ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 3063 (1) ปัจฉิมบท 28 / บทที่ 3063 (2) ปัจฉิมบท 28
บทที่ 3063 (1) ปัจฉิมบท 28
พวกเขาแต่ละคนต่างมุ่งไปยังตำแหน่งของตน ถึงได้พบว่าลูกน้องเหล่านั้นของตี้ฝูอีประจำอยู่ในตำแหน่งของแต่ละคนนานแล้ว ราชันปีศาจที่มาในครานี้เป็นชาตรีที่มีความสามารถและมีบุคลิกเฉพาะตัวยิ่งนัก ร่างกายกำยำล่ำสัน ขนงเนตรเฉียบคม จมูกงุ้มแฝงความเฉยชาพูดจาคำไหนคำนั้นเอาไว้ด้วย คนผู้นี้เป็นบุคคลมีความสามารถที่พบเห็นได้น้อยในหกภพภูมิ เปิดตัวได้ไม่ถึงร้อยปีก็สยบรวมทั้งภพปีศาจให้อยู่ในมือได้แล้ว ด้านราชกิจการทหารสามารถเทียบเคียงกับจักรพรรดิเซียนได้เลย ไม่ด้อยไปกว่าเสวี่ยอีหลานในอดีต
ความสามารถสูง ความผยองย่อมมากตาม ไม่ไว้หน้าผู้ใดทั้งนั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาแล้วพวกลูกน้องไม่กล้าแม้แต่จะผายลมออกมา ปฏิบัติตามคำสั่งของเขาอย่างเด็ดขาดเสมอมา
นี่ยิ่งบ่มเพาะให้ความผยองของเขากลายเป็นเย่อหยิ่งโอหัง หากผู้ใดกล้าเอ่ยคำคัดค้านต่อหน้าเขา ก็จะถูกเขาสังหารทิ้งทันที
และประเหมาะบังเอิญยิ่งที่คณะของเขา ปะทะเข้ากับกลุ่มของอวิ๋นเยียนหลี
มีอยู่จุดหนึ่งที่ตามเหตุผลแล้วสมควรเป็นตำแหน่งตั้งค่ายกลของอวิ๋นเยียนหลี แต่ราชาปีศาจรู้สึกว่าตำแหน่งนี้ค่อนข้างสำคัญ สมควรจะให้คนของเขาเฝ้าระวัง ดังนั้นพอเขานำกองทหารไปถึง ก็สั่งให้อวิ๋นเหยียนหลีไสหัวไปด้วยสีหน้าเย็นชาเลย
อวิ๋นเยียนหลีคร้านจะสนใจเขา ใส่ใจเพียงจัดวางค่ายกลของตนอยู่ตรงนั้น
ราชันปีศาจหงุดหงิด จึงส่งสายตาให้ลูกน้อง ลูกน้องรีบก้าวเข้ามาขับไล่ทันที “ไสหัวไปซะ! ไอ้พิการไม่สมประกอบอย่างเจ้ารักษาที่นี่ไว้ไม่อยู่แน่…”
พูดยังไม่จบก็ถูกอวิ๋นเยียนหลีซัดฝ่ามือใส่จนปลิวออกไป!
สีหน้าอวิ๋นเยียนหลีเยียบเย็น เขาเกลียดคนที่เรียกเขาว่าไอ้พิการเป็นที่สุด! หากมิใช่เพราะตอนนี้สถานการณ์ของส่วนรวมสำคัญกว่า เขาคงสับแม่ทัพปีศาจผู้นี้จนแหลกไปแล้ว!
ต่อให้เป็นเช่นนี้ ลูกน้องแม่ทัพปีศาจผู้นั้นก็ถูกฝ่ามือนี้ของเขาซัดจนแทบจะกระอักโลหิตออกมาแล้ว กลิ้งหลุนๆ ไปหลายตลบ
สีหน้าราชันปีศาจพลันแปรเปลี่ยนนิดๆ ถึงแม้ลูกน้องคนนี้ของเขาจะไม่นับว่าแข็งแกร่งนัก แต่ก็เป็นบุคคลร้ายกาจที่สามารถต่อกระบวนท่ากับแม่ทัพของดินแดนเบื้องบนได้เลย ไม่นึกเลยว่าจะถูกบุรุษที่ดูผอมบางอ่อนแอเหมือนไก่อ่อนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ซัดจนปลิวออกไปได้ในชั่วพริบตา!
ราชันปีศาจพลันหรี่ตา ก้าวเข้าไป “ดูไม่ออกเลยว่าไอ้หนุ่มหน้าขาวอ้อนแอ้นแบบเจ้าจะมีฝีมือเช่นนี้ด้วย ดูแคลนเจ้าไปเสียแล้ว!”
ราชันปีศาจดูหมิ่นหนุ่มหน้าขาวเจ้าสำอางเป็นที่สุด เขารู้สึกว่าเป็นบุรุษสมควรจะสูงใหญ่กำยำ ฝ่ามือแข็งดุจเพชรกล้า ดังนั้นทหารของเขาจึงล้วนดูบึกบึนห้าวหาญทรงพลังปานดาบ
ดังนั้นในใจของเขาจึงดูถูกบุตรแห่งเทพมารอย่างตี้ฝูอีด้วยเช่นกัน รู้สึกว่าเขาแค่เกิดในครรภ์ที่ดีเท่านั้น มีบุพการีที่ร้ายกาจคู่หนึ่งถึงสามารถเดินวางท่าที่ดินแดนเบื้องบนได้
ส่วนลูกน้องเหล่านี้ที่เขาพามาด้วย นอกจากแปดสัตว์วิเศษแล้ว ที่เหลือล้วนเป็นไอ้หนุ่มหน้าขาวที่ดูเหยาะแหยะใช้การไม่ได้ทั้งสิ้นติดตามตี้ฝูอีเป็นจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ ไม่มีคนที่สามารถออกโรงใช้งานอย่างจริงจังได้เลยสักคน
หนนี้เพื่อส่วนรวมแล้ว เขาจึงฝืนใจรับฟังคำสั่งการของตี้ฝูอี เตรียมพร้อมว่าหลังจากภัยพิบัติใหญ่ครานี้จบลง ค่อยไปฉุดให้อำนาจบารมีของตี้ฝูอีตกต่ำลงมา
ดังนั้นเขาจึงข่มกลั้นเพลิงโทสะเอาไว้มาโดยตลอด เขาคร้านจะท้ารบกับตี้ฝูอีในตอนนี้ แต่สำหรับไอ้หนุ่มหน้าขาวกลุ่มนี้ที่เป็นลูกน้องของตี้ฝูอีไม่จำเป็นต้องเกรงอกเกรงใจถึงเพียงนั้นเลย!
สำหรับอวิ๋นเยียนหลีที่พิการแขนด้วนไปข้างหนึ่งก็ยิ่งดูแคลนขึ้นไปอีก คิดจะขับไล่อีกฝ่ายไปเสีย เลี่ยงไม่ให้มาขวางหูขวางตาอยู่ใกล้ๆ กลับคาดไม่ถึงเลยว่าที่แท้อีกฝ่ายจะเปี่ยมซึ่งความสามารถ…
พอลงมือก็ซัดลูกน้องคนหนึ่งของตนให้ปลิวออกไปได้แล้ว
เขารู้สึกว่าตนเสียหน้าแล้ว จึงคิดจะกู้หน้ากลับมา ราชันปีศาจพลันปล่อยแรงกดดันอันแกร่งกล้าออกมา คิดจะกดดันให้อีกฝ่ายถอยร่นไปก่อน
กลับคาดไม่ถึงเลยว่าอวิ๋นเยียนหลีคร้านจะแยแสเขา เห็นคำพูดของราชันปีศาจเป็นดั่งเสียงผายลม จัดวางค่ายกลของตนต่อไป
ราชันปีศาจเสียหน้าอีกครั้ง สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน ส่งสายตาให้ขุนพลพยัคฆ์นายหนึ่งที่อยู่ข้างกาย ขุนพลพยัคฆ์นายนี้ก้าวเข้าไปทันที พลันตะปบอุ้งเท้าลงบนหัวไหล่ของอวิ๋นเยียนหลี “ไอ้หนุ่มหน้าขาว ท่านราชันปีศาจของพวกเราถามเจ้าอยู่นะ!”
การตะปบนี้ของเขาใส่พลังปีศาจอันแสนแข็งแกร่งลงไปด้วย ทันทีที่ตะครุบโดน แขนข้างนี้ของอวิ๋นเยียนหลีก็อย่าหวังว่าจะเอาไว้ได้!
อวิ๋นเยียนหลียังไม่ทันเคลื่อนไหว มือข้างหนึ่งก็พุ่งเฉียงเข้ามา คว้าข้อมือของขุนพลพยัคฆ์นายนั้นไว้ เสียงหนึ่งที่ใสกระจ่างดุจสายลมแว่วขึ้น “สุภาพบุรุษปากขยับมือไม่เคลื่อน ไยต้องลงไม้ลงมือด้วยเล่า?”
————————————————————————————-
บทที่ 3063 (2) ปัจฉิมบท 28
เสียงนี้สุภาพอ่อนโยนทว่าการกระทำกลับไม่อ่อนโยนเลย บนข้อมือของขุนพลพยัคฆ์นายนั้นเสมือนสวมตรวนเหล็กไว้ เจ็บปวดไปถึงขั้วหัวใจ ทำให้สีหน้าเขาซีดเผือดทันที
เขาพยายามดิ้นรนตามสัญชาตญาณ ไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะปล่อยมือพอดี เขาจึงสะดุดตัวเองจนล้มคว่ำไป!กลิ้งหลุนๆ ไปถึงแทบเท้าราชันปีศาจ
ราชันปีศาจตกตะลึง!
เขาเงยหน้ามองคนที่สอดมือเข้ามาผู้นั้น คิ้วพลันเลิกขึ้น!
ผู้ที่มาทีหลังนี้เป็นหนุ่มหล่อคนหนึ่ง ซ้ำยังเป็นความงามที่ไม่แบ่งแยกอัตลักษณ์ทางเพศด้วย ยืนยิ้มละไมอยู่ตรงนั้น เพียงยืนเรื่อยเปื่อยก็ดูคล้ายภาพบุรุษรูปงามล่มบ้านล่มเมืองภาพหนึ่งแล้ว
หนุ่มหล่อคนนี้สะบัดข้อมือ มองขุนพลพยัคฆ์ที่กลิ้งอยู่บนพื้นอย่างขออภัย “ไอ๊หยา ขออภัยด้วย ไม่ได้ทำให้ท่านล้มเจ็บกระมัง? ข้าพเจ้าลงมือหนักไปหน่อย ไม่บาดเจ็บใช่หรือไม่?”
ข้อมือของขุนพลพยัคฆ์นายนั้นเขียวช้ำเป็นวงแล้ว เจ็บเหมือนโดนแมวข่วน แต่เมื่อเผชิญกับดวงหน้างดงามยิ้มละไมนั้นแล้ว เขาก็กลืนถ้อยคำด่าทอกลับลงท้องไป “เจ้า…เจ้าเป็นใครอีก?”
หนุ่มหล่อผู้นั้นยกมือเสยผมคราหนึ่ง “ข้าคือคุนเสวี่ยอี๋เป็นหัวหน้าของแปดองครักษ์ใต้สังกัดของนายน้อยตี้ ได้รับมอบหมายหน้าที่พิเศษจากนายน้อยให้คอยสอดส่องว่ามีคนก่อเรื่องวุ่นวาย หาเรื่องทะเลาะต่อตีโดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์หรือไม่…เช่นนั้น…เมื่อครู่พวกเจ้ากำลังคุยกันหรือว่าหาเรื่องกันเล่า?”
ราชันปีศาจเงียบไปครู่หนึ่ง
เขาเอ่ยเสียงแข็งกระด้าง “คุยกัน!” แล้วหันหลังจากไป
ลูกน้องของเขาตาค้างอ้าปากหวอ เพิ่งเคยเห็นท่านราชันปีศาจของพวกเขาหวั่นเกรงเช่นนี้เป็นครั้งแรก ผงะกันอยู่ครู่หนึ่งถึงได้ติดตามไป
“ฝ่าบาท ไยพระองค์ไม่สั่งสอนไอ้หนุ่มหน้าขาวที่ไม่รู้จักความเป็นความตายสองคนนี้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ?” มีลูกน้องทำใจกล้าเอ่ยถาม ปกติถ้าราชันปีศาจเห็นไอ้หนุ่มหน้าขาวก็จะเข้าไปหาเรื่องเลย หนนี้เป็นอันใดไปเล่า?
ราชันปีศาจเอ่ยเสียงเย็น “ส่วนรวมสำคัญกว่า ไม่จำเป็นต้องถือสาหาความพวกเขา”
เขาก็เป็นผู้มีความรู้คนหนึ่ง การลงมือเมื่อครู่ของคุนเสวี่ยอี๋ เจ้าเล่ห์ร้ายกาจยิ่ง เก่งกาจยิ่งกว่าขุนพลที่ร้ายกาจที่สุดในสังกัดเขาไม่น้อยเลย ส่วนไอ้พิการไม่สมประกอบคนนั้น ก็คล้ายว่าจะมิใช่ตะเกียงขาดน้ำมันเช่นกัน…
ถ้าสู้กันขึ้นมาจริงยังไม่แน่ว่าเขาจะยึดกุมความได้เปรียบภายในระยะเวลาสั้นๆ ได้
ตำแหน่งที่พวกเขาสมควรเข้าประจำไม่นับว่าห่างจากคุนเสวี่ยอี๋และอวิ๋นเยียนหลี เขาเพ่งมองแวบเดียวก็เห็นความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายแล้ว
สองคนนั้นก่อค่ายกลขึ้นตรงนั้น เคลื่อนไหวคล่องแคล่วปราดเปรียว มีลำแสงส่องวาบขึ้นมาเป็นเส้นสาย พริบตาเดียวก็ก่อตั้งค่ายกลใหญ่ที่อวลแสงมงคลขึ้นมาได้แล้ว
เมื่อกลับมามองทางฝั่งตน จำนวนคนมากกว่าฝั่งนั้นหลายเท่านัก แต่มือไม้กลับงุ่มง่ามก่อค่ายกลได้เพียงครึ่งเดียวอยู่…
เขารู้สึกเสียหน้าอยู่บ้าง เอ่ยด้วยความโกรธ “แต่ละคนกินข้าวไม่อิ่มหรือไง?! ผ่านไปตั้งนานแล้วยังได้แค่นี้อยู่!”
ลูกน้องเหล่านั้นของเขาล้วนมีความทุกข์ทนที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยได้ พวกเขาเค้นเรี่ยวแรงทั้งหมดออกมาแล้วไม่รู้หรือไง? ที่สำคัญคือค่ายกลนี้ซับซ้อนเกินไปแล้ว พวกเขาจดจำขั้นตอนไม่ได้
พอถูกนายของตนตำหนิ ปีศาจเหล่านี้ก็ยิ่งเร่งร้อน ทว่ายิ่งผิดพลาดมากขึ้น…
หลังจากผ่านไปหนึ่งเค่อ ส่วนใหญ่แล้วกลุ่มอื่นๆ ล้วนก่อค่ายกลเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีเพียงกลุ่มของราชันปีศาจที่ยังยุ่งง่วนอยู่
“ฝ่าบาท ค่ายกลนี้ของท่านมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวยิ่ง” เสียงหนึ่งแว่วขึ้นเหนือศีรษะของราชันปีศาจ
ราชันปีศาจเงยหน้าขึ้น มองเห็นดวงหน้างามล่มชาติของคุนเสวี่ยอี๋ เขากัดฟันเอ่ย “เจ้ามาทำไม?!”
ในใจเขาโอบอุ้มความหวังสายหนึ่งเอาไว้รางๆ หวังว่าคุนเสวี่ยอี๋ผู้นี้จะเห็นแก่ส่วนรวม ช่วยเหลือเขาหน่อย
คุนเสวี่ยอี๋กลับเข้าอกเข้าใจผู้อื่นดียิ่ง กวาดตามองเหล่าขุนพลทหารปีศาจอับจนหนทางก่อค่ายได้ครึ่งเดียวแวบหนึ่ง “ติดขัดที่ใดเล่า?”
เหล่าขุนพลทหารปีศาจที่กำลังกลัดกลุ้มกดดันอยู่ รีบบอกออกมาว่า มีอยู่สองขั้นตอนที่จำไม่ได้
————————————————————————————-