ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 3019 สลับตัวรัชทายาท 2 / บทที่ 3020 สลับตัวรัชทายาท 3
บทที่ 3019 สลับตัวรัชทายาท 2
“ได้! เช่นนั้นเจ้ารักษาตัวเองไปก่อนนะ ข้าจะไปช่วยลูกก่อน” ตี้ฝูอีเอ่ยกำชับนางประโยคหนึ่ง ก็ไปดูบุตรชายเลย
‘กู้ซีจิ่ว’ มองตี้ฝูอีย่อกายลงข้างตัวของตี้เฮ่า รักษาบาดแผลให้เขา นางลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก สายตาเหลือบแลไปยังโขดหินเทาทึมก้อนหนึ่งที่ตั้งอยู่ไม่ไกล หยักมุมปากขึ้นนิดๆ!
ภายในคุกวารีระโหย วารีทมิฬถดถอยลงไปส่วนหนึ่งแล้ว ศีรษะของกู้ซีจิ่วโผล่ขึ้นมาเห็นฉากนี้ได้พอดี ยามนี้กำลังมองออกไปด้านนอก สบสายตากับจิตมารเข้าพอดี!
เห็นได้ชัดว่าจิตมารมองเห็นเธอ รอยยิ้มมุมปากนั้นแฝงความเย้ยหยามและภาคภูมิเอาไว้รางๆ
กู้ซีจิ่วกำหมัดอยู่ใต้น้ำ ทั้งร่างเธอร้อนลวกทรมานยิ่ง ทำให้เธอเจ็บปวดแสนสาหัสอย่างยิ่งปากคอก็แห้งผาก ในเวลานี้เองเสียงของจิตมารก็แว่วขึ้นในคุกวารี ‘คุกวารีแห่งนี้สบายหรือไม่? ที่นี่จะเป็นที่พำนักของเจ้าไปชั่วกาลนาน ส่วนเปิ่นจุนก็จะครองคู่รักใคร่กับตี้ฝูอีแทนที่เจ้า ท่องไปตามขุนเขาสายธารกับเขา เห็นแก่หน้าของฝูอี เปิ่นจุนจะไม่ปฏิบัติต่อลูกทั้งสองของเจ้าอย่างเลวร้ายเกินไปหรอก เจ้าก็สงบใจอยู่ที่นี่ไปเถอะ อยู่อย่างสงบไปชั่วกัลปาวสาน!’
ฝันไปเถอะ!
ฝูอีจะต้องสังเกตเห็นแน่!
กู้ซีจิ่วร้องด่าอยู่ในใจ เธออดไม่ได้ที่จะมองไปยังตี้ฝูอี ได้แต่หวังว่าเขาจะมองมาทางนี้บ้างสักแวบหนึ่ง
ในเมื่อจิตมารตนนั้นสามารถสบตากับเธอได้ แถมยังส่งกระแสวาจาเข้ามาได้ บางทีตี้ฝูอีอาจทำได้เหมือนกัน ขอเพียงเขามองมาทางนี้ให้มากหน่อย บางทีอาจจะพบเห็นความผิดปกติ…
แต่ก่อนที่ตี้ฝูอีจะได้หันมองมาทางด้านนี้ เธอก็ถูกวารีทมิฬท่วมจนมิดอีกครั้ง…
ดูเหมือนอุณหภูมิของน้ำในครั้งนี้จะเพิ่มสูงขึ้นสามถึงสี่องศา เธอทนรับความเจ็บปวดเช่นนี้ไม่ไหวอีกแล้ว จึงฝืนตัวเองร่ายอาคมเพื่อติดตั้งเขตแดนน้อยๆ เพื่อคุ้มกาย กั้นขวางระหว่างตนกับวารีทมิฬ
แต่การติดตั้งเขตแดนประเภทนี้ด้วยร่างจิตกินแรงเป็นที่สุด เธอฝืนยืดหยัดได้ห้าหกนาทีก็รู้สึกว่าร่างกายอ่อนระโหยแล้ว โชคดีว่าในที่สุดวารีทมิฬก็ถดถอยลงไปอีกครั้ง หลังจากเธอโผล่พ้นน้ำก็คลายเขตแดนออก สูดหายใจเฮือกใหญ่ แต่อากาศที่สูดเข้าไปก็ราวกับแฝงสะเก็ดไฟเอาไว้ ทำให้ลำคอของเธอแสบร้อน
ตัวเธอที่สุขุมเยือกเย็นมาโดยตลอด ยามนี้ก็ร้อนใจดั่งใจดั่งไฟผลาญแล้ว อดไม่ได้ที่จะมองออกไปด้านนอกอีกครั้ง ด้วยการมองครั้งนี้ หัวใจได้เต้นแรงจนแทบผิดจังหวะแล้ว!
ตี้ฝูอียืนอยู่ในจุดที่ใกล้กับคุกวารีของเธอยิ่ง ฝ่ามือขาวเนียนปานหยกของเขาทาบอยู่บนคุกวารีพอดี กู้ซีจิ่วสามารถมองเห็นเส้นฝ่ามือของเขาได้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน
“ฝูอี!” ยิ่งเข้าใกล้ด้านหน้าเท่าไหร่วารีทมิฬก็ยิ่งร้อนลวกขึ้นเรื่อยๆ ทว่ากู้ซีจิ่วกลับโผเข้าไปอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น “ฝูอี!”
เธอตะโกน เสียงแหบพร่า ความเคลื่อนไหวใหญ่โต สั่นสะเทือนวารีทมิฬรอบข้างจนพลิกตลบ สะเทือนจนหูของเธอเองแทบจะหนวกแล้ว
แต่ไม่มีการตอบสนองเลย
ตี้ฝูอีที่อยู่ด้านนอกไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลย!
สายตาเขามองมาที่ด้านในคุกวารีชัดๆ ทว่ามองไม่เห็นเธอเลย
เขามองคุกวารีนี้เสมือนมองหินก้อนหนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีระลอกอารมณ์เลยสักนิด
กู้ซีจิ่วอดทนต่อความเจ็บปวดทาบฝ่ามือของตนเข้าไป ประกบมือกับเขาผ่านกำแพงโปร่งใสที่กั้นขวาง “ฝูอี ฝูอี...” เธอเรียกเขา รู้สึกเพียงว่าดวงตาแสบเคืองแล้ว
กำแพงตรงหน้าเธอนี้ร้อนลวกเหมือนราดด้วยลาวา มือของเธอเพิ่งจะแนบเข้าไป ก็เกิดเสียงดังฉ่าๆ แล้ว ถึงขั้นที่เธอได้กลิ่นเหม็นไหม้ของเนื้อหนังแล้วด้วย
แปลกจริงๆ เธอเป็นร่างจิตชัดๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกลวกจนส่งกลิ่นได้
เธอเม้มริมฝีปากแน่น พยายามกดมือลงไปอย่างสุดชีวิต ตะโกนเรียกเขาซ้ำๆ เพียงหวังว่าเขาจะสามารถสื่อจิตถึงเธอได้สักนิด สามารถรับรู้ถึงตัวเธอได้…
‘หยุดตะโกนได้แล้ว’ เสียงของจิตมารแว่วขึ้นในคุกวารีอีกครั้ง เอ่ยอย่างยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่น ‘ต่อให้เจ้าตะโกนจนคอแตกเขาก็มองไม่เห็นเจ้าหรอก! เขาเห็นที่นี่เป็นแค่โขดหินก้อนหนึ่ง!’
————————————————————————————-
บทที่ 3020 สลับตัวรัชทายาท 3
สถานที่ที่ตนถูกผนึกไว้คือภายในโขดหินก้อนหนึ่งหรือ?
….
ตี้ฝูอีมองเห็นโขดหินก้อนนี้จริงๆ หลังจากพันแผลให้ตี้เฮ่าเรียบร้อยแล้ว ก็เอนหลังลงบนโขดหินใหญ่ที่ราบเรียบเพื่อพักผ่อน
เดินเตร่วนเวียนเป็นวงเล็กๆ ประเหมาะบังเอิญนัก มายืนอยู่ตรงหน้าโขดหินเทาทึมที่กู้ซีจิ่วถูกผนึกไว้พอดี
โขดหินก้อนนี้ไม่แตกต่างไปจากหินก้อนอื่นเลย สูงประมาณครึ่งตัวคน ลูบแล้วแข็งทื่อเย็นเฉียบ
‘กู้ซีจิ่ว’ รู้ดีว่าเขามองไม่ออก ภาคภูมิอยู่ในใจ ทว่าใบหน้ากลับเผยแววกังวล “ฝูอี เฮ่าเอ๋อร์เป็นยังไงบ้าง?” สุ้มเสียงเสมือนมารดาผู้อาทรคนหนึ่ง
“ค่อยยังชั่วแล้ว โชคดีที่ช่วยไว้ได้ทัน คงไม่เป็นไรแล้ว เพียงแต่เขาต้องพักอยู่ที่นี่ต่ออีกหนึ่งชั่วยามถึงจะเคลื่อนย้ายได้” ตี้ฝูอีเดินเข้ามาหานาง “มาเถอะ ให้ข้าตรวจอาการบาดเจ็บของเจ้าหน่อย เจ็บตรงไหนหรือไม่?”
ดวงตา ‘กู้ซีจิ่ว’ สาดแสงแวบหนึ่ง ยื่นมือออกไปอย่างว่าง่าย ปล่อยให้เขาจับชีพจร
พลังฟื้นฟูในปัจจุบันของนางน่าตกตะลึงยิ่ง ถึงแม้การที่ตี้ฝูอีแทงร่างอวตารของนางจะทำให้นางรับรู้ความรู้สึกเช่นกัน แต่หลังจากเจ็บปวดอยู่พักหนึ่งก็ทุเลาลงไปแล้ว
แน่นอน เพื่อให้คำโป้ปดที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่า ‘บาดเจ็บ’ สมบูรณ์ นางจึงลอบโคจรพลังยุทธ์ ทำร้ายชีพจรหัวใจของร่างนี้…
ตอนที่ตี้ฝูอีจับชีพจรให้นาง สายตานางกวาดผ่านโขดหินที่คุมขังกู้ซีจิ่วอย่างคล้ายจะเจตนาและไม่เจตนา มองเห็นสีหน้าที่ซีดเซียวอย่างถึงขีดสุดของกู้ซีจิ่วได้สำเร็จ ดวงตานางฉายแววได้ใจแวบหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ความได้ใจนี้ผ่านเข้ามาแวบเดียว นางกลับเป็นปกติในทันใด นางกึ่งๆ เอนซบร่างของตี้ฝูอีไปครึ่งร่างเอ่ยออดอ้อน “ฝูอี ข้าเหนื่อยจัง…”
แขนข้างหนึ่งของตี้ฝูอีโอบร่างนางไว้ครึ่งหนึ่ง “งั้นก็พิงตัวข้าเถอะ”
ด้วยเหตุนี้ นางจึงเอนพิงอยู่ในอ้อมอกของตี้ฝูอีอย่างเป็นธรรมชาติ อ้อมกอดนี้เจือกลิ่นหอมอ่อนจางไว้ นางหลับตาลงนิดๆ เอ่ยพึมพำ “เวลาผ่านไปเนิ่นนานปานนี้…กลิ่นหอมบนร่างเจ้ากลับไม่เปลี่ยนไปเลย…”
ตี้ฝูอีหลุบตามองแพขนตาที่หลุบลู่ลงน้อยๆ ของนาง “หือ?”
‘กู้ซีจิ่ว’กล่าวอย่างคลุมเครือว่า “ฝูอี ข้าคะนึงถึงกลิ่นกายเจ้าเหลือเกิน…วันนี้ในที่สุดก็ได้สูดดมแล้ว” นางฝังดวงหน้าน้อยๆ เข้าหาอ้อมอกเขา “ข้าจะไม่จากเจ้าไปอีกแล้ว!”
ตี้ฝูอีเงียบงัน
แววตาเขาวูบไหวนิดๆ แล้วสลับไปจับมืออีกข้างของนาง ตรวจชีพจรให้นาง เอ่ยขึ้นว่า “ชีพจรหัวใจเจ้าบาดเจ็บ เป็นผู้ใดกันแน่ที่ทำร้ายเจ้ากับเฮ่าเอ๋อร์?”
“เป็นฟั่นเชียนซื่อ! เขาจับเฮ่าเอ๋อร์ไปแถมยังทรมานเขาด้วย…โชคดีที่ข้ามาทัน…”
“เป็นเขาจริงๆ สินะ! เช่นนั้นเขาล่ะ?” ตี้ฝูอีกวาดสายตาไปรอบๆ อีกครั้ง ไม่เห็นเงาร่างของฟั่นเชียนซื่อเลย
“เขาทำร้ายเฮ่าเอ๋อร์…ข้าโกรธมาก คิดจะลากเขาลงหลุมไปด้วยกัน เพราะจิตใจร้อนรนจนเกินไป ใช้กระบวนท่าบางส่วนออกมาได้โดยไม่เคยร่ำเรียน สู้สุดชีวิตกับเขา ผลคือ ชีพจรหัวใจข้าบาดเจ็บ เขาก็บาดเจ็บสาหัสจึงหลบหนีไปแล้ว…” คำโป้ปดนี้ของ ‘กู้ซีจิ่ว’ แนบเนียนยิ่ง ไม่เผยพิรุธเลยสักนิด
ตี้ฝูอีถอนหายใจอย่างโล่งอก จับมือนางไว้ “เจ้ากับลูกไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ส่วนไอ้สารเลวฟั่นเชียนซื่อผู้นั้น ในไม่ช้าสามีจะจัดการเขาให้สิ้นซากเอง!”
“อืม” ‘กู้ซีจิ่ว’ ตอบรับอย่างพึงพอใจยิ่ง สายตาเหลือบแลไปทางโขดหินที่กู้ซีจิ่วติดอยู่อีกครั้ง
ตี้ฝูอีมองไปรอบๆ เอ่ยถามอีก “เกิดอะไรขึ้นกับทะเลทรายแห่งนี้กันแน่? เจ้ารู้บ้างหรือเปล่า?”
“น่าจะเป็นค่ายกลที่ไอ้สวะฟั่นเชียนซื่อคนนั้นก่อขึ้นกระมัง? เจ้าก็รู้นี่ เขาคือเทพผู้สร้างโลก จะติดตั้งค่ายกลชั่วร้ายเอาไว้ในทะเลทรายก็มิใช่ว่าเป็นไปไม่ได้” ‘กู้ซีจิ่ว’ โยนความผิดไปให้ฟั่นเชียนซื่อ
เห็นได้ชัดว่าตี้ฝูอีเห็นด้วยกับคำพูดนี้ ไม่ได้ฉุกคิดสงสัยอีก
ทั้งสองคนพูดคุยกันต่ออีกพักหนึ่ง ตี้ฝูอีค่อนข้างสนใจใคร่รู้ในกระบวนท่าบางส่วนที่นางบอกว่า ‘เป็นเองโดยไร้ผู้สอนสั่ง’
‘กู้ซีจิ่ว’ ก็คิดจะถือโอกาสนี้ให้เขาได้เริ่มยอมรับตนที่เปลี่ยนแปลงเป็นแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน จึงสำแดงออกมาต่อหน้าเขาสองสามกระบวนท่า
————————————————————————————-