ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 2847 ขับไล่ 3 / บทที่ 2848 ด่านเคราะห์
บทที่ 2847 ขับไล่ 3
ส่วนกู้ซีจิ่วก็ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาอย่างเย็นชา วาดฝ่ามือ ทาบลงบนหน้าผากเขา มีแสงเรืองรองผุดออกมาจากฝ่ามือ…
ร่างกายของฟั่นเชียนซื่อแข็งทื่อ คิดหลบเลี่ยงตามสัญชาตญาณ แต่ก็สะกดกลั้น อดทนไว้
แสงรุ้งไหลเข้าสู่สมอง เขาปวดหัวอย่างยิ่ง ราวกับมีบางสิ่งกำลังถูกถอดถอนแยกออกเป็นส่วนๆ อย่างรุนแรง เขาอดทนไม่ดิ้นรนขัดขืน ฝ่ามือของกู้ซีจิ่วถอนออกไปจากหน้าผากของเขาแล้ว เอ่ยอย่างเยือกเย็น “เปิ่นจุนไม่มีลูกศิษย์เนรคุณอย่างเจ้า! นับจากนี้ไป เจ้ากับเปิ่นจุนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว! ไสหัวไปซะ!” เมื่อครู่นางลงมือลบล้างความทรงจำบางส่วนของเขาไป ทำให้เขาจดจำบทสนทนาเหล่านั้นที่ใช้วิชามายาหลอกถามไม่ได้อีก
จากนั้นก็หันหลังกลับเข้าไปในหุบเขา โบกมือปิดกั้นเขตแดนอีกครั้ง
ฟั่นเชียนซื่อคุกเข่าตัวตรงอยู่ตรงนั้น สมองขาวโพลนไปหมด…
….
ฟั่นเชียนซื่อคุกเข่าอยู่ด้านนอกหุบเขามาสิบวันเต็มแล้ว ไม่กินไม่ดื่มไม่นอนมาสิบวัน เอ่ยเพียงประโยคเดียวซ้ำไปซ้ำมา “อาจารย์ ศิษย์ทราบความผิดแล้ว อย่าไล่ศิษย์ออกจากสังกัดเลย…”
ความนิยมของฟั่นเชียนซื่อในหุบเขาเสียงสวรรค์ยังคงค่อนข้างดี ทุกคนล้วนช่วยกันขอความเมตตาให้เขา รวมถึงอูเชียนเหยียนด้วย
จนปัญญาที่กู้ซีจิ่วตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ยืนกรานไม่ยอมเพิกถอนคำสั่ง และไม่ให้ผู้ใดออกไปเยี่ยมดูเขาเลย
ยังคงเป็นอูเชียนเหยียนที่เสี่ยงอันตรายจากการถูกลงโทษ วิ่งออกมาส่งข้าวส่งน้ำให้ฟั่นเชียนซื่อ แต่ฟั่นเชียนซื่อไม่กิน ตามที่เขาพูดคือ ถ้าอาจารย์ไม่ยกโทษให้เขา เขาก็จะไม่ลุกขึ้นแม้แต่วันเดียว แม้ว่าจะต้องคุกเข่าอยู่ที่นี่ไปจนฟ้าดินสลายก็ตาม
เขาอยู่นอกหุบเขาผ่ายผอมลงทุกวัน พวกอูเชียนเหยียนที่อยู่ในหุบเขาก็นั่งไม่ติดแล้วเช่นกัน คิดหาสารพัดหนทางเพื่อหาโอกาสขอความเมตตาให้เขา
กู้ซีจิ่วรำคาญจนทนไม่ไหว จึงออกคำสั่งอย่างหนึ่งไปเสียเลย “ถ้าผู้ใดขอความเมตตาให้ฟั่นเชียนซื่ออีก ผู้นั้นก็จะถูกขับไล่ออกไปเช่นกัน!”
เมื่อประกาศคำสั่งนี้ออกไป ในที่สุดหูของเธอก็ได้รับความสงบขึ้นมาก
เหล่าเด็กรับใช้ส่วนใหญ่ล้วนไม่กล้าเอ่ยถึงอีก มีเพียงอูเชียนเหยียนที่ยังดื้อรั้น ยังคงทำใจกล้าขอความเมตตาให้เขาอยู่ สุดท้ายก็ถูกกู้ซีจิ่วขับไล่ออกไปเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่คุกเข่าอยู่ด้านนอกหุบเขาจึงกลายเป็นสองคนแล้ว…
ถึงอย่างไรก็เป็นศิษย์ที่ตนตั้งใจสอนสั่งมาถึงยี่สิบปี แถมยังเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวด้วย ถ้าบอกว่ากู้ซีจิ่วไม่ปวดใจเลยก็โกหกแล้ว
แต่ครั้งนี้ฟั่นเชียนซื่อล้ำเส้นเธอเข้าแล้วจริงๆ หากว่าครั้งนี้ยอมให้อภัยง่ายๆ เกรงว่าวันหน้าเขาคงจะกำเริบเสิบสานยิ่งกว่านี้ ไม่รู้ว่าจะก่อเรื่องอะไรขึ้นมาบ้าง
ตอนนี้เธอรักษาพลังยุทธ์ไว้ได้สองส่วนยังว่าดีหน่อย สามารถชิงสยบเขาก่อนได้ ถ้าหากวันหน้าพลังยุทธ์ของเธอเสื่อมถอยลงอย่างที่ไม่อาจเลี่ยงได้ ถ้าเขาจับสังเกตได้จริงๆ ไม่แน่ว่าอาจจะบังคับหักหาญเธอกระทำเรื่องเลวร้ายผิดศีลธรรมขึ้นมา
ถึงแม้ยุคนี้จะไม่ถือว่าความรักระหว่างศิษย์อาจารย์เป็นเรื่องผิดศีลธรรม แต่อย่างแรกคือกู้ซีจิ่วไม่เคยมีความคิดในเชิงนั้นต่อเขาเลย อย่างที่สองคือตนที่เป็นไม้ใกล้ฝังแล้วไม่คิดจะข้องแวะมีสัมพันธ์รักกับลูกศิษย์ ถึงแม้ฟั่นเชียนซื่อจะดูสุภาพอ่อนโยนยิ่งนัก แต่ลึกลงไปในกระดูกของเขาแล้วเป็นคนที่หัวรุนแรงยิ่ง และถือทิฐินัก หากปักใจเรื่องใดไปแล้ว ใช้วัวเก้าตัวก็ลากกลับมาไม่ได้
หากว่าเธอปล่อยให้ความรู้สึกอันบิดเบี้ยวนี้ของเขาพัฒนาขึ้นมา ทันทีที่เธอสิ้นชีพวิญญาณสลาย ไม่รู้ว่าเขาจะก่อเรื่องอะไรขึ้นมาบ้าง
จะต้องทำลายความคิดนี้ของเขาให้สิ้นซากไปซะ!
แต่ว่า ควรทำยังไงล่ะถึงจะขจัดความคิดนี้ของเขาไปอย่างสิ้นเชิงได้?
กู้ซีจิ่วปวดหัวนัก!
จิตใจเธอสับสนว้าวุ่น จึงปิดด่านเสียเลย คิดจะคำนวณชะตาดูให้ดีๆ เสียหน่อย
อันที่จริงแล้วความรุ่งโรจน์ล่มสลายของหกภพภูมิก็ทำนายด้วยศาสตร์ดาราได้ เมื่อแปดปีก่อนจู่ๆ กู้ซีจิ่วก็ฟื้นฟูความทรงจำด้านศาสตร์ผังดาราได้
และในส่วนลึกของถ้ำแห่งหนึ่งในหุบเขาเสียงสวรรค์ของเธอ ก็มีสถานที่ที่เหมาะสำหรับมองดาวคำนวณชะตาอยู่พอดี เนื่องจากความทรงจำของเธอไม่ครบถ้วน ดังนั้นสำหรับผังดาวบางส่วนเธอก็ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ อย่างไรก็ตามเพียงตรองดูให้มากหน่อย เธอก็จะเข้าใจมากขึ้นอีกนิด
————————————————————————————-
บทที่ 2848 ด่านเคราะห์
หลายปีมานี้เธออบรมสั่งสอนศิษย์บ้าง ไปฝึกฝนที่แดนน้ำแข็งบ้าง ช่วงเวลาที่สามารถสงบใจพินิจคำนวณผังดาวมีอยู่ไม่มากเลยจริงๆ
เธออยู่ภายในถ้ำนั้นถึงหนึ่งเดือนเต็ม ครั้งนี้เธอมองเห็นแนวทางสายหนึ่ง ค่อนข้างฉงนอยู่บ้าง
เธอมองเห็นดาวหกแฉกที่เป็นตัวแทนของเธอ รัศมีสีสันมืดสลัวลงแล้ว ถึงแม้จะยังเจิดจ้าพอ แต่ก็เหมือนอาทิตย์อัสดงลับเหลี่ยมเขาแล้ว แขวนลอยอยู่ตรงนั้นอย่างเดียวดายค่อยๆ ร่วงหล่นลงไป…
เธอถอนหายใจเบาๆ เวลาของเธอเหลือไม่มากแล้วจริงๆ!
ท่ามกลางดวงดาวที่พร่างพราวอยู่เต็มฟากฟ้า เธอยังพบดาวใหญ่อีกสองดวงด้วย ดวงหนึ่งเป็นสีม่วงเจิดจ้าเรืองรอง ดวงหนึ่งสดใสทว่ามีหมอกดำชั้นหนึ่งปกคลุมอยู่ ดูค่อนข้างแปลกประหลาด
กู้ซีจิ่วกอดเข่ามองดาวสีม่วงดวงนั้น มีความรู้สึกคุ้นตาอยู่รางๆ ขึ้นมาวูบหนึ่ง
ตามปกติแล้วรัศมีของดาวดวงใหม่จะไม่ค่อยมั่นคงนัก ถึงแม้จะดูเจิดจ้ายิ่ง แต่มักจะมอบความรู้สึกเลื่อนลอยอย่างหนึ่งให้ผู้คนอยู่เสมอ วงโคจรก็ไม่เสถียร
แต่ดาวสีม่วงดวงนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นดาวดวงใหม่ แต่ราวกับพญาหงส์ที่ฟื้นคืนชีพกลับมาจากกองเถ้า ไม่ว่าจะเป็นสีสันความเจิดจ้าหรือว่าวงโคจร ล้วนเสถียรมั่นคงยิ่ง โคจรอย่างมีระเบียบแบบแผน แน่วแน่ไม่เอนเอียง
สายตากู้ซีจิ่วร่อนลงบนดาวฤกษ์ที่มีหมอกดำห่อหุ้มดวงนั้นอีกครั้ง ดาวดวงนี้มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นดาวดวงใหม่ เพียงแต่เสถียรยิ่งนักเช่นกัน แต่เสถียรสู้ดาวสีม่วงดวงนั้นไม่ได้ ได้รับผลกระทบจากดาวดวงอื่น วิถีโคจรในยามนี้ค่อนข้างลาดเอียงไปบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถึงขั้นหลุดวงโคจร
ดาวหมอกดำดวงนั้นน่าจะเป็นตัวแทนของฟั่นเชียนซื่อกระมัง?
เช่นนั้นดาวอีกดวงเป็นตัวแทนของใครล่ะ?
เงาร่างของตี้ฝูอีผุดขึ้นมาในใจ คงมิใช่ว่าดาวดวงนี้เป็นตัวแทนของเขากระมัง?!
หรือว่าวันหน้าเขาก็จะได้เป็นเทพด้วย?
วันหน้าเขากับฟั่นเชียนซื่อก็ร่วมมือกันดูแลปกครองหกภพภูมินี้หรือ?
เดิมทีความทรงจำด้านศาสตร์ดาราของเธอราวกับมีเส้นด้ายหนาๆ พัวพันอยู่แต่ตอนนี้เส้นด้ายนี้ค่อยคลี่คลายออกไปทีละชั้นๆ ทำให้ความทรงจำในส่วนนี้ของเธอแจ่มชัดขึ้นมาเรื่อยๆ…
ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวเธอก็ศึกษาคำนวณมาหนึ่งเดือนแล้ว
จิตใจก็ค่อยๆ สงบลง
ในวันนี้ ขณะที่เธอกำลังพินิจดาราอยู่ จู่ๆ ก็เห็นว่าหมอกดำชั้นนั้นที่อยู่รอบกายของดาวหมอกดำดวงนั้นจู่ๆ อัสนีที่เจิดจ้าสายหนึ่งพุ่งลงมาจากอากาศ ฟาดลงบนร่างมัน ทำให้มันโยกไหวอย่างรุนแรง…
กู้ซีจิ่วตะลึงงัน คล้ายจะนึกอะไรได้ในทันใด “แย่แล้ว! น่าตายนัก!”
เรือนกายวูบไหว เลือนหายไปจากภายในถ้ำแห่งนี้ทันที พอเธอปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง ก็อยู่ด้านนอกหุบเขาเสียงสวรรค์แล้ว
….
นอกหุบเขาเสียงสวรรค์ กลุ่มเมฆแดงฉานปกคลุมทั่วนภา กระแสไฟฟ้าดุจอสรพิษที่เลื้อยโฉบอยู่กลางกลุ่มเมฆ
สายลมกรรโชกอื้ออึง กวาดม้วนฝุ่นธุลีฟุ้งตลบ
ส่วนฟั่นเชียนซื่อก็ถูกโอบล้อมด้วยแสงสีแดงเพลิงกลุ่มหนึ่ง ลอยขึ้นสู่นภา มีฟ้าแลบแปลบปลาบกำลังพัวพันอยู่รอบกายเขา เขานั่งหลับตาอยู่ภายในกลุ่มแสง มีอัสนีด่านเคราะห์สายหนึ่งผ่าลงบนร่างของเขาแล้ว ผ่าจนเขากระอักโลหิต ทว่าเขายังคงนิ่งเฉยไม่หลบเลี่ยง เตรียมพร้อมเผชิญหน้ากับอัสนีด่านเคราะห์ที่เหลืออย่างซึ่งหน้าเช่นนี้…
ตัวบัดซบ!
กู้ซีจิ่วสถบด้วยความโกรธ เคลื่อนกายไปอยู่นอกกลุ่มแสงนั้นในทันใด “ฟั่นเชียนซื่อ เจ้าอยากตายสินะ?!”
ตอนนี้เขาเป็นซ่างเซียน และสายฟ้าในปัจจุบันนี้ก็เป็นอัสนีด่านเคราะห์ มีทั้งสิ้นสี่สิบแปดสาย ต่อให้เขาทุ่มพลังยุทธ์ทั้งหมดเข้าต้านทาน ก็ยังไม่แน่ว่าจะต้านไหว
แต่ตอนนี้ไอ้ตัวบัดซบผู้นี้ไม่แม้แต่จะติดตั้งเขตแดนคุ้มกาย นั่งซื่อบื้อเป็นตัวล่อเป้าอยู่ตรงนั้น!
ฟั่นเชียนซื่อลืมตาขึ้นมาทันที สายตาร่อนลงบนร่างของกู้ซีจิ่ว ลุกวาวขึ้นมานิดๆ “อาจารย์ ในที่สุดท่านก็ยอมอภัยให้ข้าแล้วใช่ไหม?”
กู้ซีจิ่วผงะไปแวบหนึ่ง โทสะแล่นขึ้นมาถึงกระหม่อมแล้ว!
ในช่วงเวลาแบบนี้ยังมีเวลามาสนใจเรื่องพวกนั้นอยู่อีกหรือ?!
“ฟั่นเชียนซื่อ โคจรเคล็ดปัญจะเมฆาที่เปิ่นจุนเคยสอนเจ้าเข้าต้านซะ!” เธอชี้แนะอยู่นอกกลุ่มแสง
————————————————————————————-