ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 3061 ปัจฉิมบท 26 / บทที่ 3062 ปัจฉิมบท 27
บทที่ 3061 ปัจฉิมบท 26
ถึงแม้ค่ายกลเหล่านี้จะไม่สามารถยับยั้งความบ้าคลั่งของทะเลทรายได้ แต่ดีร้ายอย่างไรก็สามารถสกัดกั้นไม่ให้ทะเลทรายขยายตัวมายังทิศทางนี้ได้ ยื้อเวลาให้ประชาชนในทิศทางนี้หลบหนีไปได้…
การค้ำยันค่ายกลเช่นนี้ย่อมสิ้นเปลืองพลังเป็นที่สุด ตอนที่พวกตี้ฝูอีพุ่งออกมา พวกเขาใกล้จะเป็นม้าตีนปลายกันแล้ว ในใจกำลังเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ใคร่ครวญอยู่ว่าจะละทิ้งปวงประชาหลายแสนชีวิตที่อยู่ด้านนี้แล้วหนีไปดีหรือไม่ พวกตี้ฝูอีก็หล่นลงมาจากฟ้า…
ในบรรดากลุ่มคนที่เหลืออยู่ มีจักรพรรดิเซียนและแม่ทัพนายพลอีกหลายสิบคนของเขา มีขุนพลของภพปีศาจ มีผู้อาวุโสจากภพมาร…ทั้งน้อยทั้งใหญ่รวมกันแล้วมีอยู่หนึ่งร้อยสิบคน
เพื่อจะค้ำจุนค่ายกลนี้ไว้จะต้องผลัดเวรกันมาทำงาน ดังนั้นคนที่ห้อมล้อมเข้ามาในยามนี้คือคนที่เพิ่งจะสลับสับเปลี่ยนออกมา แต่ละคนกระดูกอ่อนยวบเส้นเอ็นปวดชา เดิมทีกองกันอยู่บนพื้นจะลุกก็ลุกไม่ขึ้นแล้ว
แต่บัดนี้พอเห็นพวกตี้ฝูอีโผล่ออกมา พวกเขาก็กระฉับกระเฉงขึ้นมาอีกครั้ง
ทุกคนพากันสอบถามถึงสถานการณ์ภายในทะเลทราย ขณะที่พวกตี้ฝูอีถูกห้อมล้อมสอบถามเสียงเซ็งแซ่อยู่ พวกไป๋เจ๋อ อวิ๋นเยียนหลี คุนเสวี่ยอี๋ รวมถึงพวกมู่เฟิงสี่ทูต อีกทั้งเหล่าองครักษ์ที่ตี้ฝูอีพาออกมาจากแดนอสุราด้วยทั้งหมดหลังจากได้ยินข่าวก็กรูกันเข้ามาเลย!
ทันทีที่ไป๋เจ๋อมองเห็นกู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอี ก็แทบจะหลั่งน้ำตาออกมาแล้ว ทุกคนโผเข้าไปหาพร้อมกัน
“นายน้อย” “นายหญิงน้อย” “นายท่าน” “ซีจิ่ว” “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์” สารพัดเสียงเรียกขานดังวุ่นวาย
เซียนมารปีศาจที่เหลือพอได้ยินคำเรียกขานของพวกมัน ถึงได้ทราบว่าบุรุษชุดม่วงตรงหน้าที่ดูมีสง่าราศียิ่งนักผู้นี้ก็คือฝ่าบาทเนี่ยนโม่ ย่อมทำความเคารพต่อเขาใหม่…
ด้วยเหตุนี้ เหตุการณ์จึงค่อนข้างโกลาหลไปชั่วขณะ
ฟั่นเชียนซื่อยืนอยู่ด้านข้าง เม้มปากมองทุกอย่างนี้ ไม่เอ่ยวาจาเลย
ยามนี้ตี้ฝูอีไม่อยากจะสนทนาปราศรัยกับผู้ใด ดังนั้นเขาจึงโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง กวาดตามองแวบหนึ่ง เขามีรัศมีกล้าแกร่งนัก เมื่อกวาดตามองแล้ว อำนาจกดดันอันแข็งแกร่งทำให้ทุกคนที่พูดจาเซ็งแซ่กันอยู่หุบปากลง เขามองไปที่ฟั่นเชียนซื่อทันที “ต้องผนึกมันอย่างไร? บอกมาตามตรง!”
ฟั่นเชียนซื่อสูดหายใจเบาๆ คราหนึ่ง ทว่าไม่โยกโย้ บอกวิธีไปทันที…
วิธีนี้เขาได้จัดเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าเป็นอย่างดีแล้ว เดิมทีวางแผนไว้ว่าหลังจากกักขังตี้ฝูอีแล้ว ค่อยทำร้ายจิตมารต่อ หลังจากออกมาได้ก็ค่อยดึงดูดผู้คนมาแล้วทำการผนึกทะเลทรายชั่วร้ายเสีย แสดงฉากอันสมบูรณ์แบบของตนออกมา สร้างภาพให้ตนกลายเป็นผู้กอบกู้โลก เข้ายึดกุมหกภพภูมิ
เนื่องจากโอบอุ้มจุดประสงค์เช่นนี้เอาไว้ วิธีการนี้ที่เขาจัดเตรียมไว้ย่อมเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการผนึกทะเลทรายชั่วร้าย ในวิธีการนี้ของเขา ถึงขั้นที่สามารถสวดส่งวิญญาณอาฆาตภายในทะเลทรายได้ด้วย ไม่จำเป็นต้องทำให้วิญญาณแตกสลายไปเสียทั้งหมด…
วิธีนี้ค่อนข้างซับซ้อนและค่อนข้างใช้เวลานาน จำนวนคนที่ต้องการไม่จำเป็นต้องมากมายเกินไป ยอดฝีมือผู้เลิศล้ำสองร้อยคนก็เพียงพอแล้ว
เดิมทีหลังจากเขาบอกวิธีนี้ออกมา ทุกคนยังเชื่อบ้างคลางแคลงบ้างอยู่
พวกคุนเสวี่ยอี๋ล้วนรู้จักเขา รู้สึกว่าเขายังคงมีแผนการร้ายอยู่ ไม่กล้าเชื่อถือเขา และย่อมเห็นเขาขัดนัยน์ตายิ่งนักด้วย โดยเฉพาะอวิ๋นเยียนหลี เมื่อเห็นฟั่นเชียนซื่อก็นึกถึงบุพการีที่สิ้นชีพอย่างน่าเวทนาขึ้นมา หากมิใช่เพราะยามนี้ต้องคำนึงถึงสถานการณ์ของส่วนรวมก่อน เกรงว่าเขาคงถลกแขนเสื้อพุ่งเข้าไปแล้ว!
ส่วนผู้คนเหล่านั้นที่ไม่รู้จักเขา ย่อมไม่เชื่อถือเขาเท่าไหร่ ถึงอย่างไรในสายตาของพวกเขาแล้ว ฟั่นเชียนซื่อในยามนี้ก็ไม่เป็นที่รู้จักเลย
แต่หลังจากตี้ฝูอีฟังวิธีที่เขาพูดจบแล้ว ก็สั่งการเพียงว่า “ทุกคนไปทำตามวิธีที่เขาบอก!”
ทุกคนตะลึงงัน
นอกเหนือจากลูกน้องไม่กี่คนของตี้ฝูอีแล้ว ถึงแม้คนอื่นๆ จะให้ความเคารพเขามากพอ แต่นั่นก็เพราะเห็นแก่หน้าของบิดาเขา พอถึงช่วงเวลาวิกฤตคับขันเข้าตาจนเช่นนี้ขึ้นมาจริงๆ ทุกคนก็ยังคงไม่มั่นใจในตัวเขาสักเท่าไหร่
————————————————————————————-
บทที่ 3062 ปัจฉิมบท 27
อย่างไรก็ตามถ้าทำตามวิธีของฟั่นเชียนซื่อ จะต้องรื้อค่ายกลทั้งหมดที่มีอยู่ในปัจจุบันมารวมกัน ทั้งยังเป็นการรื้อถอนอย่างใหญ่โตด้วย ผิดพลาดไปเพียงนิด ก็จะถูกทะเลทรายที่บ้าคลั่งกวาดม้วนเข้ามากลืนกิน…
ประกอบกับคนเหล่านี้ที่เหลืออยู่ในตอนนี้ล้วนเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ ปกติก็ไม่ยอมสยบให้ผู้ใดง่ายๆ อยู่แล้ว ต่างคนต่างมีความหัวแข็ง ดังนั้นพอตี้ฝูอีมีคำสั่งลงมาเช่นนี้ คนส่วนใหญ่จึงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ยังมีคนที่โต้แย้งซักถามด้วย พากันบอกว่าทำแบบนี้มีความเสี่ยงมากเกินไป หากว่าไม่สำเร็จ แม้แต่ค่ายกลในยามนี้ก็ไม่อาจรักษาไว้ได้แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะคร่าชีวิตของผู้บำเพ็ญอีกหลายสิบชีวิตเข้าไปอีก…
ฝูงชนมีความเห็นต่างกันไป ค่อนข้างวุ่นวายไปชั่วขณะ
กู้ซีจิ่วมุ่นคิ้วนิดๆ วิธีนี้ของฟั่นเชียนซื่อต้องให้ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันอย่างแท้จริง ดังนั้นต่อให้เธอใช้วิธีบังคับกดดันพวกเขา ก็ยังไม่แน่ว่าในใจของพวกเขาจะยอมสยบ เช่นนี้ต่อให้จัดการตามวิธีนี้ได้ ประสิทธิภาพก็คงจะลดทอนไปมาก
แล้วจะขจัดความวิตกกังวลของทุกคนที่เป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดของตอนนี้ลงภายในระยะเวลาสั้นๆ ได้ยังไงล่ะ…
เธอสูดหายใจคราหนึ่ง ร้อยเรียงบทความปลุกขวัญกำลังใจเรียกความเชื่อมั่นอยู่ในท้อง ขณะที่กำลังจะเปิดปากเอ่ย ไม่นึกเลยว่าฟั่นเชียนซื่อจะชิงเปิดปากเอ่ยขึ้นมาก่อน “ทะเลทรายชั่วร้ายนี้เป็นสิ่งที่เปิ่นจุนก่อขึ้น ย่อมรู้ดีว่าวิธีไหนถึงจะควบคุมมันอย่างแท้จริงได้!”
ความจริงประโยคนี้ เสมือนการเทน้ำเย็นชามหนึ่งลงไปในหม้อน้ำมันเดือดพล่านก็มิปาน ทุกคนแตกตื่นฮือฮาขึ้นมาทันที!
บ้างก็ร้องด่าด้วยความโกรธ บ้างก็ไม่เชื่อ บ้างก็รู้สึกว่าเขาวิกลจริต
แน่นอน กระแสส่วนใหญ่คือทุกคนคิดว่าเขาทำแบบนี้เพื่อดึงดูดความสนใจ จงใจเทกระโถนอาจมใส่ตัวเอง
คนผู้หนึ่งวิจารณ์ออกมาอย่างมีหลักการเป็นที่สุด และสื่อถึงความคิดของทุกคนได้ดีที่สุด “ท่านผู้สูงศักดิ์อย่าได้พูดจาเหลวไหลเลื่อนเปื้อน ทะเลทรายชั่วร้ายแห่งนี้คงอยู่มาหลายแสนปีแล้ว! เก่าแก่ยิ่งกว่ามหาเทพกับจอมมารเสียอีก และดูจากความดุร้ายของมันแล้ว ต่อให้เป็นมารสวรรค์หมื่นตนก็สร้างขึ้นมาไม่ได้ ส่วนวรยุทธ์ของท่านผู้สูงศักดิ์อย่างมากก็แค่ซ่างเสินคนหนึ่ง มิใช่ว่าข้าผู้เป็นเซียนจะดูหมิ่นท่าน ต่อให้มีท่านอยู่หมื่นคนก็สร้างขึ้นมาไม่ได้! ท่านเห็นทุกคนเป็นคนโง่หรืออย่างไร? หรือรู้สึกว่าตนเป็นเทพผู้สร้างโลกหรือไม่ก็เจ้าแห่งลิขิตสวรรค์เล่า? ที่โบกมือส่งๆ สักคราก็สร้างทะเลทรายล้างโลกาขึ้นมาได้แล้ว?”
เมื่อคนผู้นี้กล่าววาจาเช่นนี้ออกมา ก็ได้รับเสียงสนับสนุนจากคนส่วนใหญ่ทันที
สรุปคือ ทุกคนพากันหัวเราะเยาะหยันเขา เป็นแค่ซ่างเสินคนหนึ่งชัดๆ กลับมองตนเป็นเทพผู้สร้างโลกหรือไม่ก็เจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ไปได้
บรรดายอดอัจฉริยะที่อยู่ในเหตุการณ์เหล่านี้ยังคงรู้จักเทพผู้สร้างโลกกับเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์อยู่
แน่นอน คำว่ารู้จักของพวกเขาก็คือรู้ว่าบนโลกนี้มีบุคคลเช่นนี้อยู่สองท่าน เป็นตัวตนในตำนาน รับผิดชอบดูแลสรรพสิ่งในหกภพและความรุ่งเรืองล่มจมของโลกหล้า
ในใจของคนเหล่านี้ทั้งสองท่านนี้คือเทพเจ้าผู้ทรงสิทธิ์ที่ไม่มีสิ่งใดที่กระทำไม่ได้ และเป็นตัวตนที่เลื่อนลอยดุจภาพมายาที่สุด มีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ก็ยังคงยากจะบอกได้…
ในใจของพวกเขา มีเพียงสองท่านนี้เท่านั้นที่เป็นไปได้ว่าจะสร้างภัยพิบัติร้ายแรงเช่นนี้ขึ้นมาได้ ยามนี้พอฟั่นเชียนซื่อที่ชื่อเสียงไม่ประจักษ์เลื่องลื่อผู้นี้ยอมรับว่าเขาเป็นผู้สร้างทะเลทรายชั่วร้ายนี้ขึ้น ย่อมไม่มีผู้ใดเชื่อ…
เสียงหัวเราะเยาะหยันแว่วเข้าหูอยู่ไม่ขาด ฮวาเหยียนพลันสูดหายใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง เอ่ยเสียงดังว่า “นายท่านของข้าคือเทพผู้สร้างโลกจริงๆ! และข้าก็เป็นข้ารับใช้ที่เขาส่งมา!”
ฝูงชนตกตะลึง!
หลังจากฝูงชนเงียบงันไปสามวินาที ก็แตกตื่นขึ้นมาอีกครั้ง!
ระยะนี้ฮวาเหยียนมีชื่อเสียงที่ดินแดนเบื้องบนไม่น้อยเลย ทุกคนยังคงทราบถึงความสามารถของนางดี ที่ดินแดนเบื้องบนแทบจะไม่คู่ต่อสู้แล้ว และไม่เคยพูดปดเลย คำพูดของนางยังคงมีความน่าเชื่อถืออยู่หลายส่วนยิ่ง
เพียงแต่ ต่อให้ทุกคนพอจะฝืนเชื่อว่าเขาคือเทพผู้สร้างโลกได้แล้ว แต่คำถามอย่างหนึ่งที่เกี่ยวข้องผุดขึ้นมาอีก “ในเมื่อท่านคือเทพผู้สร้างโลก เหตุใดต้องสร้างทะเลทรายล้างโลกาแห่งนี้ขึ้นเล่า?”
เทพผู้สร้างโลกมิใช่ว่าสมควรจะมีจิตเมตตาอารีไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกหรอกหรือ?
ขณะที่เอะอะโวยวายกันอยู่ เสียงของตี้ฝูอีก็ดังขึ้นมาในช่วงที่เหมาะเจาะพอดี “ค่ายกลเล็กๆ ที่พวกเจ้าสร้างขึ้นมาใกล้จะแตกสลายแล้ว ค้ำยันไว้ได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยามแล้ว ตอนนี้พวกท่านมีทางเลือกอยู่สองทาง หนึ่ง ซักถามปัญหาทั้งหมดออกมาจนหมดเปลือกอยู่ที่นี่ให้ถึงที่สุด ให้เขามอบคำอธิบายต่อพวกเจ้า ให้เวลาผ่านไปอย่างเสียเปล่า สองหุบปากให้ข้าตั้งแต่ตอนนี้ แล้วไปทำตามที่เขาบอก! รอจนผนึกทะเลทรายชั่วร้ายนี้ได้แล้วค่อยถามคำถามที่ไม่สำคัญพวกนี้อีกครั้ง พวกเจ้าจะเลือกทางไหนเล่า?”
เสียงของเขาเย็นชายิ่งนัก เสมือนค้อนหนักๆ อันหนึ่ง ทุบลงบนหัวใจของคนทั้งหลาย!
ทุกคนมองหน้ากันแวบหนึ่ง ในที่สุดแต่ละคนก็หุบปากลงแล้ว ไปจัดการตามที่ฟั่นเชียนซื่อบอก…
————————————————————————————-