ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 2640 พบกันอีกครั้ง 3 / บทที่ 2641 ปิดล้อม
บทที่ 2640 พบกันอีกครั้ง 3
แน่นอน เพียงแวบเดียวเขาก็ละสายตาไปแล้ว ซ้ำสายตานั้นยังไร้อารมณ์ด้วย
สรุปแล้วเขาเห็นหรือไม่เห็นเธอกันแน่?
คำถามนี้ผุดขึ้นมาในใจของกู้ซีจิ่ว
เพียงแต่ตัวเธอในตอนนี้ไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดิน ต่อให้คนผู้นี้มองเห็นเธอ เธอก็ไม่เป็นอันใด ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย
เธอพิจารณาคนผู้นี้อีกคราหนึ่ง คนคนนี้สามารถเร่งการเจริบเติบโตของสมุนไพรได้ หรือจะเป็นหมอของกองทัพ?
คนที่หลานเยวี่ยต้องการใช้สมุนไพรนี้ช่วยเหลือคือผู้ใด?
เธอชะงักไปเล็กน้อย ก้าวตามไปเช่นกัน
เดินเลาะเลี้ยวต่อเนื่องกันอยู่หลายครั้ง เบื้องหน้าก็ปรากฏยานโดยสารที่ดูคล้ายนัยน์ตาเหลือกขึ้น ประตูยานก็เป็นชนิดที่ต้องสแกนม่านตาถึงจะเปิดได้เช่นกัน
หลังจากหลานเยวี่ยเปิดประตู ก็พาตวนมู่เหยี่ยนเดินเข้าไป
แน่นอนว่ากู้ซีจิ่วย่อมติดตามเข้าไปด้วยเช่นกัน
พอได้เห็นคนที่นอนอยู่บนเตียง ฝีเท้าเธอก็นิ่งชะงัก!
สาวน้อยคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียง เสื้อผ้าที่สวมคือชุดทหารสีเทา ผมมัดรวบเป็นทรงหางม้าทะมัดทะแมง ตรงทรวงอกมีเลือด สีหน้าซีดเผือด มองแวบเดียวก็รู้ว่าบาดเจ็บสาหัส
ถึงแม้คนคนนี้จะเปลี่ยนแปลงการแต่งกาย แต่กู้ซีจิ่วก็ยังจดจำได้ด้วยการมองแวบเดียว
เป็นหลานไว่หู!
เพื่อนร่วมกลุ่มตัวน้อย สหายที่ดีของเธอที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ และเป็นภรรยาของเยี่ยนเฉินด้วย ปีนั้นตอนที่นางกับเยี่ยนเฉินวิวาห์ กู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอียังเป็นเจ้าภาพงานแต่งอยู่เลย…
ตอนนี้นางสมควรจะอยู่ที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์กับเยี่ยนเฉินมิใช่หรือ?
ทำไมถึงมานอนอยู่ที่นี่ได้?
แถมยังแต่งตัวแบบนี้อีก
ถึงแม้นางจะเป็นชาวเผ่าจิ้งจอกคราม แถมยังเป็นราชครูด้วย แต่นางกับเยี่ยนเฉินรักใคร่สมัครสมาน ตายร้อยครั้งก็ไม่ผันแปร ด้วยนิสัยของนางต่อให้รู้ว่าตนเป็นชนรุ่นหลังของชาวดาวจิ้งจอกคราม ก็คงไม่มีทางเข้าร่วมกับกองโจรที่ทำลายล้างทวีปซิงเยวี่ยกระมัง?!
นี่นางเป็นอะไร?
ตวนมู่เหยี่ยนก้าวเข้าไป ยื่นสมุนไพรในมือไว้เหนือบาดแผลหลานไว่หู มีของเหลวสีน้ำผึ้งอ่อนหยดลงไป ร่วงลงบนบาดแผลโชกเลือดของนาง…
ผ่านไปครู่หนึ่ง แพขนตาของหลานไว่หูก็สั่นไหว ลืมตาขึ้น
เมื่อเธอลืมตาขึ้นก็ไม่ได้พูดจา ดวงตาคู่นั้นมืดมน ไม่มีอารมณ์ใดๆ
“ถอดใจหรือยังล่ะ?”
ตวนมู่เหยี่ยนเอ่ยถาม น้ำเสียงทุ้มต่ำ ดึงดู น่าฟัง
หลานไว่หูหลับตาลงอีกครั้ง
มุมปากของตวนมู่เหยี่ยนยกขึ้นระดับหนึ่ง
“โง่!”
หลานเยวี่ยที่อยู่ด้านข้างเอ่ยสอดประโยคหนึ่ง
“นี่นับว่านางดีขึ้นหรือยัง?”
“จะไวขนาดนี้ได้ยังไง! ถึงแม้ยานี่จะมีผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์ต่อเผ่าพันธุ์จิ้งจอกครามของพวกเรา แต่บาดแผลของเธอเป็นบาดแผลจากพลังวิญญาณ ยังยังต้องใช้สมุนไพรรักษาอีกสองหนถึงจะหายดี”
สายตากู้ซีจิ่วร่อนลงบนดวงหน้าของหลานไว่หู ดวงหน้าน้อยๆ ของเธอขาวซีด เครื่องหน้าเป็นใบหน้าของหลานไว่หูจริงๆ แต่อุปนิสัยกลับคล้ายจะเปลี่ยนแปลงไป ในอดีตนั้นนางสดใสร่าเริง ตอนนี้นางเงียบขรึมเย็นชา ตรงหว่างคิ้วยังมีไฝสีชาดเพิ่มขึ้นเม็ดหนึ่งด้วย
สรุปแล้วนี่ใช่นางหรือไม่?
คำถามนี้วาบผ่านเข้าในใจของกู้ซีจิ่ว
กู้ซีจิ่วขยับเข้าไปใกล้นางเล็กน้อย มองดูบาดแผลของนางแวบหนึ่ง บาดแผลของนางอยู่ในช่วงเหนืออก สาบเสื้อของชุดที่สวมอยู่ถูกปลดกระดุมออกสองเม็ด เผยบาดแผลออกมาพอดี
ม่านตากู้ซีจิ่วพลันหดตัว นี่คือบาดแผลจากฝ่ามือผลาญหทัย…
และเท่าที่กู้ซีจิ่วรู้มา ในทวีปซิงเยวี่ยผู้ที่ใช้ฝ่ามือผลาญหทัยได้เลิศล้ำที่สุดคือเยี่ยนเฉิน…
เยี่ยนเฉินรักหลานไว่หูยิ่งชีพ จะใจดำทำร้ายนางอย่างโหดเหี้ยมได้ยังไง?
หลานไว่หูที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นตัวปลอมกระมัง?!
หรือว่าจะสร้างร่างโคลนนิ่งออกมาอีกแล้ว?!
ก่อนที่จะยืนยันฐานะที่แท้จริงของอีกฝ่ายได้ กู้ซีจิ่วไม่คิดจะเผยตัว
ตวนมู่เหยี่ยนไม่ได้รั้งอยู่ในห้องนี้นาน พูดคุยกับหลานเยวี่ยอีกสองประโยค หลังจากกำชับสั่งการเรื่องที่ควรระวังแล้ว ก็ออกไปเลย กู้ซีจิ่วย่อมตามออกไปด้วย
ก่อนที่เธอจะออกไป ได้หันกลับไปมองแวบหนึ่ง เห็นหลานไว่หูนอนอยู่บนเตียง ไม่ขยับเขยื้อน เสมือนหุ่นยนต์ ตรงหางตาคล้ายมีหยาดน้ำตาส่องประกายอยู่
————————————————————————————-
บทที่ 2641 ปิดล้อม
และข้างตัวนาง หลานเยวี่ยได้นั่งอยู่ตรงนั้น มองนางอย่างใจลอยอยู่บ้าง ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ยื่นมือไปจับมือน้อยๆ ของนางไว้
กู้ซีจิ่วใจสั่นแวบหนึ่ง ขณะที่กำลังจะมองต่อ ประตูบานนั้นก็ปิดลงแล้ว…
เธอหลุบตาลงเล็กน้อย ติดตามอยู่ด้านหลังตวนมู่เหยี่ยน…
ที่นี่เงียบมาก เงียบราวกับป่าช้า ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าที่มั่นคงของตวนมู่เยียน
กู้ซีจิ่วตามอยู่ด้านหลังเขา พบว่าเขาตรงกลับไปดูแลสมุนไพรที่สวนดอกไม้แห่งนั้นอีกครั้ง
ไม่จำเป็นต้องถามเลย เขายังคงเพาะปลูกสมุนไพรเพื่อรักษาหลานไว่หูต่อ…
นิ้วมือที่จรดร่ายไว้แล้วของกู้ซีจิ่วค่อยๆ คลายออก ตอนนี้เธอสามารถซัดอีกฝ่ายให้ตายในฝ่ามือเดียวได้ แต่เกรงว่าอาการบาดเจ็บของหลานไว่หูคงไม่อาจรักษาให้หายดีได้แล้ว…
ช่างเถอะ เขาน่าจะเป็นหมอประจำกองทัพคนหนึ่ง เธอไม่จำเป็นต้องฆ่าเขาหรอก เก็บชีวิตเขาไว้ชั่วคราว เธอต้องไปดูที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ก่อน!
เธอหันหลังแยกตัวไป
ส่วนตวนมู่เหยี่ยนที่อยู่ด้านหลังเธอก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองแผ่นหลังของกู้ซีจิ่วที่จากไป แววตาวูบไหวเล็กน้อย ไม่ทราบเช่นกันว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ผ่านไปพักหนึ่ง มุมปากพลันหยักขึ้นนิดๆ ยิ้มน้อยๆ แวบหนึ่ง รอยยิ้มสว่างไสว ไม่เข้ากับบุคลิกในปัจจุบันของเขาสักเท่าไหร่ ทว่ามีบุคลิกอันเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งอยู่
กลับมาแล้วสินะ
เร็วกว่าที่คาดการณ์เอาไว้มาก!
เขาหลุบตามองสมุนไพรในมือ สมุนไพรต้นนั้นสั่นระริกเล็กน้อยภายใต้ฝ่ามือเขา กิ่งใบถูไถฝ่ามือเขาเบาๆ ชวนให้จั๊กจี้ ราวกับกำลังเอาใจเขา
เขาพลิกนิ้วขึ้นมา ดีดสมุนไพรต้นนี้ทีหนึ่ง เอ่ยเสียงเรียบ
“เด็กดี”
….
ภายในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์
สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ถูกปิดล้อมมาสี่เดือนแล้ว!
สี่เดือนนี้ไม่สามารถออกไปไหนได้เลย ได้แต่อาศัยอยู่ภายในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ เนื่องจากพอออกไปก็จะถูก ‘เครื่องจักรพิสดาร’ พวกนั้นตามไล่ล่า เครื่องจักรเหล่านั้นไม่กริ่งเกรงเวทวิชาอันใดเลย ศาสตร์วิชาห้าธาตุที่พวกเขาโจมตีใส่เครื่องจักรเหล่านั้น แทบจะสร้างความเสียหายอะไรไม่ได้เลย
ชาวทวีปซิงเยวี่ยไหนเลยจะเคยพบเห็นสิ่งเหล่านี้?
ถึงขั้นที่ไม่รู้เลยว่าควรจะต่อกรอย่างไร ถูกผู้อื่นโจมตีจนพินาศย่อยยับอย่างง่ายดาย! พังพินาศไปทีละเมือง บ้านเมืองถูกทำลาย…
เอกสารร้องทุกข์ของแต่ละอาณาจักรหลั่งไหลไปหาพวกมู่เฟิงปานหิมะร่วง
แต่ถึงแม้พวกมู่เฟิงจะเสี่ยงชีวิตจนทำลายยานรบลำหนึ่งได้แล้ว แต่ก็ไม่มีผลต่อเรื่องราวเลย อย่าว่าแต่โต้กลับเลย แม้แต่เมืองสุดท้ายก็รักษาเอาไว้ไม่ได้
ในทวีปซิงเยวี่ย สถานที่ที่มีเขตแดนกล้าแกร่งแห่งแรกคือวังมรกตที่พำนักของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ อีกแห่งก็คือสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์
วังมรกตพิเศษยิ่ง มีเพียงผู้ที่บรรลุพลังวิญญาณขั้นเก้าแล้วถึงจะเข้าไปได้ คนอื่นเข้าไปจะต้องตาย ดังนั้นสถานที่นี้จึงไม่สามารถเป็นที่กบดานของคนส่วนใหญ่ได้
มีเพียงสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เท่านั้น ที่นี่มีพื้นที่กว้างขวาง ด้านในมีตัวอาคารมากมาย ด้านหลังสำนักศึกษายังมีภูเขา ภายในภูเขามีสัตว์ป่าให้ล่าด้วย
และเนื่องด้วยลักษณะภูมิประเทศอันเป็นเอกลักษณ์ของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ แถมด้านนอกยังมีเขตแดนที่กล่าวกันว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ติดตั้งไว้ ไม่อาจถูกทำลายได้ง่ายๆ…
ดังนั้นในท้ายที่สุด ยอดฝีมือแทบทั้งหมดของทวีปซิงเยวี่ยจึงหนีมาที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ทั้งสิ้น ทำให้ที่นี่กลายเป็นแหล่งหลบภัย
เนื่องจากคนเหล่านี้หลบหนีอย่างเร่งด่วน บนกายมีเงินทองติดตัวอยู่ไม่น้อย แต่ข้าวของที่จำเป็นจริงๆ ไม่นับว่ามากเลย โดยเฉพาะเสบียงอาหารยิ่งขาดแคลนอย่างหนัก
แหล่งที่พักก็เป็นปัญหามากเช่นกัน
เมื่อถูกปิดล้อมไว้ การใช้วิตอยู่ด้านในจึงยากลำบากขึ้นมาทันที
พวกมู่เฟิงยังว่าดี บำเพ็ญถึงขั้นตัดธัญญะแล้ว ไม่กินอาหารก็ไม่เป็นไร แต่พลังยุทธ์ของคนส่วนใหญ่ยังไม่สูงถึงขนาดนั้น ต้องกินต้องดื่มอยู่
สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ไม่มีเสบียงอาหารเก็บไว้มากพอ ดังนั้นหลังจากถูกปิดล้อมอยู่สามเดือน อาหารก็หมดลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว แม้แต่สัตว์บนภูเขาด้านหลังก็ถูกล่าจนแทบสูญพันธุ์แล้ว…