ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 2919 งานวิวาห์ 3 / บทที่ 2920 งานวิวาห์ 4
บทที่ 2919 งานวิวาห์ 3
จู่ๆ บนพื้นพลันปรากฏสายลมกรรโชกหอบหนึ่ง พัดจนฝูงชนที่มุงดูอยู่ยากจะลืมตาอ้าปากได้ หลังจากสายลมผ่านพ้นไป ฟั่นเชียนซื่อที่อยู่บนพื้นก็หายไปแล้ว
ฝูงชนงุนงง
ทว่ากู้ซีจิ่วกลับถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอรู้ดีว่าลมหอบนี้เป็นฝีมือของอูเชียนเหยียน ดูเหมือนนางจะตามมา ช่วยพาเขาจากไปแล้ว
….
ฟั่นเชียนซื่อไม่ได้กลับมาเลยทั้งคืน อูเชียนเหยียนก็ไม่ได้กลับมาเลยเช่นกัน
เดิมทีกู้ซีจิ่วนึกว่าอูเชียนเหยียนจะพาฟั่นเชียนซื่อที่เมามายกลับมาแล้ว ถึงอย่างไรพรุ่งนี้ก็เป็นวันวิวาห์ของเธอ เขาที่เป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวของเทพผู้ทรงสิทธิ์ถ้าไม่ปรากฏตัวเลยก็คงไม่อาจเลี่ยงข้อครหาได้
ส่วนอูเชียนเหยียนก็มีฝีมือเชี่ยวชาญ การแต่งหน้าประทินโฉมของกู้ซีจิ่วในวันพรุ่งนี้ก็เป็นหน้าที่ของนางด้วย
อูเชียนเหยียนจัดการเรื่องราวได้น่าไว้วางใจเสมอมา ยิ่งไม่มีเหตุผลที่นางจะไม่กลับมาเลย
แต่มองเห็นฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้นมาแล้ว ก็ยังคงไม่มีวี่แววของสองคนนั้นอยู่เช่นเดิม
นี่ทำให้ในใจของกู้ซีจิ่วว้าวุ่นอยู่บ้างเล้กน้อย คงมิใช่ว่าเกิดเหตุขึ้นกับสองคนนี้แล้วกระมัง?!
แต่พอคิดดูอีกที ด้วยความสามารถของสองคนนี้ บนโลกนี้ยากจะหาคู่ต่อกรได้ ตามหลักแล้วไม่น่าจะเกิดเหตุเหนือความคาดหมายขึ้นแน่
บางทีอูเชียนเหยียนอาจเห็นว่าฟั่นเชียนซื่อเมาหนักเกินไป ไม่กล้าพาเขากลับมา รั้งอยู่ข้างกายเขา เพื่อให้เขาสร่างเมาขึ้นมา
อูเชียนเหยียนไม่ได้กลับมา การแต่งตัวประทินโฉมก็ยังต้องทำอยู่
เคราะห์ดีว่าสี่เหนียงที่ตี้ฝูอีส่งตัวมาเชี่ยวชาญในด้านนี้ จัดแจงธุระนี้ของเธอให้ผ่านพ้นไปได้ ประทินโฉม กันขนให้เธอ
เส้นด้ายปัดผ่านใบหน้า กันเส้นขนบนใบหน้าให้หลุดออกมา รู้สึกเจ็บนิดๆ
เธอรูปโฉมงดงามโดยกำเนิด ดังนั้นต่อให้เข้าพิธีวิวาห์ ก็ลงแป้งเพียงบางๆ เท่านั้น
กู้ซีจิ่วมองดูตัวเองที่อยู่ภายในคันฉ่อง ขนงเนตรงามวิจิตร พวงแก้มแดงนิดๆ ผิวขาวกระจ่างฝาดเลือด พู่ระย้าสีแดงเพลิงที่แกว่งไกวอยู่ตรงหน้า ทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย
ตนที่อยู่ในชุดเจ้าสาวก็งามน่ามองยิ่งนักเช่นกัน
เพียงน่าเสียดายที่เป็นเพียงเรื่องเท็จ หากว่าเป็นความจริง…
พอคิดมาถึงตรงนี้ก็ทำให้ตัวเองสะดุ้งโหยง! จากนั้นก็หลุดขำ
จะเป็นความจริงไปได้อย่างไรกัน?
ตนกับตี้ฝูอีต่างมีแผนการเป็นของตัวเอง เพียงร่วมมือกันแสดงละครฉากหนึ่งก็เท่านั้น
ขณะที่เธอกำลังใจลอยอยู่ สี่เหนียงก็กระซิบถามเธอ “พระองค์เจ้าเพคะ สมควรจะออกเดินทางไปรับตัวเจ้าบ่าวได้แล้วกระมัง?”
กู้ซีจิ่วผงะไปแวบหนึ่ง เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าครั้งนี้เป็นเธอที่แต่งตี้ฝูอีเข้าสกุลตน เธอเลยต้องเป็นฝ่ายออกไปรับตัวเจ้าบ่าว
เธอลุกขึ้นมา สาวเท้าก้าวออกไปด้านนอก “ไปเถอะ!”
ในโลกนี้การแต่งภรรยาเข้าเรือนนั้นพบเห็นกันทั่วไปยิ่ง ทว่าการแต่งสามีเข้าเรือนกลับพบเห็นกันน้อยยิ่ง โดยเฉพาะการที่พระองค์เจ้าเป็นฝ่ายแต่งสามีเข้าเรือนนั้นยิ่งเป็นเรื่องที่ยากจะพบเห็นได้ในรอบพันปี ดังนั้นครั้งนี้จึงไม่ได้มีแขกเหรื่อเนืองแน่นอยู่ภายในหุบเขาเสียงสวรรค์เท่านั้น บนถนนจากหุบเขาเสียงสวรรค์ไปจนถึงจวนดาราสวรรค์ที่เป็นระยะทางหลายสิบลี้ก็ประดับด้วยสีแดงอันสดใสเช่นกัน สองข้างถนนเต็มไปด้วยชาวบ้านที่มาชมเรื่องครึกครื้น
ผู้คนล้นหลาม เป็นขุนเขามนุษย์สายธารผู้คนโดยแท้
ขบวนรับตัวเจ้าบ่าวเคลื่อนไปตามท้องถนน มีการจุดประทัด บรรเลงเครื่องสายคลออยู่ไม่ขาดหู
กู้ซีจิ่วก็ไม่ได้นั่งเกี้ยว แต่นั่งรถม้าที่หรูหราใหญ่โตคันหนึ่ง หลังจากไปรับตัวเจ้าบ่าวมาแล้ว เจ้าบ่าวก็จะขึ้นมานั่งบนรถม้าเพื่อกลับไปพร้อมกับเธอ
เธอแหวกม่านรถม้ามองออกไปนอกรถแวบหนึ่ง รถม้าเคลื่อนไปดุจล่องสายธารา ขบวนรับตัวเจ้าบ่าวมีมากถึงหกร้อยคน เมื่อเคลื่อนไปบนท้องถนนเช่นนี้จึงดูสง่างามโอ่อ่า ยิ่งใหญ่เป็นที่สุด
รอบข้างล้วนเป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความอิจฉาตาร้อนของประชาชน เพียงแต่บางครั้งก็มีเสียงที่แตกพวกออกไปแว่วเข้ามาบ้าง
“ไม่นึกเลยว่าราชครูตี้จะแต่งให้แก่พระองค์เจ้าได้ จะว่าไป เขาคิดจะอาศัยบารมีพระองค์เจ้ากระมัง? ดังนั้นถึงได้ยอมกล้ำกลืนความอยุติธรรมขนาดนี้สินะ?”
“นี่ก็ใช่ ราชครูตี้เป็นบุคคลที่เย่อหยิ่งสูงส่ง ใต้หล้านี้ไม่รู้ว่ามีสตรีแรกรุ่นที่ทรงอำนาจมีบารมีมากน้อยเพียงใดที่อยากจะแต่งให้แก่เขา อยากจะเอาแว่นแคว้นเข้าแลกใจจะขาด แต่เขาล้วนไม่ยินยอม ทว่าตอนนี้กลับแต่งให้แก่พระองค์เจ้าอย่างยิ่งใหญ่อลังการเช่นนี้ นี่ต้องเป็นเงื่อนไขของพระองค์เจ้าแน่นอน…
————————————————————————————-
บทที่ 2920 งานวิวาห์ 4
นี่ต้องเป็นเงื่อนไขของพระองค์เจ้าแน่นอน หากว่าราชครูตี้มิได้วางแผนใฝ่อำนาจ ไหนเลยจะเห็นด้วยกับเรื่องนี้ ต้องทราบก่อนว่าต่อให้เป็นชายชาวบ้านอย่างพวกเรา แต่ถ้ามีศักดิ์ศรีอยู่บ้าง ก็ไม่คิดจะแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงดอก”
“พระองค์เจ้าเป็นเทพแห่งหกภพภูมิ เมื่อนางจะวิวาห์ย่อมไม่เป็นการแต่งออกอยู่แล้ว เพียงแต่เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว ถ้าราชครูตี้มีฐานะเป็นสวามีของพระองค์เจ้า ก็จะไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกินอีก ฐานะก็ยิ่งสูงศักดิ์ขึ้นไปอีก ความปรารถนาจะรวมหกภพภูมิให้เป็นหนึ่งก็อยู่เพียงเอื้อมของพระสวามีแล้ว ราชครูตี้ทนรับความอยุติธรรมเช่นนี้สักหน่อยจะเป็นอะไรไปเล่า?”
“ชิ สุดท้ายแล้วราชครูตี้ก็แค่อยากจะกินข้าวนิ่มๆ เท่านั้น อาศัยบารมีของสตรีนางหนึ่ง พวกเจ้าจะพูดให้ดูดีเช่นนี้ไปเพื่ออะไร? เฮอะ เรื่องนี้ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้เฒ่าอย่างข้าจะไม่ยอมทำแน่! ผู้เฒ่าอย่างข้ายอมไม่ประสบความสำเร็จไปชั่วชีวิต และไม่คิดจะกินข้าวนิ่มๆ ด้วย ยินดีจะแต่งภรรยาที่เชื่อฟังสักคน แล้วรับอนุโฉมงามอีกหลายๆ คน เช่นนั้นสิถึงจะเป็นชีวิตที่ผาสุก”
“ชู่ เจ้าเบาเสียงหน่อย! นี่คือพระองค์เจ้านะ พระองค์เจ้าย่อมไม่เหมือนกับสตรีทั่วไปอยู่แล้ว”
เสียงของคนพวกนี้ไม่ได้ดัง แต่กู้ซีจิ่วมีโสตรับเสียงที่ยอดเยี่ยม ย่อมได้ยินเข้าหูทั้งหมด เธอขมวดคิ้วนิดๆ แล้ว
เธอกระดิกปลายนิ้วคราหนึ่ง แสงสีขาวอ่อนจางสายหนึ่งพุ่งออกไปจากรถม้า…
พุ่งใส่คนที่พูดจาหยามหมิ่นเหล่านั้นทำให้จู่ๆ ก็รู้สึกว่าปากคันคะเยอขึ้นมาในทันใด หุบแล้วอ้าไม่ได้อีก พูดจาไม่ได้สักประโยคแล้ว
พวกเขาตกใจมาก อีกทั้งภายในปากยังคงทรมานด้วยความคัน อยากจะดึงลิ้นออกมาเกาใจจะขาดแล้ว แต่ริมฝีปากกลับไม่เชื่อฟังปิดสนิทติดแน่น พวกเขาง้างกันเองก็ไม่ออก…
พยายามจะง้างปากตนอีกครั้งอย่างตื่นตระหนก แล้วก็บีบคอตัวเอง คนรอบข้างหลงนึกว่าพวกเขาเกิดเป็นลมบ้าหมูขึ้นมา พากันถอยห่างจากพวกเขา
ความชุลมุนวุ่นวายเล็กๆ นี้ย่อมไม่ส่งผลกระทบต่อขบวนรับตัวเจ้าบ่าว ขบวนยังคงเคลื่อนตัวไปข้างหน้า
กู้ซีจิ่วเก็บมือ คนพวกนี้จะคันคะเยอเช่นนี้ไปสามวัน ในสามวันนี้จะกินไม่ได้นอนไม่หลับดื่มไม่ลง นับว่าเป็นการลงโทษพวกเขาเล็กๆ น้อยๆ
เธอไม่ได้เก็บคนพวกนั้นมาใส่ใจเลย แต่ถ้อยคำที่พวกเขาพูดกลับวนเวียนอยู่ในใจเธอ
จู่ๆ ก็พบว่า ละครฉากนี้ของตนกับตี้ฝูอี ราคาที่ตี้ฝูอีต้องจ่ายสูงกว่าอยู่บ้าง อันที่จริงต่อให้เขาไม่แต่งงานกับเธอ เขาก็ยังคงขึ้นเป็นเจ้าแห่งหกภพภูมิได้อยู่ดี เพียงแต่จะติดปัญหาที่ว่าช้าหรือเร็วเท่านั้น
แต่ตอนนี้พอเป็นแบบนี้แล้ว เขาก็ถูกจัดให้มีชื่อเสียงว่าเป็นพวกที่ชอบกินข้าวนิ่ม เกรงว่าชั่วชีวิตนี้คงลบล้างไม่ได้แล้ว
หากรู้แบบนี้แต่แรก…
เรื่องนี้ยังคงเป็นตนที่พลาดไปไม่ได้ไตร่ตรองถึง วันหน้าจะต้องหาทางชดเชยแก้ไข
เช่นนี้เธอจึงครุ่นคิดไปตลอดทางจนมาถึงหน้าประตูจวนดาราสวรรค์
ตรงข้ามกับความครึกครื้นของหุบเขาเสียงสวรรค์เลย ที่นี่เห็นได้ชัดว่าเงียบสงัดยิ่ง ประตูใหญ่ปิดอยู่ เพียงแต่ตรงปากประตูมีเด็กรับใช้เฝ้าอยู่สองสามคน
จิตใจกู้ซีจิ่วผันผวนอยู่บ้าง ไม่กี่วันก่อนตี้ฝูอีสะบัดแขนเสื้อจากไป สองสามวันมานี้เธอก็ไม่ได้ติดต่อกับเขาเลย คงมิใช่ว่าเขาหนีงานแต่งไปแล้วกระมัง?!
เธอลงจากรถม้า เด็กเฝ้าประตูเข้ามาต้อนรับ ค้อมกายคารวะเธอ “พระองค์เจ้า”
“นายของพวกเจ้าล่ะ?”
“นายท่าน...นายท่าน...เรียนเชิญพระองค์เจ้าเข้าไปด้านในพ่ะย่ะค่ะ นายท่านจะออกมาในไม่ช้านี้”
กู้ซีจิ่วลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาอยู่ในจวนก็ดีแล้ว ไม่ได้หนีงานแต่งไปก็พอแล้ว
เธอให้ขบวนรับตัวเจ้าบ่าวรออยู่ด้านนอกทั้งหมด ส่วนเธอก็เดินเข้าไป
เป็นครั้งแรกที่เธอได้มาเยือนจวนดาราสวรรค์แห่งนี้ พบว่าการตกแต่งภายในก็ประดับประดาอย่างเป็นมงคลเช่นกัน มีอักษรมงคลตัวใหญ่สีแดงคู่หนึ่ง แพรแดงห้อยพลิ้ว มีอยู่ทั่ว
กู้ซีจิ่วถูกพ่อบ้านภายในจวนเชิญเข้าไปในห้องโถง ภายในห้องโถงนี้ก็ตกแต่งอย่างประณีตงดงามเช่นกัน เหนือห้องโถงแขวนอักษรมงคลทรงดอกโบตั๋นช่อหนึ่งที่ทำจากมุกโลหิตไว้ ลายอักษรนั้นดุจหงส์ร่อนมังกรรำ พลิ้วไหวทรงพลัง ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นลายมือของตี้ฝูอี
การตกแต่งของที่นี่มีกลิ่นอายของงานมงคลยิ่งกว่าหุบเขาเสียงสวรรค์ของเธอเสียอีก ถึงขั้นที่มีความงดงามอันน่าตื่นตะลึงอย่างหนึ่งอยู่ด้วย