกซึ้งแน่…เขาไม่จำเป็นต้องอธิบายกับเธอ เธอเข้าใจและเชื่อใจเขา
ตี้ฝูอีถอนหายใจอย่างไร้สุ้มเสียง ตบมือน้อยของนางเบาๆ ไม่ต้องมีคำบรรยายให้ลึกซึ้ง
สายตาของเขาก็จับจ้องอยู่ที่ร่างอวิ๋นเยียนหลีเช่นกัน จรดนิ้วเอาไว้ตลอดเวลา อยู่ที่จะสำแดงหรือไม่
พริบตาเดียวอวิ๋นเยียนหลีก็ถูกลากไปถึงเบื้องหน้าวิญญาณอาฆาตสองตนนั้นแล้ว เดิมทีวิญญาณอาฆาตสองตนนั้นคิดจะฉีกเขาเป็นสองท่อนแบ่งอาหารกัน แต่ทันทีที่ดึงเข้าไปกลับชะงักไปในทันใด…
เส้นใยที่รัดพันอวิ๋นเยียนหลีอยู่สั่นเบาแผ่วเบา คล้ายต้องการจะลากดึงแต่ก็คล้ายจะต่อต้าน…
“เสด็จพ่อ เสด็จแม่!”
อวิ๋นเยียนหลีไม่สนใจเส้นใยที่รัดพันร่าง โผเข้าใส่ซากแห้งทั้งสอง แขนข้างหนึ่งโอบกอดท่อนขาของซากหนึ่งเอาไว้
“เป็นใคร? เป็นใครที่ทำให้พวกท่านกลายเป็นเช่นนี้?! เป็นผู้ใด?!”
บนร่างของผีดิบทั้งสองมีแสงสีแดงไหววูบวาบ เส้นใยที่ยื่นออกมาก็ยืดๆ หดๆ เดี๋ยวก็รัดคออวิ๋นเยียนหลี เดี๋ยวก็พันเอวเขาไว้อีก…
ราวกับอสรพิษที่กำลังยื่นลิ้นแสวงหาอาหารใส่ปาก ค่อยๆ เผยเขี้ยวออกมาราวกับทนไม่ไหวแล้ว
ฝูงชนกลั้นหายใจมอง ผู้ใดก็ไม่กล้าส่งเสียง เกรงว่าจะทำให้วิญญาณอาฆาตสองตนนั้นระเบิดพลังล้างสังหาร…
“อ๊ากก…”
ผีดิบทั้งสองกรีดร้องออกมา แปดสัตว์ร้ายเสมือนถูกกระตุ้น หงุดหงิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาอีกครั้ง
ชัดเจนยิ่งนัก ฟังคำสั่งของสองผีดิบนี้ และกล่าวได้ว่าถ้าผีดิบทั้งสองคลุ้มคลั่งจะทำให้แปดสัตว์ร้ายคลุ้มคลั่งไปด้วย…
แปดสัตว์ร้ายเป็นร่างจำแลงโลหิต กล่าวเช่นนี้คือเป็นสัตว์ร้ายที่ตายไปแล้ว แต่ดวงวิญญาณถูกผนึกเอาไว้ในโลหิตหลบหนีไม่ได้ เมื่อไอพยาบาทท่วมท้นขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็เป็นอิสระออกมาจากโลหิตที่เดือดพล่าน…
และผีดิบสองตนนี้มองแวบเดียวก็รู้ว่าอยู่มานานแล้ว ตรวนเหล็กเหมันต์บนร่างขึ้นสนิมแล้ว และเหล็กเหมันต์น่าจะขึ้นสนิมมานับร้อยปีแล้ว…
อวิ๋นเยียนคล้ายจะเข้าใจอะไรแล้ว พลันเงยหน้ามองคนชุดดำที่ยืนอยู่ตรงนั้นท่ามกลางเมฆหมอก เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“เป็นเจ้า เจ้าทำให้พวกเขาเป็นแบบนี้! พวกเขามีความแค้นอันใดกับเจ้ากัน? เจ้าถึงทำแบบนี้กับพวกเขา!”
คนชุดดำผู้นั้นถอนหายใจเบาๆ
“เด็กโง่ เจ้าก็มีส่วนที่ทำให้พวกเขาเป็นแบบนี้ด้วย เจ้ารู้ไหม ทุกครั้งที่เจ้าฝึกฝนอยู่ในค่ายกล ล้วนจะเกิดแรงกระตุ้นอันไร้รูปลักษณ์แก่ตรวนเหล็กเหมันต์ด้านล่าง ทำให้พวกมันถูกเคาะกระดูกทุบเส้นเอ็น ทรมานเป็นหมื่นเท่า ไอพยาบาทดุจธารสมุทร…”
อวิ๋นเยียนหลีหน้าซีดเผือด มือที่อยู่ในแขนเสื้อแข็งเกร็ง
“อะ…อะไรนะ?”
“เด็กดี เจ้าฉลาดขนาดนี้ น่าจะรู้นะว่าข้ากำลังบอกอะไร พลังยุทธ์ทุกหยาดที่เจ้าฝึกฝนจนได้มา ล้วนมาจากการดูดซับไอวิญญาณของเสด็จพ่อเสด็จแม่เจ้า…อืม อันที่จริงก็ไม่ผิดหรอกนะ เช่นนี้ก็เท่ากับพ่อแม่ของเจ้าถ่ายวรยุทธ์ให้แก่เจ้านั้นแหละ เพียงแต่พวกเขาต้องทุกข์ทรมานมหาศาลก็เท่านั้น…”