ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 2765 อบอุ่น 3 / บทที่ 2766 ท่านพ่อเป็นคนเลว
บทที่ 2765 อบอุ่น 3
บางทีอาจเป็นเพราะถึงอย่างไรก็เกี่ยวโยงกับการที่เคยถูกไอมารกัดเซาะ ยามที่ตี้ซวี่เยวี่ยถือกำเนิดจึงมิใช่ร่างเทวกุมารี ถึงขั้นที่พื้นฐานพลังวิญญาณก็ค่อนข้างต่ำด้วย เหมือนทารกเซียนธรรมดาทั่วไป
ยามคลอดก็เป็นทารกตัวน้อย พลังวิญญาณขั้นแปด ไม่ได้เลิศล้ำเข้าขั้นวิปริตเฉกเช่นตี้เฮ่าและตี้ฝูอีในปีนั้น เป็นครรภ์เซียนโดยกำเนิด พลังวิญญาณสูงกว่าขั้นสิบอยู่ในระดับเสี่ยวเซียนแล้ว ทันทีที่ถือกำเนิดก็พูดได้วิ่งได้กระโดดได้ ถึงขั้นที่ใช้อาคมคาถาได้ด้วย
ขั้นตอนการเจริญเติบโตที่เด็กชาวมนุษย์มีกันนางล้วนมีทั้งสิ้น เพียงแต่มีพัฒนาการก้าวหน้ากว่าเด็กทั่วไปอยู่บ้าง
วัยทารกนั้นนุ่มนิ่มน่าเอ็นดู ต้องให้คนอุ้ม ต้องให้คนโอ๋ สามเดือนก็นั่งได้ ห้าเดินก็วิ่งเป็นแล้ว พอหกเดือนก็เริ่มเรียนรู้คำศัพท์แล้ว หลังจากครบหนึ่งขวบ ตี้ฝูอีก็เริ่มสอนวิชาอาคมให้นาง
คู่ตี้ฝูอีสามีภรรยาเสพติดการเลี้ยงลูกกันงอมแงม
มีเหนื่อยยากมีลำบากลำบน แต่ก็เป็นความอบอุ่นที่ไม่อาจบรรยายได้
เห็นเจ้าตัวน้อยโตขึ้นทุกวันๆ ในแต่ละวันล้วนสามารถเสริมสร้างความสามารถใหม่ๆ ได้ทีละนิด กู้ซีจิ่วยังคงรู้สึกประสบความสำเร็จยิ่งนัก
ส่วนตี้เฮ่า เขาชอบซวี่เยวี่ยน้อยอย่างยิ่ง ตอนที่ซวี่เยวี่ยน้อยยังวิ่งไม่ได้เขาจะอุ้มอยู่เสมอ หลังจากวิ่งได้แล้ว เขาก็พานางเล่นสนุก
ฝ่ายซวี่เยวี่ยน้อยก็ติดเขาอย่างยิ่ง ติดตามอยู่ข้างกายเขาเสมือนเงาน้อยๆ ร้องเรียกท่านพี่ๆ อยู่ไม่ขาดปาก…
ตี้เฮ่าก็น้อมรับไว้อย่างชอบธรรมตามเหตุผล ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็โตกว่านาง เรียกว่าท่านพี่ก็ไม่ผิดนี่นา
ส่วนอนาคตนั้น…
ตี้เฮ่าหวนระลึกถึงความหลังเล็กน้อย จะว่าไปก็แปลก ระยะนี้ความทรงจำเกี่ยวกับคนในครอบครัวช่วงก่อนที่ตนจะย้อนเวลากลับมามักจะว่างเปล่าขาวโพลน
บางทีชะตากรรมของท่านพ่อท่านแม่และพี่สาวคงไม่อาจหยั่งรู้ได้แล้ว เส้นทางนี้คือการก้าวเดินครั้งใหม่
จะเป็นทางราบอันรุ่งโรจน์ หรือทางสายน้อยอันขรุขระลุ่มดอน ก็ต้องดูว่าจะไปทางไหน
ตอนนี้เขาไม่อาจหยั่งรู้อนาคตได้อีกแล้ว ทำได้เพียงก้าวไปทีละขั้นว่ากันไปทีละขั้นเช่นกัน
แน่นอนเขารู้สึกว่าชีวิตเช่นนี้ก็น่าพึงใจนัก ได้อยู่ข้างกายบิดามารดา เสพสุขกับความรักใคร่ห่วงใยของบิดามารดา ยังมีแม่หนูน้อยที่เดิมทีสมควรต้องเป็นพี่สาวของเขาคอยเรียกเขาว่าท่านพี่ด้วย…
ครอบครัวสุขสันต์พร้อมหน้า อันที่จริงก็ยอดเยี่ยมนัก
เพียงเรื่องเดียวที่ทำให้ตี้เฮ่าพูดไม่ออกอยู่บ้างก็คือ ตามวงจรการเจริญเติบโตแบบดั้งเดิมของเขา พอเขาสามขวบก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว
แต่หลังจากย้อนเวลากลับมา ผ่านไปเกือบหกปีแล้ว เขายังคงมีรูปโฉมเป็นเด็กน้อยอยู่ มากสุดก็แค่สูงขึ้นมานิดหน่อยเท่านั้น ดูเหมือนเด็กวัยเจ็ดแปดขวบ ไม่ต่างจากวงจรการเจริญเติบโตของเด็กธรรมดาเลย
หรือว่าจะมีเหตุมาจากการที่เขาย้อนเวลากลับมา?
หรือจะเป็นเพราะเมื่อก่อนตอนที่เขายังเด็กมักจะอิจฉาคนที่มีพ่อแม่ให้ออดอ้อนออเซาะได้ ดังนั้นสวรรค์จึงให้เขาอยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กน้อยนานขึ้นเพื่อให้อยู่กับท่านพ่อท่านแม่ได้อีกหลายๆ ปีหรือ?
เช่นนั้นแบบนี้นับว่าเขาได้สมดั่งใจหวังแล้วหรือ?
ว่ากันตามเหตุผลแล้ว เขาไม่ควรจะบ่นเคืองต่อเรื่องนี้ การทำให้เขาเป็นเด็กนั้นไม่สำคัญหรอก แต่ดีร้ายอย่างไรก็ควรคืนวรยุทธ์ของเขาให้เขาบ้างสักส่วนสิ!
ตอนนี้เขาอยู่แค่ขั้นจินเซียนเท่านั้น ถ้าเผชิญหน้ากับฟั่นเชียนซื่อขึ้นมาจริงๆ ดูเหมือนว่านอกจากหลบหนีแล้ว เขาจะทำอย่างอื่นไม่ได้เลย
ส่วนตี้ฝูอี เขาค่อนข้างยุ่ง
เขตแดนของทวีปซิงเยวี่ยที่ถูกทำลายไปต้องการให้เขาไปซ่อมแซม สี่ทูตก็ต้องได้รับการฝึกฝนด้วยวิธีพิเศษ ทวีปซิงเยวี่ยมีสารพัดสิ่งที่รอให้ฟื้นฟูอยู่ มีหลายช่วงยิ่งนักที่ต้องให้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ออกหน้า และส่วนใหญ่ล้วนเป็นเขาที่รับหน้าที่
ถึงอย่างไรตอนนี้ความคิดจิตใจของกู้ซีจิ่วมุ่งอยู่ที่ร่างของบุตรทั้งสอง เมื่อมีผู้ช่วยสำเร็จรูปอยู่แล้ว เธอย่อมลอยชายอย่างเป็นสุขได้
อันที่จริงมีอยู่หลายครั้งที่เธออยากจะคืนตำแหน่งเทพศักดิ์สิทธิ์ให้แก่ตี้ฝูอี แต่ตี้ฝูอียืนกรานไม่ยอมรับ บอกออกไปทำนองว่าตำแหน่งเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ส่งมอบไปแล้วนั้นก็เหมือนกับน้ำที่สาดออกไป เขาจะไม่รับผิดชอบรับคืนมาเด็ดขาด…
ด้วยอับจนหนทาง กู้ซีจิ่วจึงได้แต่นั่งแท่นเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ต่อไป
เพียงแต่ ตี้ฝูอีก็บอกเธอไว้เหมือนกัน พวกเขาไม่อาจอยู่ที่ทวีปซิงเยวี่ยนานเกินไปได้ รอให้ลูกโตขึ้นอีกสักหน่อย ทวีปซิงเยวี่ยมั่นคงขึ้นบ้างแล้ว เขาจะพาพวกเธอกลับดินแดนเบื้องบน
————————————————————————————-
บทที่ 2766 ท่านพ่อเป็นคนเลว
ถึงอย่างไรไอวิญญาณของดินแดนเบื้องบนก็หนาแน่นกว่าโลกเบื้องล่างมาก เป็นผลดีต่อการบำเพ็ญของพวกเขา
และถ้าจะกลับไปยังดินแดนเบื้องบน ก็ต้องผ่านช่องมิติพิเศษบางอย่าง พวกเขาไม่กี่คนน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ซวี่เยวี่ยน้อยไม่ไหวเลย
นางยังเล็กเกินไป ต้องฝึกฝนให้บรรลุขั้นเก้า ถึงจะสามารถตามพ่อแม่กลับไปได้
แน่นอน ทวีปซิงเยวี่ยก็ไม่อาจไร้นายได้ พวกเขายังคงต้องกลับมาทุกครึ่งปี จนกว่าเทพศักดิ์สิทธิ์รุ่นต่อไปจะจุติ
ตามกำหนดการเดิมของลิขิตสวรรค์ กู้ซีจิ่วต้องเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ของทวีปซิงเยวี่ยแห่งนี้ไปหนึ่งหมื่นปี เทพศักดิ์สิทธิ์รุ่นต่อไปถึงจะปรากฏตัวขึ้น
แต่อาจเป็นเพราะกู้ซีจิ่วมีคุณสมบัติพิเศษ หรืออาจเป็นเพราะกฏเกณฑ์ลิขิตสวรรค์เปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว
ปีนี้เมื่อตี้ซวี่เยวี่ยอายุครบสี่ขวบ ในที่สุดตี้ฝูอีก็ได้เค้าลางของเทพศักดิ์สิทธิ์องค์ใหม่ปรากฏขึ้นบนผังดาราแล้ว
อย่างไรก็ตาม ดวงดาวที่เป็นตัวแทนของเทพศักดิ์สิทธิ์องค์ใหม่ค่อนข้างประหลาด คล้ายว่าคนผู้นั้นจะไม่ได้อยู่บนทวีปซิงเยวี่ย แต่อยู่ที่อื่น
ตี้ฝูอีพยากรณ์ดูอยู่พักหนึ่ง ก็ทำนายไม่ได้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร
เพียงแต่ เขาก็ไม่กังวลเลย ในเมื่อดาวดวงนี้ปรากฏขึ้นแล้ว เช่นนั้นอีกฝ่ายจะต้องปรากฏตัวขึ้นภายในร้อยปีแน่นอน รับช่วงต่อตำแหน่งนี้
เมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาสามีภรรยาก็สามารถสลัดภาระนี้ทิ้งอย่างสมบูรณ์ได้แล้ว
เวลาร้อยปีเท่านั้น พวกเขารอได้อยู่แล้ว
ถึงแม้คุณสมบัติของซวี่เยวี่ยน้อยจะไม่นับว่าละเมิดต่อสวรรค์ แต่นางก็เป็นเด็กน้อยที่เฉลียวฉลาดยิ่ง ร่ำเรียนสิ่งใดเพียงครู่เดียวก็เป็นแล้ว ข้อเสียก็คือค่อนข้างใจเสาะ ไม่เอาจริงเอาจังกับการฝึกฝนเวทวิชา เมื่อพบพานเรื่องอันตรายนางก็จะถอยหนีไปทันที ถึงขั้นที่พบเห็นแมลงอันใดก็กรีดร้องออกมาแล้ว เรื่องเดียวที่เรียนรู้ได้ดีก็คือการออดอ้อนออเซาะ เต็มไปด้วยความเป็นผู้หญิง
ตี้ฝูอีรู้สึกว่า นิสัยนี้ของนางถ้าเป็นเด็กชาวมนุษย์ทั่วไปก็นับว่าไม่เลวร้าย แต่เมื่อเป็นลูกของเขาตี้ฝูอี จะสามัญเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? ถ้าใจเสาะขนาดนี้แล้วจะใช้ชีวิตยังไง?
เนื่องด้วยเหตุนี้ตี้ซวี่เยวี่ยจึงถูกตี้ฝูอีอบรมอยู่ไม่น้อย ทำโทษเป็นประจำ
ตี้ฝูอีก็เคยอบรมสั่งสอนคนมานับไม่ถ้วนแล้วเช่นกัน อุดมไปด้วยประสบการณ์ ประกอบกับในชาติที่เขาเป็นเสินเนี่ยนโม่ เสินจิ่วหลีก็ได้เคี่ยวกรำเขาไว้ไม่น้อยเลย ดังนั้นวิธีการอบรบสั่งของเขาจึงเป็นแนวทางที่เข้มงวดกวดขัน
แน่นอน นิสัยของตี้ฝูอีต่างกับเสินจิ่วหลี วิธีอบรมสั่งสอนจึงไม่เหมือนกัน
ตอนนั้นเสินจิ่วหลีนำวิธีต้อนแกะมาใช้ มักจะโยนเขาเข้าไปในเขตแดนปล่อยให้เขาสำรวจเรียนรู้อยู่ด้านในด้วยตัวเอง เติบโตขึ้นจากประสบการณ์
เสินจิ่วหลีเป็นคนเข้มงวด ได้จัดแจงรวบรวมเคล็ดลับทักษะยุทธ์มากมาย ให้บุตรชายฝึกฝนเรียนรู้
แต่การอบรมสั่งสอนที่ตี้ฝูอีปฏิบัติต่อบุตรสาวเป็นรูปแบบของการฝึกหัด ยกตัวอย่างเช่นสอนวิชาเหินหาวให้นาง ตี้ซวี่เยวี่ยค่อนข้างกลัวความสูง ถึงแม้จะเรียนรู้ทฤษฎีไปแล้ว ก็ไม่คิดจะปฏิบัติจริง
กู้ซีจิ่วบีบบังคับนางอยู่สองสามครั้ง นางล้วนกอดขาของกู้ซีจิ่วไว้แล้วร้องงอแง
ร้องไห้ปานดอกสาลี่ต้องพิรุณ แสดงท่าทีว่าตนยังเป็นหนูน้อยคนหนึ่ง เด็กของครอบครัวทั่วไปอายุแค่นี้ยังออดอ้อนอยู่ในอ้อมอกมารดาอยู่เลย ทว่านางกลับถูกบังคับให้เสี่ยงอันตราย…
รูปโฉมของตี้ซวี่เยวี่ยงดงามอย่างยิ่ง ดวงตาโต ขนตายาวเป็นแพ ริมฝีปากจิ้มลิ้ม น่ารักเหมือนตุ๊กตา
พอร้องไห้ขึ้นมาจะมีอานุภาพน่าตะลึงยิ่ง ต่อให้เป็นคนแข็งกระด้างเห็นนางร้องไห้ก็ต้องใจอ่อนเช่นกัน
ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เด็กคนนี้มา ซ้ำยังเป็นลูกสาวด้วย กู้ซีจิ่วยังคงค่อนข้างโอ๋เอาใจนางอยู่บ้าง เห็นนางร้องไห้อย่างเจ็บปวดเช่นนี้ก็หักใจไม่ลงอยู่บ้าง จึงปล่อยเลยตามเลย
หลังจากตี้ฝูอีทราบเรื่องนี้เข้า ตอนนั้นเขาไม่ได้พูดอื่นใดเลย เพียงยิ้มให้บุตรสาวแวบหนึ่ง รอยยิ้มอบอุ่นและอ่อนโยนยิ่งนัก ถามนางด้วยรอยยิ้ม “ซวี่เยวี่ย พ่อพาเจ้าไปเดินเล่นบนเมฆาดีหรือไม่?” พลางบอกเล่าถึงทิวทัศน์บนเมฆา หลอกล่อความสนใจของบุตรสาวได้สำเร็จ
ตี้ซวี่เยวี่ยยื่นแขนเล็กๆ ให้เขาอุ้ม ด้วยเหตุนี้ เขาจึงอุ้มบุตรสาวเหินขึ้นสู่นภา
ยามที่อุ้มบุตรสาวเหินบิน ตี้ฝูอีก็ได้ทดสอบผลการเรียนวิชาเหินหาวของนางดูเล็กน้อย