ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 3041 ปัจฉิมบท 6 / บทที่ 3042 ปัจฉิมบท 7
บทที่ 3041 ปัจฉิมบท 6
เขตแดนของตี้ฝูอีตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมแล้วจริงๆ
ช่วงแรกที่จิตมารคลุ้มคลั่งขึ้นมาตี้ฝูอีก็ขมวดคิ้วแล้ว สีหน้าเคร่งเครียด ‘แย่แล้ว! สถานการณ์มีความเปลี่ยนแปลง! พวกเราต้องออกไปแล้ว!’
ไม่พูดพร่ำทำเพลงอีกเริ่มทำลายคุกวารีระโหยนี้เลย…
ถึงแม้ตี้ฝูอีจะวางแผนเอาไว้ในใจก่อนแล้ว แต่ถ้าจะทำลายที่นี่อย่างสมบูรณ์ก็ต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วยาม
โชคดีที่กู้ซีจิ่วก็เป็นผู้รู้ความคนหนึ่งเช่นกัน ตี้ฝูอีได้สอนวิธีทำลายคุกนี้ไว้ให้เธอล่วงหน้าแล้ว เวลานี้จึงยุ่งง่วนไปกับเขาด้วยเหมือนกัน
ขณะที่กำลังยุ่งง่วนกันอยู่ จู่ๆ ตี้ฝูอีก็สูดหายใจนิดๆ ‘ซีจิ่ว พวกเราต้องเร็วกว่านี้หน่อย! น้ำในคุกวารีระโหยเริ่มเอ่อขึ้นมาอีกแล้ว!’
น้ำภายในคุกวารีระโหยเอ่อขึ้นมาอีกครั้ง แสดงให้เห็นว่าทะเลทรายเริ่มขยายตัวออกไปอีกแล้ว ซ้ำยังคร่าชีวิตผู้คนไปไม่น้อยเลยด้วย…
ทั้งสองคนจึงเร่งมือขึ้นมาในเวลาเดียวกัน…
….
ด้านนอกทะเลทราย เกิดความเปลี่ยนแปลงมหันต์ขึ้นแล้วจริงๆ
เดิมทีทุกคนใช้ค่ายกลใหญ่ตรึงการขยายตัวของทะเลทรายไว้ได้แล้ว ทำให้มันสงบลง คาดไม่ถึงว่าหลังจากที่จู่ๆ ก็มีเสียงกู่ร้องสะท้านฟ้าสะเทือนดินสายหนึ่งแว่วออกมาจากด้านใน ทะเลทรายแห่งนี้ก็ ‘คลั่ง’ ขึ้นมาอีกครั้ง!
เสมือนสัตว์ร้ายตัวหนึ่งที่ถูกควบคุมไว้แล้วจู่ๆ ก็อาละวาดขึ้นมา ระเบิดพลังขึ้นมากกว่าก่อนหน้านี้ถึงสิบเท่า ซัดโถมเข้าใส่เหล่าเซียนมารต่างๆที่ค้ำยันค่ายกลใหญ่ให้กระเด็นไปคนละทิศละทาง…
ทุกคนพยายามจะสะกดควบคุมมันอีกครั้งอย่างสุดชีวิต แต่ละคนสำแดงพลังยุทธ์อันยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตออกมา ทว่ายังคงถูกมันโถมกระแทกจนมึนงงตาลาย คนมากมายกระอักโลหิตออกมา ฝืนยืนหยัดค้ำยันเช่นนี้ได้อยู่ครึ่งชั่วยาม สุดท้ายก็ควบคุมมันไว้ไม่ได้แล้ว!
กลางอากาศเกิดเสียงอัสนีคำรณกึกก้องกัมปนาท ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง ค่ายกลใหญ่ได้แตกแยกพังทลายออก! ทุกคนต่างลอยกระเด็นออกไป
เกิดความโกลาหลวุ่นวายขึ้นชั่วขณะ
ไม่ง่ายเลยกว่าไป๋เจ๋อจะตั้งตัวให้มั่นคงได้ เมื่อเห็นทะเลทรายขยายตัวอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เขาก็รีบระดมคนอีกครั้ง คิดจะก่อค่ายกลใหญ่ขึ้นมาใหม่ แต่หลังจากผู้คนเข้ามารวมตัวกันแล้ว ไป๋เจ๋อก็พบว่า มีคนหายไปหลายสิบคน! ในบรรดานั้นรวมถึงหลงซือเย่กับฮวาเหยียนอาจารย์ของเขาด้วย ถึงขั้นที่แม้แต่เจ้าหอยยักษ์ตัวนั้นกับเจ้าลู่อู๋ที่แล่นตามมาชมเรื่องครึกครื้นด้วยก็หายไปแล้วเช่นกัน…
ส่วนทะเลทรายแห่งนั้นก็ขยายตัวออกไปรอบสารทิศดุจบ้าคลั่งไปแล้วอีกครา ขยายตัวรวดเร็วยิ่ง มีเมืองถูกเขมือบกลืนเข้าไปอีกครั้ง เสียงกรีดร้องโหยไห้ของผู้คนแว่วลอยอยู่ท่ามกลายสายลมโหมกระหน่ำ แต่ไม่ช้าก็เงียบงันไร้เสียงลงอีกครา…
ไป๋เจ๋อที่สุขุมหนักแน่นดุจขุนเขาเสมอมามือสั่นแล้ว!
ควบคุมไม่ได้แล้ว!
ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ภายในเวลาไม่ถึงวัน ประชากรนับร้อยล้านคนในทวีปนี้จะถูกทะเลทรายแห่งนี้เขมือบกลืนเข้าไปทั้งหมด นี่จะกลายเป็นวันโลกาวินาศอย่างแท้จริง…
ส่วนนายน้อยก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหว และไม่ปรากฏตัวเลย เช่นนี้จะทำอย่างไรดี?!
….
ภายในทะเลทราย
จิตมารคลุ้มคลั่งสุดขีดแล้ว เรือนผมปล่อยสยายปลิวสะบัดอยู่ในสายลม เล็บมืองอกยาวหนึ่งฉื่อ ยามตวัดกวัดแกว่งจะเกิดแสงรุ้งหลายสาย เพียงแต่รอบนอกของแสงรุ้งนี้มีหมอกดำห่อหุ้มอยู่ ดูดุดันชั่วร้ายยิ่ง
สีหน้าฟั่นเชียนซื่อซีดเผือด ถูกนางบีบให้ถอยหลังไปก้าวแล้วก้าวเล่า ไร้เรี่ยวแรงจะโต้กลับแล้ว
จบเห่แล้ว!
ควบคุมไม่ได้เลย!
มือเท้าฟั่นเชียนซื่อเย็นเฉียบ หัวใจก็หนาวเหน็บเช่นกัน
จิตมารหลุดพ้นจากการควบคุมสื่อถึงอะไรตัวเขารู้ดียิ่งกว่าใคร เขาจะกลายเป็นหุ่นเชิดของนาง และหกภพภูมิก็ถูกทำลายล้างจนสิ้นซากด้วยความบ้าคลั่งของนาง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดล้วนต้องตาย ไม่ละเว้นใครหน้าไหนทั้งนั้น…
นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ!
แต่ว่า…
ต่อสู้กันมานานขนาดนี้ เขาอ่อนแรงยิ่งนักแล้ว กระดูกอ่อนกล้ามเนื้อชา ประกอบกับไม่มีเวลาขับพิษเลย การโจมตีของพิษในร่างจึงรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กำบังของเขาก็จะยืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้ว…
ส่วนจิตมารตนนั้นกลับร้ายกาจขึ้นเรื่อยๆ พลังยุทธ์เพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยความเห็นที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า…
หากบอกว่าตอนที่เริ่มต่อสู้กัน พลังยุทธ์ของเขาเหนือกว่านางอยู่บ้าง เช่นนั้นยามนี้ก็กลับกันอย่างสิ้นเชิงแล้ว
ท้ายที่สุดแล้วความพ่ายแพ้ของเขาก็เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้…
————————————————————————————-
บทที่ 3042 ปัจฉิมบท 7
‘ปัง!’ เขาเสียสมาธิไปเล็กน้อย ถูกจิตมารฟาดฝ่ามือเข้าใส่จนกระเด็นออกไป!
ประเหมาะบังเอิญนัก ร่างเขากระแทกลงบน ‘โขดหิน’ ของคุกวารีระโหยเข้าพอดี จากนั้นก็ถูกดีดสะท้อนออกไปอีกครั้ง เบื้องหน้าเขามืดมิดแล้ว กระแทกจนแทบจะกระอักโลหิตออกมา
เขากลืนโลหิตคาวเหียนเต็มลำคอลงไป กัดฟันดีดตัวขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นก็ถอยกรูดไป…
จิตมารต้อนเข้ามาทีละก้าวๆ แสงรุ้งผุดออกมาจากฝ่ามือดำคล้ำ “ฟั่นเชียนซื่อ มาเป็นหุ่นเชิดของเปิ่นจุนแต่โดยดีเถิด!”
ฟั่นเชียนซื่อค่อยๆ ถอยหลังไปถึงด้านข้าง ‘คุกวารีระโหย’ แล้ว แผ่นหลังพิงลงบนคุกวารี…
จิตมารอาจจะมองไม่เห็น แต่กู้ซีจิ่วที่อยู่ด้านในกลับมองเห็นความจริงทุกอย่าง ฟั่นเชียนซื่อฉวยโอกาสช่วงที่ถอยหลัง จรดนิ้วมือเปื้อนโลหิตร่ายอาคมพิสดารอย่างหนึ่งออกมา แล้วซัดใส่เขตแดนหน้าคุกวารี!
นี่เขาทำอะไร?
วารีทมิฬในคุกวารีระโหยที่เดือดพล่านปั่นป่วนอยู่แล้วพลันเกิดระลอกคลื่นใหญ่ยักษ์ขึ้น แทบจะซัดเขตแดนของตี้ฝูอีที่ลอยอยู่ให้พลิกคว่ำแล้ว
ทั้งสองคนที่อยู่ด้านในล้วนซวนเซไปมา ถึงขั้นที่กู้ซีจิ่วสัมผัสได้ว่ามีพลังประหลาดสายหนึ่งฉุดดึงตนแล้ว
กู้ซีจิ่วตกตะลึง!
ไอ้สารเลวผู้นี้ นี่หมายความว่าถึงจะตายก็ต้องลากผู้ที่อยู่ด้านหลังไปด้วยใช่ไหม?!
เธอมองฟั่นเชียนซื่อด้วยความโกรธแวบหนึ่ง แน่นอน เห็นแค่แผ่นหลังของเขาเท่านั้น
‘ซีจิ่ว ไม่ต้องสนใจ ทำต่อไป!’ เสียงของตี้ฝูอีแว่วเข้ามาในหูของกู้ซีจิ่ว ด้วยเหตุนี้ เธอจึงไม่สนใจฟั่นเชียนซื่อแล้ว ร่วมมือกับตี้ฝูอีทำลายคุกวารีระโหยต่อไป…
สีหน้าของฟั่นเชียนซื่อแปรเปลี่ยนเป็นซีดขาวยิ่งกว่าเดิม อาคมนั้นที่เขาสำแดงออกไปเมื่อครู่คือการฉุดดึงกู้ซีจิ่วออกมาจากคุกวารีนั้น เขาคิดจะฉวยโอกาสดึงกู้ซีจิ่วออกมาก่อนที่คุกวารีระโหยนี้ก่อตัวเสร็จสมบูรณ์ กลับคาดไม่ถึงเลยว่าอาคมที่เดิมทีสมควรจะสำเร็จกลับล้มเหลวลงอีกครั้ง!
เขาไม่ถอดใจ ไม่สนใจการคุกคามของจิตมารที่บีบต้อนเข้ามาแล้ว กระตุ้นโลหิตจากปลายนิ้ว ร่ายอาคมนั้นออกมาอีกครั้งหนึ่ง ทว่ายังคงไม่ประสบผลเช่นเดิม
“เจ้าคิดจะปล่อยนางออกมาสินะ?” เสียงของจิตมารแว่ววังเวง แฝงไอพิฆาตที่บีบคั้นผู้คน ทว่าเอ่ยอย่างค่อนข้างภูมิใจอีกครั้งว่า “อาคมล้มเหลวอีกแล้วใช่ไหม?! ฮ่าๆ ฟั่นเชียนซื่อ เปิ่นจุนรู้อยู่แล้วว่าเจ้ายังไม่ถอดใจจากนาง!”
“เจ้าเพิ่มเติมอาคมลงไปบนคุกวารีระโหยนี้อีกรึ!” ฟั่นเชียนซื่อต้องการยืนยัน
“มิผิด เจ้าอย่าลืมสิ เปิ่นจุนก็เคยเป็นยอดฝีมือด้านการติดตั้งเขตแดนเช่นกัน ศึกษาดูให้ดีเสียหน่อย ปรับเปลี่ยนลำดับขั้นตอนของอาคมเล็กน้อย ก็สามารถเพิ่มคุณสมบัติอีกอย่างให้มันได้แล้ว”
คงเป็นเพราะยึดกุมความมีชัยไว้ได้แล้ว จิตมารจึงไม่รีบร้อนลงมือกับฟั่นเชียนซื่ออีก กลับทำเหมือนแมวตะครุบหนูเฒ่า เย้าหยอกเขาอย่างโหดเหี้ยม “อยากรู้หรือไม่ว่าเป็นคุณสมบัติอันใด?”
ฟั่นเชียนซื่อเม้มปากไม่เอ่ยวาจา จิตมารจึงเอ่ยต่อไปด้วยตัวเอง “คุณสมบัติที่ทำให้ดวงวิญญาณของสตรีเข้าไปแล้วจะออกมาไม่ได้อีก แต่บุรุษยังสามารถออกมาได้…”
ฟั่นเชียนซื่อนิ่งค้าง…
ในที่สุดจิตมารก็มองตี้ฝูอีที่อยู่ในคุกวารีแวบหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่รอบเขตแดนของตี้ฝูอีมีหัวกะโหลกรุมกัดแทะอยู่มากมายเกินไป เนืองแน่นแออัด บดบังสายตา นางจึงมองไม่เห็นว่าสรุปแล้วทั้งสองคนที่อยู่ข้างในกำลังทำอะไรอยู่
เพียงแต่ นางมั่นใจในคุกวารีระโหยแห่งนี้ จึงไม่กังวลว่าทั้งสองคนที่อยู่ด้านในจะสามารถหลบหนีออกมาเองได้
นางมองฟั่นเชียนซื่อที่มีสีหน้าตกตะลึงด้วยรอยยิ้ม “ประเดี๋ยวจัดการเจ้าเสร็จ เปิ่นจุนก็จะหาทางพาฝูอีออกมาเอง ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันผู้ที่เปิ่นจุนชมชอบมีเพียงเขาเท่านั้น ย่อมหักใจปล่อยให้เขาอยู่ที่นี่ไปเนิ่นนานมิได้ เปิ่นจุนจะต้องได้ครองคู่โบยบินกับเขา”
ในสุ้มเสียงอ่อนโยนของนางแฝงความเหี้ยมเกรียมไว้ “อย่างไรก็ตาม เชียนซื่อ เจ้าวางใจเถอะ ต่อให้เปิ่นจุนปล่อยเขาออกมา ก็ไม่มีทางให้เขาสังหารเจ้า จะเก็บชีวิตของเจ้าไว้ ให้เจ้าเป็นทาสรับใช้ของพวกเรา มองพวกเราครองคู่รักใคร่กัน…”
เลือดลมในทรวงอกเขาปั่นป่วน กัดฟันเอ่ย “เป็นข้าประเมินเจ้าต่ำไป!”
————————————————————————————-