ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 2636 เผ่าจิ้งจอกคราม 2 / บทที่ 2637 เผ่าจิ้งจอกคราม 3
บทที่ 2636 เผ่าจิ้งจอกคราม 2
เผ่าจิ้งจอกครามเป็นตัวตนที่พิเศษยิ่งนักของทวีปวิงเยวี่ยเสมอมา ไม่คบค้าวิวาห์กับคนเผ่าพันธุ์อื่นง่ายๆ มีวิธีฝึกฝนพลังยุทธ์แบบพิเศษ วรยุทธ์ของทุกคนล้วนเยี่ยมยอดนัก ลึกลับทว่าติดดิน ดินแดนของเผ่าจิ้งจอกครามมีเขตแดนลึกลับ หากไม่มีคนของเผ่าจิ้งจอกครามนำทาง คนนอกไม่อาจเข้าไปได้
ปีนั้นกู้ซีจิ่วได้รับการเชื้อเชิญจากหลานไว่หูได้เข้าไปครั้งหนึ่ง สิ่งปลูกสร้างด้านในแตกต่างกับสิ่งปลูกสร้างของโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง แต่ละหลังค่อนข้างคล้ายปิรามิด บนยอดหลังคายังติดตั้งสิ่งที่คล้ายกับสายล่อฟ้าเอาไว้ด้วย
กู้ซีจิ่วยังจดจำตอนที่เพิ่งได้เห็นได้ ยังนึกอยู่เลยว่าเผ่าจิ้งจอกครามเป็นชาวอียิปต์ทะลุมิติมาหรือเปล่า…
เพียงแต่คนเผ่าจิ้งจอกครามถึงแม้จะงดงามจนน่าเหลือเชื่อ แต่ดูจากรูปโฉมแล้วล้วนเป็นชาวที่ราบภาคกลางทั้งสิ้น ไม่มีจุดเด่นอื่นใดอีกเลย ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงไม่เก็บมาใส่ใจ
เธอคิดว่าแดนเผ่าจิ้งจอกครามไม่มีทางย่อยยับไป กลับนึกไม่ถึงเลยว่าจะกลายเป็นฐานทัพของชาวต่างดาวอย่างพวกกวนย่าหนิง
เธอเหาะขึ้นไปบนอากาศ ทอดมองด้านล่าง พบว่าที่อยู่ไกลออกไปยังคงเป็นบ้านเรือนที่คล้ายปิรามิดเหล่านั้นของชาวจิ้งจอกคราม แต่ละหลังเรียงราย กระจายตัวออกไปอย่างมีระเบียบแบบแผนเช่นในอดีต ท่าทางไม่คล้ายว่าประสบสงครามมาเลย
ขณะที่กู้ซีจิ่วกำลังจะเข้าไปสำรวจในฐานนี้ให้ดี ตรวจสอบดูสักหน่อย กลับมองเห็นกวนย่าหนิงเร่งเดินดุ่มๆ เข้ามา ข้างกายยังมีทหารคนหนึ่งวิ่งเหยาะตามมาด้วย
เธอหรี่ตาลงนิดๆ ตอนนี้ถ้าหากเธอลงมือสังหารกวนย่าหนิงคนนี้เสียก็ทำได้ภายในไม่กี่นาทีเท่านั้น เธอควรลงมือไหมนะ?
เธอกระดิกนิ้วนิดๆ ขณะที่กำลังจะร่ายอาคม ก็ได้ยินกวนย่าหนิงเอ่ยสบถ
“หลานเยวี่ยยังนึกว่าตัวเขาเป็นประมุขจริงๆ อยู่หรือไง แม่งเอ้ย ฉันเหนื่อยขนาดนี้แล้วยังต้องวิ่งรอกอีก”
กู้ซีจิ่วแข็งทื่อไปเล็กน้อย นิ้วมือในแขนเสื้อคลายออกแล้ว
หลานเยวี่ย ประมุขคนปัจจุบันของเผ่าจิ้งจอกคราม และเป็นอดีตคู่หมั้นของหลานไว่หู แถมยังเคยแย่งชิงหลานไว่หูกับเยี่ยนเฉินด้วย ต่อมาแย่งไม่ได้จึงยอมรามือ กลับสู่เผ่าจิ้งจอกคราม…
เมื่อก่อนกู้ซีจิ่วเคยติดต่อกับเขาอยู่สามสี่ครั้ง ความประทับใจที่มีต่อเขานับว่าไม่เลวเลย รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่แยกแยะสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี ตอนนี้จู่ๆ ก็ได้ยินกวนย่าหนิงเอ่ยถึงเช่นนี้ ทำให้เธอตกใจไม่น้อยเลย
ทำไมหลานเยวี่ยถึงมาเกี่ยวข้องกับกวนย่าหนิงคนนี้ได้? ยังเรียกว่าประมุขต่อด้วย?
เธอเม้มริมฝีปากบาง ก้าวตามไป
อาณาเขตพื้นที่ของเผ่าจิ้งจอกครามไม่เล็กเลย แทบจะเทียบกับอาณาจักรเล็กๆ แห่งหนึ่งได้ กินพื้นที่ถึงห้าหกพันตารางกิโลเมตร
ส่วนฐานทัพของพวกกวนย่าหนิงก็ตั้งอยู่ในตำแหน่งใจกลางสุดของเผ่าจิ้งจอกครามเลย
กู้ซีจิ่วจำได้ว่าสถานที่แห่งนี้เคยเป็นจัตุรัสที่กว้างขวางอย่างยิ่ง เป็นสถานที่บูชาสวรรค์ของชาวเผ่าจิ้งจอกคราม กินพื้นที่หลายร้อยตารางกิโลเมตร เป็นประเภทที่มองแวบเดียวไม่อาจเห็นปลายขอบได้
พื้นอิฐของจัตุรัสปูด้วยศิลาหยกเขียวชนิดหนึ่ง ยามนั้นจัตุรัสมีชีวิตชีวาเป็นที่สุดสิ่งที่ทำให้เธอประทับใจอย่างล้ำลึกคือรูปสลักจิ้งจอกจากหยกครามหลายสิบตัวที่อยู่ในจัตุรัสแห่งนี้
จิ้งจอกหยกครามเหล่านั้นขนาดใหญ่โต อิริยาบถแตกต่างกันไป ทุกชิ้นล้วนสูงหลายจั้ง ถึงแม้ท่วงท่าจะแตกต่างกันไป แต่ศีรษะของพวกมันกลับเชิดสูง ราวกับเงยหน้ามองฟากฟ้านภาดาว ตั้งตระหง่านอยู่บนจัตุรัส
และทุกครั้งที่ชาวเผ่าจิ้งจอกครามมาสักการะบูชาสวรรค์ล้วนจะบูชาจิ้งจอกหยกครามเหล่านี้ด้วย
ตอนนั้นหลานไว่หูเคยอธิบายเจื้อยแจ้วให้กู้ซีจิ่วฟัง บอกว่านี่เป็นสัตว์สัญลักษณ์ของเผ่าจิ้งจอกคราม ยังถามเธอด้วยว่างดงามหรือไม่?
กู้ซีจิ่วไม่ได้รู้สึกว่างดงามมากนัก เพียงรู้สึกว่ารูปสลักเหล่านี้ค่อนข้างประหลาด ท่าทางที่เงยหน้ามองฟ้านั้นค่อนข้างคล้ายกับหุ่นหินโมอายบนเกาะอีสเตอร์[1]อย่างยิ่ง
แน่นอน จิ้งจอกหยกครามเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นในแง่รูปร่างอิริยาบถหรือว่าทักษะการแกะสลัก ล้วนเหนือกว่าหุ่นหินโมอายพวกนั้นอย่างเทียบกันไม่ติดเลย
ในเมื่อเป็นสัตว์สัญลักษณ์ของชาวเผ่า กู้ซีจิ่วจึงมองด้วยความยกย่องชื่นชมอยู่หลายครา แต่ยังคงไม่เก็บมาใส่ใจอยู่ดี
————————————————————————————-
บทที่ 2637 เผ่าจิ้งจอกคราม 3
ตอนนั้นรู้สึกเพียงว่าบนจัตุรัสแห่งนี้คล้ายจะมีสนามพลังแม่เหล็กอันลึกลับอย่างหนึ่งอยู่ แต่เป็นความลึกลับอย่างไรเธอก็สัมผัสไม่ได้ชั่วขณะเช่นกัน
ต่อมาหลังจากเธอออกมาจากเผ่าจิ้งจอกครามแล้วได้เกิดเรื่องราวต่างๆ นาๆ ขึ้น เธอจึงไม่ได้ใส่ใจที่นี่อีก เพียงแต่ยังคงมีภาพความทรงจำต่อที่นี่อย่างล้ำลึก จดจำโครงสร้างคร่าวๆ ของที่นี่ได้
ตอนนี้อิฐศิลาเขียวบนจัตุรัสแห่งนี้ยังคงอยู่ แต่รูปสลักจิ้งจอกหยกครามหลายสิบตัวนั้นหายไปแล้ว ถูกแทนที่ด้วยสิ่งปลูกสร้างที่ดูแปลกพิสดารยิ่งนักหลังหนึ่ง
อาคารหลังนี้เป็นหอทรงแปดเหลี่ยม บนยอดหลังคามียอดเสาโลหะอยู่แปดเส้น ด้านบนมีสัญลักษณ์ใบหน้าจิ้งจอกอยู่
วัสดุก่อสร้างก็ไม่ใช่ชนิดใดที่กู้ซีจิ่วเคยพบเห็นเลย กลับดูคล้ายวัสดุผสมผสานที่ผลิตขึ้นมาใหม่ชนิดหนึ่ง ปรากฏเป็นสีครามทะเลสาบ มิใช่ทองมิใช่ดิน พราวระยับอยู่ใต้แสงอาทิตย์ดุจระลอกน้ำ
สายตาของกู้ซีจิ่วร่อนลงบนสัญลักษณ์หน้าจิ้งจอกบนเสาโลหะนั้น สัญลักษณ์นั้นมีความคล้ายคลึงกับใบหน้าของจิ้งจอกสัญลักษณ์ประจำเผ่าจิ้งจอกคราม
อาคารหลังนี้มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเพิ่งสร้างขึ้นไม่นาน แถมยังเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของพวกกวนย่าหนิงด้วย
อย่างไรก็ตามวัสดุของสิ่งปลูกสร้างนี้ไม่คล้ายว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่บนโลกใบนี้…
เป็นวัสดุจากนอกโลก
สถานที่แห่งนี้ดูคล้ายค่ายบัญชาการยิ่งนัก เป็นฐานทัพของชาวต่างดาวพวกนี้
เช่นนั้นการที่มีสัญลักษณ์เป็นรูปหน้าจิ้งจอกแบบนี้ก็คงไม่ใช่ความบังเอิญ
หรือว่าเผ่าจิ้งจอกครามก็เป็น…
กู้ซีจิ่วลอบสูดหายใจคราหนึ่ง ยังคงตัดสินใจไปดูให้เห็นกับตา
วิทยาการของที่นี่ล้ำสมัยมาก หน้าประตูมีทหารคุ้มกันอยู่สี่คน เมื่อเห็นกวนย่าหนิงเข้ามา ก็ทำความเคารพเขาอย่างพร้อมเพรียง
กวนย่าหนิงเพียงพยักหน้าให้นิดๆ จากนั้นก็สแกนม่านตาเปิดประตู ประตูบานนั้นไม่ได้เปิดขึ้นลงหรือว่าซ้ายขวา แต่กลับแยกออกเป็นโพรงทรงใบหน้าจิ้งจอก เพียงพอให้เขาคนเดียวผ่านเข้าไปได้ หลังจากเข้าไปแล้ว ประตูบานนั้นก็เหมือนกลับมารวมตัวกันอีกครั้งดั่งระลอกวารี
กู้ซีจิ่วที่เร้นกายติดตามอยู่ด้านหลัง คิดจะเคลื่อนย้ายเข้าไป กลับคาดไม่ถึงว่าอาคารหลังนี้สามารถสกัดกั้นวิชาเคลื่อนย้ายของเธอได้ เธอชนเข้ากับประตูบานนั้นจนเกิดเสียงดังปึก!
ประตูบานนั้นมองแล้วคล้ายวารี แต่หลังจากชนเข้าจริงๆ แล้ว กู้ซีจิ่วถึงพบว่ามันแข็งเป็นพิเศษ เธอกระแทกโดนจนแขนชาไปครึ่งซีกแล้ว
และเห็นได้ชัดว่าการกระแทกนี้ของเธอไปแตะโดนกลไกที่ติดตั้งเอาไว้ มีสายน้ำพ่นออกมาจากประตูบานนั้นจริงๆ!
กู้ซีจิ่วไม่ต้องลองก็รู้ว่าน้ำนี้มีพิษ จะสัมผัสโดนไม่ได้อย่างเด็ดขาด เธอเคลื่อนย้ายออกไปอีกทางทันที
ความเคลื่อนไหวนี้ของเธอย่อมทำให้ทหารคุ้มกันสี่นายนั้นตกใจ
แต่เนื่องจากกู้ซีจิ่วอยู่ในสภาพเร้นกายล่องหนตลอดเวลา พวกเขาจึงมองไม่เห็นผู้บุกรุกเลย ค้นหาในละแวกใกล้เคียงดูอย่างรวดเร็วก็ไม่พบเป้าหมาย จึงยืนคาดเดากันอยู่ตรงนั้น…
“เมื่อกี้เป็นอะไรกันแน่ที่กระแทกใส่ประตู? ลมเหรอ?”
“เฮอะ! ลมที่ไหนจะรุนแรงขนาดนี้ เสียงเคลื่อนไหวเมื่อกี้เหมือนเสียงคนชนเข้ากับประตูมาก น่าจะเป็นคน…”
“ถ้างั้นทำไมมองไม่เห็นล่ะ? ถ้าเป็นคนก็ไม่มีทางเล็ดรอดสายตาของพวกเราไปได้ หรือว่าเป็นผี?”
“พูดจาเหลวไหล บนโลกนี้มีผีเสียที่ไหน?”
“ที่โลกของพวกเราอาจไม่มี แต่มนุษย์ของโลกนี้เอะอะอะไรก็เรียกหาเทพ แถมยังฝึกฝนคาถาอาคมอีก ยากจะรับประกันได้ว่าไม่มี พวกเรายังฆ่าคนมากมายเกินไปด้วย ไม่แน่ว่าอาจมีสักรายในบรรดานั้นที่กลายเป็นผีร้ายมาหาถึงหน้าประตู…”
“ไอ้เวร แกอย่าหลอนไปเองได้ไหม ที่นี่ของพวกเราสามารถสกัดกั้นพลังอภินิหารทุกอย่างได้ ต่อให้เป็นผีก็บุกเข้าไปไม่ได้หรอก”
“ใช่แล้ว บุกเข้าไปไม่ได้ น่ากลัวว่าจะเข้าคิวกันอยู่นอกประตูแล้ว…”
“เข้าคิวกับตูดสิ! ฉันไม่กลัวหรอกโว้ย ถ้ามีผีกล้าเข้ามาจริงๆ ฉันจะดึงไข่มันเสียเลย!”
“จะว่าไปพวกเราก็ไปมาอย่างสันโดษอยู่ตลอด ต่อให้เป็นราชาของดาวจิ้งจอกครามก็ไม่ได้อยู่ในสายตาเลย ทำไมถึงต้องมาที่ดาวผุๆ ดวงนี้ด้วยล่ะ จะยกหลานเยวี่ยคนนั้นขึ้นเป็นราชาเหรอ? แถมยังอนุญาติให้เขาอาศัยอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของศูนย์บัญชาการเราด้วย ถึงแม้เผ่าจิ้งจอกครามจะนับเป็นเชื้อสายของชาวดาวจิ้งจอกคราม แต่ยังไงซะพวกเขาก็อาศัยอยู่ที่นี่มาหลายหมื่นปีแล้ว สายเลือดไม่บริสุทธิ์ไปเป็นชาติแล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าท่านจอมพลของพวกเราคิดอะไรอยู่…”
————————————————————————————-
[1] เกาะอีสเตอร์ เป็นเกาะที่อยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิคห่างจากชายฝั่งประเทศชิลีกว่า 3,600 กิโลเมตร มีรูปปั้นยักษ์แกะสลักเป็นหน้าคนที่เรียกว่าโมอาย เชื่อกันว่าเป็นผลงานของชาว โพลีนีเซียน (Polynesian) ที่เข้ามาปกครองเกาะนี้ในช่วงปี 1250 ขนาดของตัวโมอายที่ใหญ่ที่สุดนั้นสูงถึง 30 ฟุต (ประมาณ 10 เมตร) น้ำหนัก 82 ตัน ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกโดยองค์กร UNESCO