ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 2713 ครอบครัวสามคน 4 / บทที่ 2714 เงื่อนไขของตี้ฝูอี
บทที่ 2713 ครอบครัวสามคน 4
“อยากจะพาข้ากลับไปเป็นตัวประกัน ข่มขู่ท่านพ่อข้าให้ปล่อยคนของเจ้า ให้เจ้าหลบหนีไปอย่างราบรื่นงั้นหรือ?” ตี้เฮ่ามองเขาด้วยนัยน์ตากลมโตแวววาว
กวนย่าหนิงพูดไม่ออกเลย
ถูกมองออกแล้ว!
เขายื่นมือหมายจะหยิบอาวุธตรงหว่างเอว ทว่าการหยิบครั้งนี้กลับคว้าได้เพียงความว่างเปล่า ปืนที่เขาซ่อนเอาไว้ในนั้นหายไปแล้ว
“หามันอยู่หรือ?” ตี้เฮ่าพลิกข้อมือ ปืนสีเงินกระบอกหนึ่งหมุนอยู่ในมือน้อยๆ ของเขา
กวนย่าหนิงตะลึง มองหนูน้อยอย่างไม่อยากจะเชื่อ
นอกจากทักษะปืนอันยอดเยี่ยมแล้ว ศิลปะการต่อสู้ของเขาก็แข็งแกร่งมาก แต่กลับมองไม่ออกเลยว่าเจ้าหนูแอบฉกปืนจากข้างตัวของเขาไปตั้งแต่เมื่อไหร่!
ตี้เฮ่าถอนหายใจ “ถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าจะไม่วู่วามบุ่มบ่าม มิเช่นนั้นเจ้าจะตายอย่างไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตายอย่างไร”
ตี้เฮ่ายื่นปืนส่งให้ลู่อู๋ที่อยู่ตรงหน้า ลู่อู๋ก็ไม่เกรงใจเช่นกัน งับเข้าไป กินลงไปเสียงดังกร้วมๆ
กวนย่าหนิงตาค้างอ้าปากหวอ ถึงแม้เขาจะกล้าหาญชาญชัย แต่ลูกผู้ชายต้องรู้จักปรับตัวตามสถานการณ์ เขาไม่มั่นใจเลยว่าจะควบคุมเจ้าหนูกับสัตว์ร้ายหน้าตาแปลกประหลาดตัวนี้เอาไว้ได้
เขาสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ยิ้มแล้ว ทำหน้าหนาไม่ยอมรับ “เจ้าหนู นายคิดมากไปแล้ว อ่อใช่ พวกเราต้องเข้าไปรับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไหม?”
“ไม่ต้อง” ตี้เฮ่าเท้าคาง “พวกเรารออยู่ที่นี่ก็พอแล้ว พวกเขาจะกลับมาเอง”
เขาไม่เชื่อหรอกว่าท่านพ่อผู้พึ่งพาไม่ได้คนนั้นของเขาจะทิ้งเขาไว้อีกครั้ง!
โชคดีที่หนนี้ตี้ฝูอีพึ่งพาได้อย่างยิ่ง หลังจากตี้เฮ่าอดทนรอคอยไปอีกหนึ่งเค่อ ในที่สุดตี้ฝูอีก็กลับมาแล้ว แถมยังเคลื่อนย้ายเข้ามาพร้อมกับท่านแม่ของเขาด้วย
ตี้เฮ่าดุจกระสุนปืนใหญ่ลูกจิ๋ว พุ่งเข้าใส่กู้ซีจิ่วทันที “ท่านแม่!”
เขาคิดถึงนางแล้ว!
ช่วงที่ผ่านมาคนที่เขาเป็นห่วงที่สุดก็คือนาง เกรงว่านางจะติดกับ เกรงว่านางจะถูกฟั่นเชียนซื่อปองร้ายไปแล้ว…
ดวงตาของกู้ซีจิ่วก็ส่องประกายเช่นกัน เมื่อครู่ตี้ฝูอีบอกเธอว่ายังมีเรื่องน่าประหลาดใจเล็กๆ อย่างหนึ่งรอเธออยู่ ให้เธอเคลื่อนย้ายมาที่นี่ ไม่นึกเลยว่าจะได้พบเสี่ยวตี้เฮ่าที่ห่างหายกันไปนานที่นี่…
เธอยื่นมือไปหมายจะรับร่างน้อยๆ ที่โถมเข้ามา ทว่าไม่ทันไรก็ถูกตี้ฝูอีสกัดแล้ว
ตี้ฝูอีดึงคอเสื้อของตี้เฮ่าไว้ หิ้วเขาขึ้นมา “เด็กโง่ ท่านแม่เจ้ามีครรภ์ เจ้าจะรีบร้อนขนาดนี้ไปทำไม?”
ตี้เฮ่ากลอกตาทีหนึ่ง เขาก็มีขอบเขตอยู่ไม่รู้หรือไง?
ถึงจะดูเหมือนเขาโผเข้าใส่อย่างรุนแรง แต่ความจริงออมแรงไว้แล้วนะ!
เขาเงยหน้ามองกู้ซีจิ่วทันที มองตาละห้อย “ท่านแม่…”
กู้ซีจิ่วเห็นเขาได้รับความอยุติธรรม หัวใจหลอมละลายไปนานแล้ว สุดท้ายก็รับตัวเขาเข้าสู่อ้อมอก กะน้ำหนักดู “ตี้เฮ่า เจ้าซูบลงมากเลย แถมยังสูงขึ้นด้วย”
ตอนที่เธอออกมาจากแดนอสุรา เด็กคนนี้ดูเหมือนอายุขวบกว่า ตอนนี้กลับดูเหมือนเด็กอายุสองขวบแล้ว
จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีอะไรมาดึงชุดของเธออยู่ เธอก้มหน้าลงไป มองเห็นลู่อู๋กำลังใช้ปากดึงชายชุดของเธออย่างสุดชีวิต พยายามกะพริบตาแสดงความมีตัวตนอย่างสุดกำลัง
หัวใจของกู้ซีจิ่วยิ่งอบอุ่นยินดีกว่าเดิม ไม่นึกเลยว่าพวกมันก็ตามมาด้วย
ยื่นมือไปลูบกระหม่อมของมัน “ได้พบพวกเจ้าอีกครั้งช่างดีจริงๆ! ใช่แล้ว เจ้าหอยยักษ์ล่ะ?”
“เจ้าหอยยักษ์ถูกข้าส่งไปที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์แล้ว ตอนนี้คงกำลังตั้งตารอเจ้ากลับไปอยู่แน่นอน” ตี้ฝูอียื่นมือไปโอบเอวนาง
กู้ซีจิ่วอยากกลับสู่แผ่นดินขึ้นมาในทันใด “เช่นนั้นพวกเรายังรออะไรอยู่อีก? กลับกันเถอะ!”
เธอกวาดตามองแวบหนึ่ง แล้วก็ได้เห็นกวนย่าหนิง ม่านตาพลันหดตัว!
เธอไม่มีความรู้สึกอันดีต่อกวนย่าหนิง ถึงอย่างไรไอ้หนุ่มนี่ก็เป็นตัวการร้ายเหมือนกัน…
กวนย่าหนิงถูกเธอมองหัวใจพลันบีบนัด หนังหัวชาหนึบ ฝืนยืนอยู่ตรงนั้นยิ้มนิดๆ “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง จะกลับตอนนี้เลยใช่ไหมครับ?”
“ทำไมเขามาอยู่ที่นี่ได้?” กู้ซีจิ่วไม่ไว้หน้า
ตี้ฝูอีเอ่ยตอบ “ถูกข้าจับตัวมาชั่วคราว โชคดีที่ได้เขาขับยานตามรอยมา”
มิเช่นนั้นเขาคงมาได้ไม่ทันเวลาจริงๆ
ก็นับว่าสร้างความชอบใหญ่หลวง หาไม่แล้วถ้าเขาช้าไปสักก้าว ก็จะเกิดความผิดพลาดมหันต์ขึ้น…
————————————————————————————
บทที่ 2714 เงื่อนไขของตี้ฝูอี
กู้ซีจิ่วไม่เอ่ยวาจาแล้ว กวนย่าหนิงสูดหายใจเบาๆ คราหนึ่ง สุดท้ายก็ยังคงโอบอุ้มความหวังสายน้อยเอาไว้ถามถึงที่อยู่ของท่านจอมพลของบ้านตน
ตี้ฝูอีทำนายดูเล็กน้อยก็ทราบแล้วว่าฟั่นเชียนซื่อสิงร่างของตวนมู่เหยี่ยนไปแล้ว ร่างที่เคยถูกคนผู้นั้นสิงสู่ แม้แต่เศษซากก็ไม่มีหลงเหลืออยู่ ดังนั้นเขาจึงตอบไปสองคำ “ตายแล้ว”
กวนย่าหนิงหน้าซีดเผือด กำมือแน่น “เป็นใครกันแน่ที่เข้าสิงร่างของเขา คนๆ นั้นไปไหนแล้ว? ผมจะล้างแค้นให้ท่านจอมพล!”
ตี้ฝูอีมองเขาแวบหนึ่ง แววตาวูบไหวนิดๆ กล่าวอย่างเฉยเมย “เจ้าไม่มีแรงพอจะสะกิดสักนิ้วของเขาด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดจาใหญ่โตเช่นนี้หรอก”
กวนย่าหนิงค่อนข้างหงุดหงิด ยังไม่ยินยอมอยู่บ้างขณะที่กำลังจะพูดอะไร ตี้ฝูอีก็เอ่ยต่อแล้ว “อย่างไรก็ตามใช่ว่าเจ้าจะช่วยอะไรไม่ได้เลย บอกเล่าเบาะแสที่อยู่ของพวกเจ้าในช่วงหลายปีมานี้ให้ผู้ทรงสิทธิ์อย่างข้าฟังอย่างชัดเจน โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวในช่วงที่ผ่านมาของจอมพลของพวกเจ้า”
ต้องรู้เขารู้เราถึงจะรบร้อยครั้งไม่พ่าย ตอนนี้ฟั่นเชียนซื่อผู้นั้นอยู่ในที่ลับ ถึงขั้นที่ตี้ฝูอีไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเขาเป็นผู้ใดกันแน่ เลศนัยในการมาของชาวดาวจิ้งจอกครามเหล่านี้ หากไม่เหนือไปจากที่คาดไว้ ต้องถูกฟั่นเชียนซื่อหลอกล่อชักจูงมาแน่นอน บางทีเขาอาจจะขุดหาข้อมูลบางอย่างจากปากของชาวดาวจิ้งจอกครามเหล่านี้ได้
กวนย่าหนิงทำการต่อรอง “ผมสามารถเล่าทุกอย่างที่ผมทราบให้แก่พวกท่านได้ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน โปรดอนุญาตให้ผมพาลูกน้องเหล่านั้นของผมจากไปด้วย”
กู้ซีจิ่วเอ่ยอย่างเยียบเย็น “ทวีปซิงเยวี่ยแทบจะถูกพวกเจ้ากวาดล้างจนป่นปี้แล้ว คนที่ถูกพวกเจ้าเข่นฆ่าสังหารไม่อาจคะเนจำนวนได้ เจ้านึกว่าให้ข้อมูลอย่างเดียวก็สามารถถอยทัพกลับไปอย่างปลอดภัยได้หรือ? ไหนเลยจะง่ายดายปานนี้!”
กวนย่าหนิงผงะไป เชิดหน้าขึ้น “ถ้าหากไม่ปล่อยลูกน้องของผม ผมก็ไม่เล่า!”
นิ้วมือกู้ซีจิ่วเคาะโต๊ะเบาๆ “อันที่จริงพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าเล่านี่ ด้านล่างมีชาวจิ้งจอกครามอยู่มากมายนัก ถ้าผู้ทรงสิทธิ์อย่างข้าไปสั่งสอนสักหน่อย ไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่มีผู้ใดปากโป้ง”
ในวาจานี้แฝงความหนาวยะเยือกไว้ กวนย่าหนิงหน้าเปลี่ยนสีแล้ว “ยังไม่แน่ว่าพวกเขาจะรู้มากเท่าผม! ถึงยังไงผมก็เป็นคนสนิทของท่านจอมพลมาเนิ่นนาน รู้เรื่องราวภายในมากมาย ทำให้พวกท่านลดการเดินทางอ้อมลงได้มาก”
กู้ซีจิ่วยิ้มแล้ว “เห็นทีว่าจำเป็นต้องถามเจ้าเท่านั้นสินะ?”
กวนย่าหนิงถอนหายใจคราหนึ่ง “ใช่ พวกเขาล้วนไม่รู้อะไรมากนัก!”
“เช่นนั้นเจ้าเล่าออกมาให้หมด ผู้ทรงสิทธิ์อย่างข้ารับประกัน จะปล่อยให้เจ้าขับยานจากไป ปล่อยให้เจ้ารอดชีวิต”
“ไม่!” หลังจากกวนย่าหนิงตะลึงไปครู่หนึ่ง ก็ปฏิเสธทันที ยืดอกเอ่ยว่า “ผมจะร่วมเป็นร่วมตายกับเหล่าพี่น้อง!”
กู้ซีจิ่วลุกขึ้นยืน “งั้นก็ไม่จำเป็นต้องคุยแล้ว” เธอกุมมือ มองรอบข้างแวบหนึ่ง “ข้าคิดว่ายานลำนี้ของเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้แล้ว ข้าจะสนองความต้องการของเจ้าที่นี่ ให้เจ้าได้ร่วมทางกับจอมพลของเจ้า หลับใหลอยู่ในห้วงอวกาศแห่งนี้”
ขณะที่เธอกำลังจะทำลายแยกส่วนยานรบลำนี้ในทันที กวนย่าหนิงก็ทนไม่ไหวตะโกนขึ้นมา “ตอนนี้อยู่ในอวกาศ พวกท่านทั้งสองเป็นเทพเซียน ไม่หายใจก็เป็นไม่เป็นไร แต่คุณชายน้อยคนนี้เกรงว่าจะไม่ไหว ทันทีที่แยกส่วนยานลำนี้ เกรงว่าเขาคงจะประสบเคราะห์แล้ว”
ตี้ฝูอีเลิกคิ้ว ยิ้มอย่างเฉื่อยชา “เรื่องนี้ก็ต้องลองดู” เขางอนิ้วขึ้นมา แสงสีรุ้งก่อตัวขึ้นที่ปลายนิ้วอย่างรวดเร็ว
กวนย่าหนิงหน้าซีดเผือด เขาทราบถึงวรยุทธ์ของตี้ฝูอีดี ก่อนหน้านี้เขาก็งอนิ้วแบบนี้ เคลื่อนย้ายหินอุกกาบาตก้อนเท่าภูเขาลูกหนึ่งออกไปได้!
หากว่าเขาคิดจะทำลายยานลำนี้ จะไปยากเย็นอะไรกัน!
กวนย่าหนิงสูดหายใจเฮือกหนึ่ง ในที่สุดก็ยอมจำนน คุกเข่าลงบนพื้นเสียงดังตึง “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง ผู้น้อยทราบความผิดแล้ว หวังว่าผู้น้อยจะได้มีส่วนช่วยเหลือพวกท่านสร้างความชอบในการตามล่าตัวคน มอบโอกาสให้ผู้น้อยสักครั้งเถิด”