ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 2931 ไม่ผิดนัด 3 / บทที่ 2932 ไม่ผิดนัด 4
บทที่ 2931 ไม่ผิดนัด 3
อย่างเช่นเทพผู้สร้างโลกทุกรุ่นล้วนมีมังกรประทีปเป็นสัตว์พิทักษ์ เมื่อหลายหมื่นปีก่อนเธอก็มีเช่นกัน แต่ในเคราะห์ใหญ่คราหนึ่งมังกรประทีปของเธอปกป้องนายจนสิ้นชีพ ส่วนเธอก็ตกสู่ห้วงนิทรา จวบจนถึงยามนี้…
และเทพผู้สร้างโลกทุกรุ่นจะต้องจับลูกมังกรประทีปหนึ่งตัวมามอบให้เทพผู้สร้างโลกรุ่นถัดไป ช่วยอบรมให้เชื่อง
แต่การเลี้ยงดูลูกมังกรประทีปเป็นกระบวนการที่ยาวนานอย่างยิ่ง เธอเหลือเวลาไม่มากขนาดนั้นแล้วดังนั้นให้เขาอบรมเลี้ยงดูเองจะดีกว่า
เธอจำได้รางๆ ว่ามังกรประทีปมีสัญชาตญาณแรกกำเนิด ถ้ามันเห็นใครเป็นคนแรก ก็จะยอมรับคนผู้นั้นเป็นนายอย่างง่ายดาย
เนื่องด้วยเหตุนี้ ตอนที่กู้ซีจิ่วผ่านไปยังแดนเผ่ามังกรประทีป จึงพาฟั่นเชียนซื่อไปด้วยเสียเลย หวังจะให้เขาจับเอาเองสักตัว ส่วนเธอคอยให้ความช่วยเหลืออยู่ด้านข้างจะดีกว่า
แดนเผ่ามังกรประทีปเป็นสถานที่อันตรายอันเลื่องชื่อบนโลกนี้
ถ้ามิใช่ผู้ที่มีวรยุทธ์สูงส่งเลิศล้ำ ไม่มีใครกล้าวิ่งมารนหาความตายที่นี่
ท้องฟ้าของที่นี่เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ยามสว่างจะคล้ายตอนกลางวันที่แดดจ้าฟ้าใส ยามมืดก็ราวกับรัตติกาลที่ยื่นมือออกไปแล้วมองไม่เห็นนิ้วเลย แถมยังมืดสนิทด้วย
ต่อให้เป็นคนที่มองเห็นในความมืดได้ดีขนาดไหนก็เสมือนคนบอดตาใสอยู่ดี ต้องพึ่งพาการจับลูบคลำและสัมผัสที่หก
กู้ซีจิ่วไม่ได้พาฟั่นเชียนซื่อไปยังเส้นทางน้ำสายนั้นที่ตี้ฝูอีค้นพบ เส้นทางน้ำสายนั้นเธอไม่คุ้นเคย และศาสตร์แขนงวารีของเธอก็ใช่ว่าจะดีจริงๆ จึงไม่อยากเสี่ยงกับเส้นทางนี้
โชคดีที่เธอยังคงนึกถึงเส้นทางอื่นที่จะเข้าสู่แดนเผ่ามังกรประทีปออก…
แดนเผ่ามังกรประทีปใหญ่โตยิ่ง มีพื้นที่เทียบเท่ามหาสมุทรอาร์กติกทั้งผืน
ที่นี่เป็นโลกอีกใบหนึ่ง มีสัตว์ประหลาดสิ่งมีชีวิตมากมายหลายชนิดที่ตัวกู้ซีจิ่วเองก็เรียกชื่อไม่ถูกเช่นกัน และมังกรประทีบหนึ่งร้อยสิบตัวนั้นก็อยู่ในจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารที่นี่ เป็นราชันของดินแดนนี้ ไม่มีสัตว์ใดกล้าไปยั่วยุพวกมัน
ผืนป่าไม้ที่ใบคล้ายใบกล้วยบดบังนภาจนไร้แสงตะวัน พืชไม้ใบหญ้าหลากสีสัน ราวกับหล่อจากน้ำ แวววาวส่องประกาย
เมื่อทั้งสองเข้าสู่ด้านในแล้วประหนึ่งล่วงเข้าสู่ยุคดึกดำบรรพ์ที่ไร้ซึ่งอารยธรรมก็มิปาน สัตว์ประหลาดสารพัดสารพันเหล่านั้นโผทะยานเฉียดผ่านข้างกายไปเป็นครั้งคราว
แน่นอน สิ่งมีชีวิตของที่นี่ล้วนดุร้าย ยิ่งสุ่มเลือกออกมาสักตัวก็มิใช่ตะเกียงขาดน้ำมันแล้ว ที่นี่ใช้เกณฑ์การคัดสรรตามธรรมชาติเป็นมาตรฐาน ผู้แข็งแกร่งจะเป็นใหญ่
สัตว์ของที่นี่โดยทั่วไปแล้วใหญ่โตยิ่ง เหมือนไดโนเสาร์ในยุดดึกดำบรรพ์ เมื่อเทียบกับสัตว์ร้ายพวกนี้แล้ว พวกกู้ซีจิ่วทั้งสองคนดูเล็กกระจ้อยร้อยอย่างเห็นได้ชัด ทำให้สัตว์อื่นอยากข่มเหงรังแกเป็นพิเศษ…
ด้วยเหตุนี้ สัตว์ที่โผทะยานผ่านทางมาจึงคิดจะเขมือบกินพวกเขา ผลคือ…
พวกมันล่าเหยื่อไม่สำเร็จซ้ำยังถูกศิษย์อาจารย์คู่นี้จับกุมบ้างสังหารบ้าง
พวกกู้ซีจิ่วทั้งสองยังคงมุ่งเข้าสู่ส่วนลึกเรื่อยๆ ทว่าไม่พบเห็นร่องรอยของมังกรประทีปเลยแม้แต่ครึ่งตัว
“อาจารย์ นี่คือแดนมังกรประทีปจริงๆ หรือขอรับ? ทำไมไม่เจอเลยสักตัวเล่า?” ฟั่นเชียนซื่อฉงน
“เจ้าคิดว่ามังกรประทีปเป็นผักกาดขาวที่พบเห็นได้ทั่วไปหรืออย่างไร?”
ฟั่นเชียนซื่อถูกตอกกลับก็ก้มหน้าลงไป ไม่เอ่ยต่อแล้ว
กู้ซีจิ่วก็ไม่สนใจเขาเช่นกัน เดินหน้าต่อไป
ฟั่นเชียนซื่อมองเงาหลังของนางอยู่ครู่หนึ่ง ถึงค่อยตามไป
จู่ๆ ก็มีเสียงกู่ร้องยืดยาวหลายเสียงแว่วมาจากจุดที่ไกลยิ่ง กู้ซีจิ่วตาเป็นประกายทันที “เสียงมังกรประทีป!” แถมฟังจากเสียงแล้วไม่ใช่แค่ตัวเดียวด้วย!
เพียงแต่ ทำไมฟังดูเหมือนมังกรประทีปจะถูกกระตุ้นจนเกรี้ยวโกรธแล้วล่ะ?
แววตากู้ซีจิ่ววูบไหวนิดๆ สั่งการฟั่นเชียนซื่อ “รออยู่ตรงนี้ อาจารย์จะไปดูก่อน!”
ร่างส่องแสงแวบหนึ่ง หายลับไปแล้ว
ฟั่นเชียนซื่อหลุบตาลงนิดๆ หยุดฝีเท้าจริงๆ เสาะหาสถานที่ลับตาแล้วรอคอยด้วยความอดทน
กู้ซีจิ่วไม่นึกเลยว่าจะได้พบตี้ฝูอีที่นี่ เขากำลังต่อสู้กับมังกรประทีปสองตัวด้วยตัวคนเดียวอยู่
ปฏิกิริยาตอบสนองแรกของกู้ซีจิ่วคือ เขามาขโมยไข่มังกรประทีปอีกแล้วหรือ?! กินสิ่งนี้จนเสพติดไปแล้วหรือไง?
มังกรประทีปเป็นสัตว์เทพบรรพกาล แค่ตัวเดียวก็สามารถทำลายล้างยอดฝีมือระดับซ่างเสินได้สองคนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือหนนี้ตี้ฝูอียั่วโมโหเข้าถึงสองตัว!
————————————————————————————-
บทที่ 2932 ไม่ผิดนัด 4
มังกรประทีปสองตัวนั้นเสมือนพบคู่แค้นตัวฉกาจ สู้กับเขาอย่างสุดชีวิต ก่อกวนนภาจนมืดมัว ทรายฟุ้งหินปลิวว่อน
ด้วยวรยุทธ์ของตี้ฝูอีในตอนนี้ การรับมือมังกรประทีปสองตัวค่อนข้างกินแรงจริงๆ เขาคิดจะหลบหนีอยู่หลายครั้ง ล้วนถูกมังกรประทีปสองตัวนี้ต้อนกลับมาทุกครั้ง
มังกรประทีปมีสติชี้นำเช่นมนุษย์แล้ว รู้จักกลยุทธ์การรบสกัดล้อมไล่ล่า ตี้ฝูอีไม่อาจหลบหนีจากสมรภูมิรบได้ชั่วขณะ
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้วนิดๆ ด้วยพลังยุทธ์ของเธอในตอนนี้ก็ต่อกรกับมังกรประทีปสองตัวไม่ไหวเช่นกัน ฝืนชิงตัวคนไม่สำเร็จแน่ มีแต่ต้องรอจังหวะแล้วค่อยลงมือ
มังกรประทีปโจมตีอยู่นานแล้วยังไม่สำเร็จก็ค่อนข้างฉุนเฉียวแล้ว พลันเงยหน้ากู่ร้องเสียงยาว ท้องฟ้าที่เดิมทีสว่างสดใสกลายเป็นมืดมิดในทันใด…
และมังกรประทีปอีกตัวก็ฉวยโอกาสนี้ลอบเข้าโจมตีตี้ฝูอี!
ตี้ฝูอีมองไม่เห็น กว่าเขาจะจับสัมผัสได้สายลมกรรโชกนั้นก็เข้าปะทะหน้าแล้ว คิดจะหลบหนีอีกครั้ง ก็ค่อนข้างสายไปเสียแล้ว
เขาพลันตัดสินใจ ขณะที่กำลังจะยอมเสี่ยงถูกมันกัดเพื่อมุดเข้าไปในท้องของมัน ข้างหูพลันมีสายลมแว่วขึ้น แขนของเขาถูกคนคว้าจับไว้!
เขาสะท้านเล็กน้อย คิดจะสลัดอีกฝ่ายออกตามสัญชาตญาณ ก็มีเสียงลมหวีดหวิวแว่วอยู่ข้างหูแล้ว เสียงคำรามของมังกรประทีปเลือนหายไปในทันใด
วิชาเคลื่อนย้าย!
แววตาของเขาจมดิ่งนิดๆ ถึงแม้จะมองไม่เห็นอีกฝ่าย ทว่าคาดเดาตัวตนของอีกฝ่ายออกแล้ว
เสียงลมหยุดลง ตัวคนหยุดนิ่งแล้ว
เท้าของตี้ฝูอีย่ำลงบนพื้นแล้ว ถึงแม้ยังคงมองไม่เห็นอยู่ แต่เขาได้กลิ่นหอมสดชื่นของพืชพรรณรวมถึงกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์จากร่างของคนที่อยู่ข้างกายแล้ว
ขาออกแรงเล็กน้อย ชักมือตนกลับมา ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “ขอบพระคุณสำหรับความช่วยเหลือของพระองค์เจ้า”
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบหน้ากันในรอบสองปีห้าเดือนนับตั้งแต่แยกจากกัน เป็นบทสนทนาแรกด้วย
เขาสุภาพห่างเหิน สุ้มเสียงเจือความกระจ่างเยือกเย็นอันเป็นเอกลักษณ์ไว้
กู้ซีจิ่วพลันอึกอัก “ม...ไม่ต้องเกรงใจ…” ไม่เคยชินกับความสุภาพเกรงใจของเขาอยู่บ้าง
และไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใด กู้ซีจิ่วมีความรู้สึกคับข้องหมองใจที่ยากจะเอื้อนเอ่ยได้วนเวียนอยู่ในทรวง ทำให้ดวงตาของเธอแสบเคืองอยู่บ้าง
โชคดีที่รอบข้างมืดสนิท ทั้งสองคนต่างไม่มีใครเห็นใคร ดังนั้นเธอจึงไม่ต้องฝืนควบคุมสีหน้าอารมณ์
หากเป็นเช่นเมื่อสองปีก่อน เมื่อเธอได้พบเขาปฏิกิริยาแรกคงเป็นการอธิบายเรื่องที่หนีงานแต่งไปในวันนั้น แต่ตอนนี้…
ตอนนี้เธอเหลือเวลาอยู่หนึ่งเดือน เป็นการนับถอยหลังอย่างแท้จริงแล้ว อธิบายเรื่องนั้นต่อแล้วจะมีประโยชน์อะไรเล่า? จะเป็นการเพิ่มความกลัดกลุ้มให้เขาเสียมากกว่า
ดังนั้นเธอจึงยิ้มแวบหนึ่ง หาหัวข้อที่ตนคิดว่าจะไม่ล้ำเส้นจนเกินไปมาเอ่ยหยอกเขา “ทำไมเจ้ามาที่นี่อีกแล้ว? คงมิใช่เกิดตะกละขึ้นมา จึงคิดจะมาขโมยไข่มังกรประทีปไปกินอีกกระมัง?”
ตี้ฝูอีเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวอย่างเฉยเมย “นี่พระองค์เจ้าไต่สวนอยู่หรือ?”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกแล้ว เอาเถอะ ถือเสียว่าเธอไม่ได้ถามแล้วกัน!
ทั้งสองคนยืนอยู่ตรงข้ามกัน ต่างฝ่ายต่างเงียบ ถึงแม้จะมองไม่เห็นเขา แต่ความมีตัวตนของเขากล้าแข็งนัก ทำให้เธอกระสับกระส่ายอย่างน่าประหลาด
เธอพยายามขุดค้นหาหัวข้อสักอย่างออกมาอีก จู่ๆ มือก็หนักอึ้ง มีไข่ใบหนึ่งที่ขนาดเท่าลูกบาสเพิ่มเข้ามา
กู้ซีจิ่วนิ่งงัน...
เธอเอ่ยโพล่งออกไป “เจ้ามาขโมยไข่จริงๆ ด้วย!”
“ใบนี้ยกให้ท่าน ตอบแทนบุญคุณที่ท่านช่วยเหลือในครั้งนี้” น้ำเสียงตี้ฝูอีเฉยชา
“ข้าบอกแล้วไง ไม่จำเป็นต้องเกรงใจข้า…” อันที่จริงแล้วเธอช่วยแค่นิดหน่อยเท่านั้น
“ข้าไม่อยากติดค้างน้ำใจใดๆ ของท่าน” ตี้ฝูอีตัดบทเธอ น้ำเสียงเฉยชายิ่งขึ้น
กู้ซีจิ่วเงียบแล้ว อุ้มไข่ใบนั้นเอาไว้เสมือนอุ้มเผือกร้อนลวกมือหัวหนึ่ง
ตี้ฝูอีเอ่ยขึ้นอีกว่า “อีกหนึ่งเดือนก็จะถึงวันนัดหมายของพวกเราแล้ว ข้าหวังว่าพระองค์เจ้าจะไม่ผิดนัดอีก”
กู้ซีจิ่วหลุบตาลง “วางใจเถอะ ครั้งนี้ไม่มีอีกแล้ว!”
“เช่นนี้ก็ดี ถ้างั้นข้าจะเชื่อใจพระองค์เจ้าอีกสักครั้ง ท่านเคยบอกว่า พอถึงเวลาที่พวกเราเพิกถอนพันธศิษย์อาจารย์ จะมีอัสนีลงทัณฑ์ปรากฏขึ้น ไข่มังกรประทีปใบนี้อาจจะช่วยเหลือท่านได้ ถือเสียว่าข้ามอบของบำรุงให้พระองค์เจ้าสักหนก็แล้วกัน”