ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 3007 จิตมาร 4 / บทที่ 3008 แยกจิตมาร
บทที่ 3007 จิตมาร 4
จากนั้นเธอก็มองเห็นสตรีชุดขาวคนนั้นอีกครั้ง สตรีนางนั้นนั่งอยู่ในมุมหนึ่งท่ามกลางโถงใหญ่ สั่งอาหารมาชุดใหญ่ กินไปดื่มไปอยู่ตรงนั้น
กู้ซีจิ่วมองดูอาหาร ถึงแม้จะมีอาหารที่เธอไม่รู้จักเลยอยู่มากมายยิ่ง แต่สัมผัสได้อย่างน่าประหลาดว่าตนน่าจะชอบมาก
จากนั้นเธอก็พบว่าสตรีชุดขาวผู้นี้กินเข้าไปค่อนข้างเยอะไปแล้วจริงๆ!
อาหารโต๊ะใหญ่ที่เพียงพอให้คนสิบคนแบ่งกันกินได้ ถูกนางกินเข้าไปคนเดียวจนหมดเกลี้ยงแล้ว!
นางไม่เพียงแต่กินอาหารทั้งโต๊ะใหญ่เข้าไป ยังดื่มสุราชั้นเลิศเข้าไปกว่าสิบไหเลยด้วย
กู้ซีจิ่วรู้สึกตื่นตระหนกแทนนางอยู่บ้าง!
สตรีชุดขาวนางนี้ใช้รูปโฉมดั้งเดิมทานอาหารอยู่ที่นี่ โฉมงามเลิศล้ำนางหนึ่งที่กินราวกับนักกินจุ ย่อมดึงดูดสายตานับไม่ถ้วนให้มองมาได้ ถึงขั้นที่มีชายชีกอสองสามคนเตรียมพร้อมจะเข้าจู่โจมแล้ว ต่างสบตากันแวบหนึ่ง จากนั้นก็สงบใจรอคอยให้สตรีนางนั้นเมามาย
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้วนิดๆ เธอรู้แล้วว่านี่คือภาพมายาจำพวกความฝันประเภทหนึ่ง เพียงแต่ไม่ค่อยกระจ่างว่าสิ่งเหล่านี้ที่ตนได้เห็นเคยเกิดขึ้นจริง หรือว่าเป็นเรื่องหลอกลวงที่มารเทพตนนั้นจงใจให้ตนเห็น
กู้ซีจิ่วไม่ใช่คนอ่อนไหวที่จะถูกชักจูงความรู้สึกได้ง่ายๆ แต่เธอรู้สึกว่าตัวเองรับรู้ถึงอารมณ์ในยามนี้ของสตรีชุดขาวได้ง่ายดายยิ่ง
ในใจว่างเปล่ายิ่งนัก! วูบโหวงจนอยากจะหาอะไรบางอย่างมาเติมเต็ม…
และดูเหมือนว่านางจะกลัวความโดดเดี่ยวยิ่ง ชอบอยู่ท่ามกลางผู้คน ดังนั้นถึงไม่ได้เรียกหาห้องรับรองส่วนตัว แต่นั่งอยู่ในห้องโถงแทน
หลังจากสตรีชุดขาวนางนี้ดื่มกินอิ่มหนำแล้ว ก็ลุกขึ้นแล้วก้าวออกไป
ฝีเท้าของนางเลื่อนลอยอยู่บ้าง จากนั้นก็ถูกชายชีกอที่ไม่ประสงค์ดีสองสามคนเข้าจู่โจมในตรอกเล็กๆ สายหนึ่ง!
ชายชีกอสามสี่คนนั้นคิดจะเอาเปรียบนาง พูดจาน่ารังเกียจแทะโลมนางสารพัด เห็นได้ชัดว่านางมึนสุราแล้ว ผู้อื่นแทะโลมนาง นางก็ทึ่มทื่อนิ่งงัน ปฏิกิริยาตอบสนองช้าลงครึ่งหนึ่ง…
จวบจนมีคนผู้หนึ่งตบไหล่ของนางเบาๆ เอ่ยประโยคหนึ่งที่หยามหยันยิ่ง “แม่นางน้อย ไม่มีใครต้องการเจ้าใช่ไหม? ท่าทางเช่นนี้ของเจ้าคล้ายถูกคนทอดทิ้งไม่มีผิด มิสู้ให้พี่ชายมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้า แต่งมาเป็นอนุของพี่ชายเสียดีไหม?”
ผลคือ ประโยคนี้จี้จุดของสตรีชุดขาวนางนี้อย่างเห็นได้ชัด นางจึงระเบิดอารมณ์ออกมาทันที…
ชายชีกอสี่คนนั้นถูกทุบตีแล้ว…
ความหมายของการทุบตีก็ตรงตัวจริงๆ ร่างกายของสี่คนนั้นถูกนางชกตีเตะต่อยจนเละตุ้มเป๊ะแล้ว บิดเบี้ยวเสียรูปทรง สิ้นใจในที่เกิดเหตุเลย
และในดวงตาดำขลับของสตรีชุดขาวนางนั้นก็ปรากฏแสงสีแดงเลือนรางออกมาแล้ว นางยืนเอามือเท้ากำแพง ไม่มองเหล่าชายชีกอที่ถูกนางทุบตีจนไม่เป็นคนแล้ว ขมวดคิ้วนิดๆ มือลูบอก พึมพำประโยคหนึ่ง “แปลกจัง กินเข้าไปมากขนาดนี้แล้วชัดๆ ทำไมยังว่างเปล่าแบบนี้อีกล่ะ?”
นางเดินส่ายโงนเงนจากไป แต่ในใจของกู้ซีจิ่วกลับดิ่งวูบลงไป!
เธอมองออกว่าสตรีชุดขาวนางนี้คือเทพ แต่มีจิตมารแล้ว เมื่อครู่ที่นางลงมือสังหารคนอย่างโหดเหี้ยมก็เป็นเพราะจิตมาร เพียงแต่นางเมามายจนไม่สังเกตเห็นเท่านั้น
เทพเกิดจิตมารขึ้นย่อมมิใช่เรื่องดี หลังจากเติบใหญ่พัฒนาขึ้นมาอย่างเบาก็ธาตุไฟเข้าแทรก อย่างหนักก็คือถูกจิตมารเข้าควบคุมจิตสำนึก ตัวตนจะเปลี่ยนแปลงไปหมด…
กู้ซีจิ่วเม้มริมฝีปากนิดๆ ในใจรับรู้ได้รางๆ แล้วว่านี่ก็คืออดีตชาติของมารเทพในปัจจุบันนี้
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มารเทพจงใจแสดงให้เธอเห็น หรือว่าเป็นตนที่จับพลัดจับผลูมาพบเห็นเข้าเอง ในเมื่อติดตามมาแล้ว เช่นนั้นลองดูหน่อยก็ไม่เสียหายนี่ เรียกว่ารู้เขารู้เรารบร้อยครั้งไม่พ่าย ถ้าเธอทราบประวัติความเป็นมาของอีกฝ่ายแล้ว ก็สามารถหาทางรับมืออีกฝ่ายได้ทันท่วงที
เธอก้าวเดินไปในทิศทางที่สตรีนางนั้นอยู่อีกครั้ง หลังจากฟ้าดินพลิกหมุนอยู่ครู่หนึ่ง เธอพบว่าตัวตกลงมาในทะเลทรายอีกแล้ว
เธอมึนงงไปบ้างชั่วขณะ ไม่รู้ว่าตนตื่นจากความฝันแล้ว หรือว่ายังคงอยู่ในห้วงฝันของมารเทพตนนั้นเช่นเดิม
เธอมองไปรอบๆ ในไม่ช้าก็พบว่าทะเลทรายแห่งนี้ไม่ใช่ทะเลทรายที่มารเทพสร้างขึ้น ทะเลทรายแห่งนี้ธรรมดายิ่ง ดวงตะวันบนท้องฟ้าร้อนแรงยิ่ง แต่ก็อยู่ในขอบเขตที่ผู้คนทนรับไหว
เธอยังคงไม่เห็นตี้เฮ่ากับฟั่นเชียนซื่อเช่นเดิม แน่นอน ยิ่งไม่พบเห็นเสี่ยวเฝิ่นกับเสี่ยวเฮยด้วย
มองเห็นเพียงทรายเหลืองอร่ามทอดยาว
ขณะที่เธอกำลังวิเคราะห์อยู่ว่าจะไปสำรวจรอบๆ สักหน่อยดีไหม จู่ๆ ก็เห็นว่าบนฟ้ามีเมฆาม่วงทึบทะมึน กระแสไฟฟ้าสายแล้วสายเล่าแลบแปลบปลาบอยู่ในกลุ่มเมฆ
เธอใจเต้นแวบหนึ่ง จำได้ว่านี่คืออัสนีด่านเคราะห์!
จากนั้นเธอก็เห็นสตรีชุดขาวนางนั้นรวมถึงบุรุษที่อยู่ตรงกันข้ามกับนาง…
ในสมองของกู้ซีจิ่วเกิดเสียงดังตูม!
ตี้ฝูอี!
นั่นคือตี้ฝูอี!
เขากับสตรีชุดขาวนางนั้นกำลังผจญอัสนีเคราะห์ด้วยกัน!
….
————————————————————————————-
บทที่ 3008 แยกจิตมาร
เขาสวมเสื้อคลุมสีม่วงเข้มรูปแบบโบราณพิสดาร ในมือจรดร่ายอาคมต้านสายฟ้าและเป็นอาคมที่กู้ซีจิ่วไม่เคยเห็นมาก่อน ส่วนอัสนีด่านเคราะห์นั้น…
กู้ซีจิ่วใช้ชีวิตมาเนิ่นนานขนาดนี้ก็ยังไม่เคยเห็นอัสนีด่านเคราะห์ที่รุนแรงขนาดนี้มาก่อนเลย และแฝงอำนาจคุกคามที่ทำลายล้างโลกาได้เอาไว้ ราวกับคิดจะผ่าคนทั้งสองที่เผชิญด่านเคราะห์อยู่ให้แหลกเป็นจุณ!
และเห็นได้ชัดว่าวรยุทธ์ของตี้ฝูอีไม่อาจต้านทานอัสนีด่านเคราะห์นี้ได้ หากมิใช่เพราะสตรีชุดขาวร่ายอาคมลงบนร่างเขาในขณะที่สายฟ้ากำลังจะฟาดลงมาได้ ส่องลำแสงสีรุ้งออกมา เกรงว่าเขารับสายฟ้าได้มากที่สุดสามเส้นก็คงถูกผ่าจนแหลกเป็นจุณไปแล้ว…
ยามที่เผชิญด่านเคราะห์อัสนีนี้ตี้ฝูอีหลับตาลงทุ่มพลังทั้งหมดออกไป ดังนั้นเขาจึงไม่เห็นว่าสตรีชุดขาวนางนั้นร่ายอาคมลงบนร่างเขาเพื่อต้านรับสายฟ้าให้เขา ไม่เห็นว่าแสงศักดิ์สิทธิ์บนร่างของสตรีชุดขาวนางนั้นค่อยๆ สลายไป เลือดออกจากเจ็ดทวาร สีหน้าซีดเหลืองปานขี้ผึ้ง โลหิตสดๆ อาบย้อมชุดขาวจนแดงฉาน…
แต่ละคนถูกสายฟ้าผ่าทั้งหมดเก้าสาย กู้ซีจิ่วเห็นกับตาว่าในวินาทีที่อัสนีด่านเคราะห์สลายหายไป สตรีชุดขาวนางนั้นพลันโบกแขนเสื้อ คล้ายจะใช้เวทวิชาอันใดกับร่างตน ในพริบตานั้นสภาพน่าเวทนาจากการถูกฟ้าผ่า ฟื้นฟูกลับสู่สภาพปกติในทันที
ยามตี้ฝูอีเก็บพลังแล้วลืมตาขึ้น นอกจากสีหน้าของนางที่ค่อนข้างซีดขาวอยู่บ้าง ก็มองความผิดปกติอันใดไม่ออกแล้ว
เห็นได้ชัดว่าตี้ฝูเป็นห่วง “ท่านไม่เป็นไรกระมัง?”
“ไม่เป็นไร เจ้าไปเถอะ” สตรีชุดขาวนางนั้นโบกมือ
ตี้ฝูอีก้าวเข้าไปหาอีก “ให้ข้าตรวจชีพจรของท่าน…”
สตรีนางนั้นกลับสะบัดมือโยนเขาออกไป น้ำเสียงเยียบเย็น “เจ้ากับข้าไม่เกี่ยวข้องอะไรกันอีกต่อไปแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องมาหาข้าอีก…”
จากนั้นสตรีชุดขาวนางนั้นก็เคลื่อนย้ายจากไปเลย
กู้ซีจิ่วยังไม่ทันเห็นปฏิกิริยาของตี้ฝูอีชัดๆ ทิวทัศน์เบื้องหน้าก็แปรเปลี่ยนอีกครั้ง…
ณ เนินทรายกรวดแห่งหนึ่งภายในทะเลทราย
มีหินตะกอนขนาดใหญ่นับไม่ถ้วนตั้งตระหง่านอยู่ที่นั่น ดำเมื่อมจากการผ่านลมฝนมาอย่างโชกโชน
ส่วนสตรีชุดขาวนางนั้นก็นั่งพิงโขดหินก้อนหนึ่งหอบหายใจอยู่ ขมับนางมีหยาดเหงื่อ ทว่าบนขนตากลับมีผลึกน้ำแข็ง โลหิตสดไหลรินลงมาจากมุมปากของนาง นางเช็ดไปแล้วก็ยังไหลอีก จึงไม่เช็ดเสียเลย…
คล้ายว่านางจะพยายามปรับลมปราณอยู่ นิ้วมือจรดก่อตราอาคมบางอย่างออกมาเป็นครั้งคราว กดลงบนร่างตน
แสงศักดิ์สิทธิ์บนร่างนางเดี๋ยวมีเดี๋ยวไม่มี ดูเปราะบางจนคล้ายว่าจะสลายหายไปได้
นางเงยหน้ามองดวงตะวันบนนภา กอดแขนเอาไว้ “หนาวจัง! ทำไมดวงตะวันถึงคล้ายช่วงฤดูหนาวเลยเล่า อ่อนจางไร้เรี่ยวแรง…”
กู้ซีจิ่วยืนมองนางอยู่ด้านข้าง อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า เธอสามารถรับรู้ถึงอุณหภูมิของทะเลทรายแห่งนี้ได้ อันที่จริงร้อนยิ่งนัก อุณหภูมิสามสิบสามถึงสามสิบสี่องศาแล้ว ถึงแม้จะไม่ร้อนจนแผดเผาได้ แต่ก็เรียกว่าหนาวไม่ได้แน่นอน…
มาถึงยามนี้ กู้ซีจิ่วก็รับรู้ได้รางๆ แล้วว่าสตรีชุดขาวนางนี้น่าจะเป็นตัวเธอ หรือไม่ก็เป็นอดีตชาติของเธอเอง…
ที่แท้ตนก็พัวพันกับตี้ฝูอีอย่างลึกล้ำถึงเพียงนี้มาตั้งแต่ชาติก่อนแล้ว
จู่ๆ สายตาเธอก็ร่อนลงบนเงาบนพื้นของสตรีชุดขาวนางนั้น
ไม่น่าเชื่อว่าบนพื้นจะมีเงาอยู่สองสาย!
สายหนึ่งเป็นเงาปกติ ตระหง่านอยู่ตรงนั้นอย่างสงบเหมือนสตรีผู้นั้น
ทว่าเงาอีกสายกลับเสมือนอสรพิษ เลื้อยวนเวียนกลับไปกลับมาอยู่รอบๆ นาง และด้วยการเลื้อยวนของมัน ทำให้คล้ายว่าจะมีไอทะมึนพัวพันอยู่บนร่างของสตรีนางนั้น
นี่คือ…
จิตมารของสตรีชุดขาวผู้นี้ใช่ไหม?
กู้ซีจิ่วมองเงาที่หมุนวนนั้นอย่างละเอียด ใจเต้นนิดๆ
เธอก็เป็นผู้ที่รอบรู้ยิ่งนักเช่นกัน ทราบว่าความจริงแล้วทุกคนล้วนมีจิตมารอยู่ ต่อให้เป็นพุทธองค์ที่บำเพ็ญเพียรแล้ว ก็มีจิตมารได้เช่นกันเพียงแต่ปกติแล้วจะถูกสะกดข่มไว้และชำระล้างให้บริสุทธิ์เท่านั้น จึงไม่ปรากฏขึ้นมาเลย
มีเพียงช่วงเวลาที่ในใจของผู้คนมีความโศกศัลย์มีความเคียดแค้นหรือไม่พอใจ และร่างกายจิตวิญญาณอ่อนแอสุดขีดแล้วเท่านั้น จิตมารถึงจะเผยออกมา
จิตมารล่อลวงปลุกปั่นจิตใจคนเสมอมา หมายจะคิดหาทางเข้าควบคุมบงการร่าง
ยามนี้เห็นได้ชัดว่าจิตมารของสตรีนางนี้ก็กำลังสะกดจิตล่อลวงสารพัดวิธีการอยู่ในสมองนาง
————————————————————————————-