ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 2620 กลียุค / บทที่ 2621 กลียุค 2
บทที่ 2620 กลียุค
ในแง่นี้ คนเหล่านี้ก็เหมือนพวกปีศาจญี่ปุ่นที่เข้ามารุกรานประเทศจีนในสมัยนั้น ใช้ยุทโธปกรณ์ที่ล้ำสมัยเข้าปล้นสะดมอย่างไร้ยางอาย
หัวใจกู้ซีจิ่วเสมือนจมลึกลงไปใต้น้ำ
เธอไม่นึกเลยว่าเธอจากไปเพียงสองปีกว่า ไม่น่าเชื่อว่าทวีปซิงเยวี่ยจะประสบกลียุคเช่นนี้!
แปลกจัง ทวีปซิงเยวี่ยคงอยู่มาเนิ่นนานปีแล้ว ไม่เคยมีคนจากยุคอนาคตเช่นนี้มาเยือนเลย ครั้งนี้เกิดอะไรขึ้น?
สรุปแล้วคนพวกนี้ข้ามมิติมาได้ยังไง?
ชาติก่อนกู้ซีจิ่วก็เคยอ่านนิยายแนวไซไฟมาบ้างเหมือนกัน รู้ว่าในอนาคตมีความเป็นไปได้ที่จะสร้างอุปกรณ์ข้ามห้วงมิติได้ แต่ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นนิยาย ตอนนี้เธอกลับได้เห็นตัวเป็นๆ แล้ว
ปีศักราชสองพันสามร้อยสี่สิบแปดพัฒนาไปถึงระดับนี้แล้วเหรอ?
เธอใจลอยไปเล็กน้อย จู่ๆ ตัวเรือที่อยู่ใต้ร่างก็โยกไหวขึ้นมา!
“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ระวัง!”
ชาวเงือกตนหนึ่งตะโกนออกมา
กู้ซีจิ่วเงยหน้าขึ้นทันที จุดที่สิบกว่าคนนั้นยืนอยู่พลันมีวังวนหลุมหนึ่งปรากฏขึ้นมา ดูดสิบกว่าคนนั้นเข้าไปพร้อมกัน!
‘ฟุ่บ!’ วังวนนั้นหายไปในชั่วพริบตาอีกครั้ง ดาดฟ้าเรือว่างเปล่าราบเรียบ
‘ผลุ่บ!’ ตาข่ายขนาดใหญ่สีครามหล่นลงมาจากฟ้า! ครอบคลุมกู้ซีจิ่วรวมถึงชาวเงือกสามตนนั้นไว้อีกครั้ง
และไม่ทราบว่าตาข่ายใหญ่ผืนนี้สร้างขึ้นมาจากวัสดุใด แน่นหนากว่าอวนจับปลาเสียอีก และทนทานยิ่ง คล้ายใยโลหะที่อ่อนนุ่ม กู้ซีจิ่วใช้มือดึงดู ดึงให้ขาดไม่ได้ บนตัวตาข่ายเหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านด้วย เมื่อเธอลองดึง กระแสไฟฟ้านั้นจึงแล่นเข้าสู่มือเธอ
หากเป็นกู้ซีจิ่วที่ไม่มีพลังวิญญาณอยู่ละก็ การช็อตนี้ทำให้เธอสลบได้ทันที!
แต่ตอนนี้…
เพียงเธอโคจรพลังวิญญาณในร่างเล็กน้อย ก็สลายกระแสไฟฟ้านั้นได้แล้ว
ชาวเงือกสามตนนั้นตื่นตระหนกสิ้นหวัง สำนึกเสียใจยิ่งนักที่ไม่ได้หลบหนีไปตอนที่กู้ซีจิ่วควบคุมคนพวกนั้นไว้ มาตอนนี้คิดจะหนีก็หนีไม่ได้แล้ว
“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ทำอย่างไรดี?”
“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ พวกเราไม่อยากตาย…”
‘ไม่ต้องกลัว ข้าจะคุ้มครองพวกเจ้าให้ปลอดภัย เพียงแต่ พวกเจ้าต้องทำตัวตื่นตระหนกต่อไป…’
กู้ซีจิ่วส่งกระแสเสียงหาเงือกทั้งสามตน
ชาวเงือกทั้งสามสบตากันแวบหนึ่ง จากนั้นก็ตระหนกลนลานยิ่งขึ้นกว่าเดิม
เจ้าหน้าที่สิบกว่าคนนั้นที่หนีตายเข้าไปยังเรือกู้ชีพที่ล้ำสมัยยิ่งนัก ล้วนถอนหายใจอย่างโล่งอก พวกเขาสามารถมองเห็นเหตุการณ์ในตาข่ายจากกล้องวงจรปิดบนเรือได้ด้วย
ตอนแรกกู้ซีจิ่วดึงทึ้งตาข่ายอย่างดุดัน จากนั้นก็เหมือนถูกไฟช็อตสลบไป หลับตาพริ้ม แน่นิ่งไม่เคลื่อนไหว
เจ้าหน้าที่สิบกว่าคนนี้ถอนหายใจอย่างโล่งอก คนหนึ่งหัวเราะเยาะออกมา
“เห็นทีว่าต่อให้เป็นเทพเจ้าของพวกเขาก็ยังกลัวกระแสไฟฟ้าอยู่ดีนะ!”
“แน่นอนสิ กระแสไฟฟ้าชนิดนี้ช็อตคนแล้วไม่มีทางไม่สลบ เทพเหรอ? ฮ่าๆ ก็แค่คนที่ทะลุมิติมาคนหนึ่ง มีความสามารถนิดหน่อยก็เลยถูกยกย่องเป็นเทพเท่านั้น ถ้าฉันมาถึงที่นี่ก่อน ไม่แน่นะอาจจะได้เป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ของชาวบ้านโง่เง่าพวกนี้เหมือนกัน…”
“เอาล่ะๆ ไปพาเธอเข้ามา ดีร้ายยังไงเธอก็เป็นบุคคลอันตรายที่สุดในทวีปนี้ ส่งไปให้หัวหน้าของพวกเราเถอะ ไม่แน่อาจได้ความดีความชอบอีกเรื่องก็ได้!”
สิบกว่าคนนี้หารือกันอยู่ที่นี่ครู่หนึ่ง ล้วนรู้สึกว่าของหายากต้องเก็บไว้เก็งกำไร ด้วยเหตุนี้จึงกดระบบกลไก นำตาข่ายผืนนั้นเข้าไปไว้ในห้องโดยสาร
เนื่องจากเกรงว่ากู้ซีจิ่วจะเล่นเล่ห์หลบหนีไปอีก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้เปิดตาข่ายนั้น
คนหนึ่งในบรรดานั้นกดลงบนแท่นควบคุมเล็กน้อย
ภายในห้องควบคุมมีแสงสว่างวาบขึ้นมา คนที่แต่งชุดเจ้าหน้าที่ทหารคนหนึ่งปรากฏขึ้นกลางห้อง
บนไหล่มีอินทรธนูเนื้อเงิน รูปร่างสูงใหญ่ รูปโฉมดุดัน มอบความรู้สึกอันน่าครั่นคร้ามยิ่งนักอย่างหนึ่งให้ผู้คน
“พวกกระต่ายน้อยเง่าโง่ มีเรื่องอะไรอีก? จับชาวเงือกได้กี่ตัวแล้ว?”
“รายงานผู้พัน เพิ่งจับได้สามตัวครับ อีกเดี๋ยวจะส่งกลับไป พวกเรายังจับมนุษย์คนหนึ่งได้ด้วย ได้ยินเงือกพวกนั้นเรียกเธอว่าเทพศักดิ์สิทธิ์…”
————————————————————————————-
บทที่ 2621 กลียุค 2
หนึ่งในนั้นรายงานอย่างรวดเร็ว
ผู้พันคนนั้นเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“เทพศักดิ์สิทธิ์? ผู้กอบกู้โลกที่ดูเหมือนพวกเล่นปาหี่ที่ชาวบ้านพร่ำเรียกหาอยู่เสมอน่ะหรือ? ถูกพวกแกจับได้ง่ายขนาดนี้เชียว?”
“เป็นความจริงครับ ชาวเงือกพวกนั้นล้วนเรียกเธอแบบนี้ แถมเธอยังใช้ทักษะบางอย่างของยุคสมัยใหม่ช่วยคนด้วย ทักษะปืนแม่นยำมาก!”
“งั้นก็ตัดกล้องไปให้หน่อย ฉันอยากเห็น”
“ครับ! ผู้พัน!”
ผ่านไปครู่หนึ่งภาพของกู้ซีจิ่วและเงือกสามตนนั้นก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอขนาดใหญ่ของห้องโดยสาร
สายตาของผู้พันคนนั้นหยุดนิ่งที่ใบหน้าของกู้ซีจิ่วครู่หนึ่ง ราวกับพิจารณาสินค้าชิ้นหนึ่งอยู่ ผ่านไปพักหนึ่ง ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ความสามารถยังไม่เห็น แต่หน้าตาสะสวยจริงๆ! ฉันมองจนแข็งไปหมดแล้ว…รีบส่งหล่อนมา ฉันจะดูให้ดีๆ หน่อย ถ้าทำให้ฉันพอใจได้ ฉันมีรางวัลใหญ่ให้พวกแก!”
“ครับ!”
ทหารเหล่านั้นต่างเข้าประจำตำแหน่ง ช่างเครื่องเริ่มควบคุมเรือลำนี้ให้เหาะขึ้นมา…
หากว่าคนที่อยู่นอกเรือมองมาล่ะก็ จะเห็นเรือลำนี้ส่งเสียงแกรกกรากเหมือนหุ่นทรานฟอร์มเมอร์ เปลี่ยนรูปร่างได้ในชั่วพริบตา จากนั้นก็ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า พุ่งไปทางทิศตะวันตกอย่างรวดเร็วปานห่าพายุ
ยานบินลำนั้นเหาะได้มั่นคงยิ่ง นายทหารเหล่านั้นต่างจัดการแผลบนร่างกายของตน ปากก็สบถด่าอย่างกักขฬะ
อาการบาดเจ็บของพวกเขาคือแผลถูกยิง ซ้ำยังยิงจากอาวุธของตัวเองด้วย
คนหนึ่งในบรรดานั้นร้องด่าว่า
“ผู้หญิงคนนั้นเคลื่อนไหวได้ไวมาก! ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้ปืนของพวกเราเป็นด้วย แถมยังยิงแม่นขนาดนี้อีก! ฉันไม่ได้บาดเจ็บมานานมากแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าครั้งนี้จะบาดเจ็บเพราะผู้หญิง…”
“ใช่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเธอแย่งปืนของพวกเราไป ไม่มีปัญญาทำอะไรพวกเราได้หรอก ชุดทหารบนตัวของพวกเราสามารถป้องกันความเสียหายทางกายภาพทุกอย่างได้ และมีแค่ลำแสงจากปืนชนิดนี้ที่สามารถเจาะทะลุชุดเกราะของพวกเราได้…”
“เอาล่ะๆ ดีร้ายยังไงครั้งนี้ก็จับเธอได้แล้ว แผลยิงนี้ก็ไม่ได้เสียเปล่า พอถึงเวลาพวกเราพี่น้องก็จะได้รางวัลใหญ่”
“พวกเอ็งว่า หัวหน้าต้องการเธอเป็นพิเศษ จะใช่เอาไปส่งให้เบื้องบนต่อหรือเปล่า? ถึงยังไงผู้หญิงคนนี้ก็เป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ร่ำลือกัน ว่ากันตามเหตุผลแล้วก็ควรจะส่งเธอให้ท่านจอมพล…”
“หัวหน้าของพวกเราเห็นสาวสวยแล้วไม่เคยปล่อยผ่านเลย…มาถึงที่นี่ได้เกือบปีแล้ว เขาแทบจะได้เป็นเจ้าบ่าวใหม่ทุกคืน ตอนนี้ผู้หญิงคนนี้สวยขนาดนี้ หัวหน้าจะเอาไปส่งต่อได้ยังไง? ต่อให้ส่งต่อไปยังเบื้องบนก็คงต้องได้นอนด้วยก่อนแล้วค่อย…เทพศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่คนที่ใครๆ ก็สามารถนอนด้วยได้นี่หว่า ฮ่าๆๆ”
คนพวกนี้ยิ่งคุยยิ่งหยาบคายขึ้นเรื่อยๆ
พลันมีกระแสลมหอบหนึ่งพัดผ่านร่างพวกเขาไป แฝงกลิ่นไอของลมทะเลเอาไว้ด้วย
คนพวกนี้ต่างหนาวสะท้านขึ้นมา สบตากันแวบหนึ่ง
“ลมลอดเข้ามาจากไหนกัน?”
“เป็นไปไม่ได้! นี่คือเรือโดยสารที่ปิดทึบนะ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีลมโชยเข้ามา”
“แต่เมื่อกี้เหมือนจะมีลมนะ…หรือจะเป็นผี?”
“ผีสางเทวดาอะไร ฉันแน่วแน่ในวัตถุนิยมโว้ย ไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้เลย”
“พูดยากนะ โลกนี้ยังมีเรื่องพิสดารบางอย่างอยู่เลยนี่ อย่างเช่นวิชาอาคมของพวกเขา ฉันรู้สึกว่าวิชาอาคมของพวกเขาอานุภาพไม่ด้อยไปกว่าปืนทั่วไปของพวกเราเลย และประหลาดมากด้วย…”
“จะประหลาดแค่ไหนก็ตกเป็นเชลยของพวกเราอยู่ดีไม่ใช่เหรอไง? ถูกพวกเขาทุบตีจนขี้หดตดหาย…”
“อันที่จริงพวกที่เราเจอล้วนมีวิชาอาคมต่ำต้อยทั้งนั้น แกต้องรู้ไว้ด้วยว่าที่นี่มีการแบ่งระดับพลังวิญญาณ ได้ยินว่าสูงสุดคือขั้นเก้า แต่พวกที่เราเจอน่ะสูงสุดคือขั้นสี่ ได้ยินว่าคนระดับสูงพวกนั้นล้วนไปรวมตัวกันแล้ว ท่านจอมพลกำลังส่งคนไปโจมตีที่นั่น โจมตีอยู่เนิ่นนานก็ยังไม่แตก คนของพวกเรายังเสียเปรียบไม่น้อยเลยด้วย สูญเสียทหารไปมากมายแล้ว…”
“ไม่รู้ว่าท่านจอมพลคิดอะไรอยู่ สั่งคนไปโยนระเบิดปฏิสสาร[1]ลูกเดียวก็จบแล้วไม่ใช่เหรอไง? ทุกคนตายเรียบ ทำไมต้องสิ้นเปลืองกำลังพลและทรัพยากรเพื่อโจมตีด้วย?”
————————————————————————————-
[1] ปฏิสสาร (Antimatter) คือ ส่วนประกอบของแนวคิดเกี่ยวกับปฏิยานุภาคของสสาร โดยที่ปฏิสสารประกอบด้วยปฏิยานุภาคในทำนองเดียวกับที่อนุภาคประกอบขึ้นเป็นสสารปรกติ หากนำสสารและปฏิสสารมารวมกัน จะเกิดการทำลายล้างกันในทำนองเดียวกับการรวมอนุภาคและปฏิยานุภาค ส่งผลให้เกิดการระเบิดที่รุนแรงและทรงพลังยิ่งกว่าระเบิดนิวเคลียร์