ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 3069 (1) บทพิเศษ 2 / บทที่ 3069 (2) บทพิเศษ 2
บทที่ 3069 (1) บทพิเศษ 2
“ซวี่เยวี่ย เจ้าอยากได้น้องชายหรือน้องสาว?”
แสงตะวันอบอุ่น ลมโชยสดชื่น กู้ซีจิ่วกึ่งๆ นอนเอนหลังอยู่บนเก้าอี้โยกตัวหนึ่ง ดูสบายอุรายิ่งนัก
เธอตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว แต่หน้าท้องกลับใหญ่เหมือนตั้งครรภ์มาแปดเดือนแล้ว นูนสูงขึ้นมา ทำให้เธอแทบนึกสงสัยแล้วว่าทารกในครรภ์ของเธอคือเทพนาจาน้อย
เธอเป็นเทพผู้สร้างโลก ส่วนตี้ฝูอีเป็นเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ หลังจากเธอกับเขาหวนคืนสู่ฐานะแล้วถึงได้ลูกคนนี้มา ยีนส์ของทารกน้อยย่อมแกร่งกล้ายิ่งนักเป็นแน่ ดังนั้นการที่มันจะเติบใหญ่ขึ้นภายในท้องของเธอเร็วไปบ้างก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
เธอบำเพ็ญมาจนถึงระดับนี้แล้ว ความจริงแล้วถ้าคิดจะตรวจสอบเพศของทารกในครรภ์ตนให้กระจ่างก็ง่ายดายนัก แต่เธอไม่อยากดู ยินดีจะคาดเดาไปเช่นเดียวกับหญิงมีครรภ์ธรรมดาๆ เป็นความสุขสันต์อย่างหนึ่ง พลางเย้าหยอกบุตรสาวของตนไปด้วย
ตี้ซวี่เยวี่ยอายุเจ็ดขวบแล้ว ว่ากันตามเหตุผลแล้ว รู้ความยิ่งนักแล้ว แต่มีเพียงเรื่องต้องการน้องชายหรือน้องสาวเรื่องเดียวเท่านั้นที่นางจะหัวรั้นยิ่ง “ซวี่เยวี่ยอยากได้พี่ชาย!”
ยังคงเป็นคำตอบนี้จริงๆ
กู้ซีจิ่วมุ่นคิ้ว อธิบายความรู้ทั่วไปแก่นางเป็นครั้งที่แปด “ซวี่เยวี่ย เจ้าเป็นลูกคนแรกของแม่ แม่มอบให้เจ้าได้เพียงน้องชายหรือน้องสาวเท่านั้น ไม่อาจมอบพี่ชายพี่สาวให้เจ้าได้”
ตี้ซวี่เยวี่ยเม้มริมฝีปากจิ้มลิ้มแน่น “ไม่เอา ซวี่เยวี่ยจะเอาแค่พี่ชาย! พี่ชายสิถึงจะรักถนอมซวี่เยวี่ย”
กู้ซีจิ่วนิ่งงันไปแวบหนึ่ง พลันปวดใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
รู้สึกรางๆ ว่าเหมือนเสี่ยวซวี่เยวี่ยจะมีพี่ชายอยู่คนหนึ่งจริงๆ
จากนั้นก็ส่ายหน้า นี่ตนวิตกจริตไปแล้วกระมัง?
เสี่ยวซวี่เยวี่ยเป็นลูกคนโตชัดๆ นางจะมีพี่ชายได้ยังไง?
ความรู้สึกนี้ของตนช่างลึกลับไม่สมเหตุสมผลเลยจริงๆ
ตั้งครรภ์สิบเดือน แตงงอมแล้วย่อมหลุดจากขั้ว
นี่คือการตั้งครรภ์ให้กำเนิดบุตรของมนุษย์ธรรมดา
ในเทวตำนานเล่าขานบางเรื่อง การถือกำเนิดของวีรบุรุษเหล่านั้นล้วนมีความพิเศษอยู่บ้าง อย่างเช่นเทพนาจา เขาอยู่ในครรภ์มารดาถึงสามปีเต็ม
หรืออย่างเช่นเล่าจื๊อ[1] เล่าขานกันว่ามารดาเขาตั้งครรภ์แปดสิบปี ถึงได้คลอดเขาออกมา…
ว่ากันตามหลักแล้ว ในตำนานเล่าขาน ยิ่งเด็กอยู่ในครรภ์มารดานานเท่าไหร่ก็ยิ่งแสดงถึงความพิเศษไม่ธรรมดา
กู้ซีจิ่วคิดว่า เธอกับตี้ฝูอีล้วนเป็นเทพ ส่วนทารกในครรภ์ก็เป็นครรภ์แรกที่ก่อกำเนิดขึ้นจากการร่วมสัมพันธ์ของสองเทพ อย่างไรก็คงต้องอุ้มท้องไปสามปีห้าปี เด็กถึงจะคลอดออกมา
กลับคาดไม่ถึงเลยว่าเจ้าตัวน้อยในครรภ์จะใจร้อนอย่างยิ่ง ไม่ได้รวดเร็วแค่การเติบโตเท่านั้น กำหนดคลอดก็รวดเร็วเช่นกัน!
กู้ซีจิ่งตั้งครรภ์อยู่สี่เดือน ทารกในครรภ์ก็ส่งสัญญาณว่าจะคลอดแล้ว!
ทำเอากู้ซีจิ่วตกใจยิ่งนัก! หลงนึกว่าเป็นอาการแท้ง จะรักษาลูกไว้ไม่ได้เสียแล้ว!
เธอคิดหาสารพัดวิธีเพื่อจะรักษาครรภ์ไว้ แต่เจ้าตัวน้อยกลับไม่ยอมคล้อยตามเจตจำนงของเธอ ยืนกรานจะถือกำเนิดให้ได้…
เธอตื่นตระหนกอย่างยิ่ง คว้ากุมมือของตี้ฝูอีที่อยู่ด้านข้างแทบจะร้องไห้แล้ว “ลูกของพวกเราคงรักษาไว้ไม่ได้แล้วใช่ไหม?”
ตี้ฝูอีกลับมีประสบการณ์ในการทำคลอดมาแล้ว เขามองหน้าท้องที่ใหญ่โตของนาง จากนั้นก็เช็ดหยาดเหงื่อเย็นเฉียบบนหน้าผากให้นาง ปลอบขวัญนาง “อย่ากลัวเลย ซีจิ่ว ถึงแม้อายุครรภ์ของเด็กคนนี้จะไม่ครบถ้วน แต่ดูจากลักษณะน่าจะถึงเวลาแล้ว เขาแค่คลอดเร็วไปหน่อยเท่านั้น ยามนี้น่าจะครบกำหนดคลอดแล้ว”
กู้ซีจิ่วยังคงเป็นกังวลอยู่บ้าง
ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จะครบกำหนดคลอดแล้ว ถ้าคลอดแล้วจะแข็งแรงไหม?
หลังจากเธอหวั่นวิตกกระวนกระวาย เจ็บปวดอยู่ครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็คลอดออกมาแล้ว
ยามที่มองเห็นสิ่งที่คลอดออกมาชัดๆ เธอก็หน้ามืดไปแวบหนึ่งเลย!
สิ่งที่เธอให้กำเนิดมิใช่ทารก แต่เป็นศิลาดวงดาวก้อนหนึ่งศิลาดวงดาวก้อนนั้นมีขนาดเท่าลูกบาสเก็ตบอล ทรงแปดเหลี่ยมหกด้าน ทอแสงเจ็ดสี คล้ายดาราขนาดใหญ่ดวงหนึ่ง เพียงแต่พื้นผิวอ่อนนุ่มยิ่ง สะกิดคราหนึ่งไหวกระเพื่อมไปสามครา
โชคดีที่กู้ซีจิ่วเคยอ่านหนังสือเรื่องกำเนิดนาจามาก่อน รู้ว่ายามที่นาจาถือกำเนิดก็เป็นลูกชิ้นเนื้อก้อนหนึ่งเหมือนกัน
ตอนนี้ลูกคนนี้ที่เธอให้กำเนิดก็มีความคล้ายคลึงกับในเรื่องนั้น เธอสงสัยว่าลูกน้อยของเธอน่าจะถูกห่อหุ้มไว้ในศิลาดวงดาวก้อนนี้
————————————————————————————-
บทที่ 3069 (2) บทพิเศษ 2
เธอไม่สนใจอาการอ่อนเพลียหลังคลอด กระบี่เล่มหนึ่งผุดออกมาจากปลายนิ้ว คิดจะผ่าเฉือนศิลาดวงดาวนี้ ผ่าเอาตัวทารกที่อยู่ด้านในออกมา
ถูกตี้ฝูอีคว้าข้อมือไว้ทันที “ซีจิ่ว ไม่ได้นะ!”
“หือ?”
“เด็กคนนี้จำเป็นต้องฟักตัวออกมาด้วยตัวเอง ไม่อาจถูกผู้อื่นทำลายเปลือกหุ้มได้”
กู้ซีจิ่วมองศิลาดวงดาวเจ็ดสีอย่างเงียบงัน ว้าวุ่นอยู่บ้าง “เด็กคนนี้ต้องฟักกำเนิดหรือ? นี่ประหลาดอยู่บ้าง พวกเราเป็นเทพนะไม่ใช่นก ทำไมยิ่งวัฒนาการยิ่งล้าหลังล่ะ? ท่านแน่ใจใช่ไหมว่าเขาจะทำลายเปลือกออกมาเองได้? มิใช่ขาดอากาศจนสิ้นใจอยู่ในนั้น?”
ตี้ฝูอีเพ่งพิศศิลาดวงดาวก้อนนั้นอย่างละเอียดครู่หนึ่ง เอ่ยปลอบเธอ “วางใจเถอะ ไม่มีทางหรอก”
แล้วอุ้มศิลาดวงดาวก้อนนั้นออกไป…
….
ณ ค่ายกลดาราแห่งหนึ่ง
ดวงดาวนับไม่ถ้วนส่องสกาวอยู่กลางนภา หมุนโคจร แสงดารามาบรรจบรวมตัวกันบนแท่นสูงที่อยู่ใจกลางนภา
ศิลาดวงดาวก้อนนั้นที่กู้ซีจิ่วคลอดออกมาก็ถูกวางไว้บนแท่นสูงนี้ แสงดาวนับไม่ถ้วนสาดส่องทอดลงบนร่างมัน ไหวกระเพื่อมดุจคลื่นวารี
มันอาบไล้แสงดาวหมุนวนอยู่ตรงนั้นอย่างช้าๆ ดูดซับปราณแสงดารา
ตี้ซวี่เยวี่ยมาอีกแล้ว นางนั่งลงด้านข้างโต๊ะบูชาไม้หอมจากต้นหงอนหงส์ที่จัดวางศิลาดวงดาวเอาไว้ มองดูศิลาดวงดาวที่ดูดซับปราณแสงดารามาสามปีแล้ว ถอนหายใจ “น้องชาย เจ้าอยู่ในนี้มาสามปีแล้วนะ เมื่อไหร่ถึงจะกะเทาะเปลือกออกมาล่ะ?”
ศิลาดวงดาวหมุนโคจรอย่างเงียบงัน ไม่มีเสียงโต้ตอบ
“ท่านพ่อท่านแม่มาดูเจ้าทุกวันเลย ท่านแม่เป็นกังวลมากจริงๆ กลัวว่าเจ้าจะออกมาเองไม่ได้คิดจะช่วยเหลือเจ้าอยู่หลายครั้ง ล้วนถูกท่านพ่อยับยั้งไว้”
“ท่านแม่บอกว่าเจ้าคือน้องชายของข้า อยากเห็นรูปโฉมของเจ้าหลังจากถือกำเนิดเสียจริงๆ จะต้องน่ามองยิ่งนักเป็นแน่!”
“ใช่แล้ว แม้แต่ชื่อของเจ้าพวกเขาก็ตั้งไว้แล้วนะ ตี้เฮ่า นามนี้สูงส่งยิ่งใหญ่มากใช่ไหมล่ะ? ท่านพ่อเป็นคนตั้งให้เจ้า ส่วนท่านแม่ก็ตั้งชื่อเล่นให้เจ้าแล้ว เรียกว่าเสี่ยวซิงซิง (เจ้าดาวน้อย) ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นครรภ์ดารานี่นา…”
ตี้ซวี่เยี่ยสนใจเพียงจำนรรจาเจื้อยแจ้ว จึงไม่สังเกตเห็นว่าตอนนางเอ่ยชื่อเล่น ‘เสี่ยวซิงซิง’ ออกมา ศิลาดวงดาวก้อนนั้นที่หมุนวนอย่างสงบมั่นคงมาโดยตลอดประหนึ่งถูกสายฟ้าฟาด แข็งทื่อไปแวบหนึ่ง
“อันที่จริงเสี่ยวซิงซิงก็ไพเราะยิ่งนักเช่นกัน เจ้ากำเนิดออกมาแล้วจะต้องน่ารักแน่ๆ ข้าเคยเห็นเด็กเล็กๆ มาแล้ว นุ่มนิ่มน่าเอ็นดู เหมือนซาลาเปาน้อย เรียกว่าเสี่ยวซิงซิงก็น่ารักดี”
ศิลาดวงดาวยังคงเงียบงัน ทว่าความเร็วในการหมุนของมันช้าลงแล้ว…
“ข้าตัดสินใจแล้ว! ต่อไปจะเรียกเจ้าว่าเสี่ยวซิงซิง! ข้าจะมาเรียกเจ้าหลายๆ รอบทุกวันเลย ให้เจ้าได้ปรับตัวกับชื่อนี้ล่วงหน้า เจ้าจะต้องชอบชื่อนี้มากแน่ๆ!” ตี้ซวี่เยวี่ยตบมือคราหนึ่ง ตัดสินใจด้วยตัวเองไปแล้ว
ศิลาดวงดาวหยุดหมุนอย่างสิ้นเชิงแล้ว! นิ่งสงบอยู่ตรงนั้น ราวกับอยู่ในภวังค์ความคิด
ตี้ซวี่เยวี่ยเจื้อยแจ้วต่อไปอีกสองสามประโยค เงยหน้าขึ้นเป็นครั้งคราว จู่ๆ ก็พบว่าศิลาดวงดาวหยุดนิ่งไปแล้ว ตกใจยิ่งนัก ถลาเข้าไป “เสี่ยวซิงซิง ทำไมเจ้าไม่หมุนต่อแล้วล่ะ?”
นางเกรงว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นกับมัน หลังจากหมุนวนเวียนอยู่รอบตัวมันหลายรอบก็ยังไม่พบสาเหตุ จึงอดไม่ได้ที่ยื่นมือน้อยๆ เข้าไปจิ้มเปลือกนอกของศิลาดวงดาวดูเล็กน้อย จากนั้นก็ตะลึงงันอยู่ตรงนั้น!
บนเปลือกนอกของศิลาดวงดาวปรากฏรอยปริร้าวขึ้นหลายสาย…
ตี้ซวี่เยวี่ยตกใจอย่างยิ่ง!
หลังจากนางตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ตะโกนขึ้นมา “ท่านพ่อ ท่านแม่ มาเร็ว! รีบมา!”
ตี้ฝูอีกับกู้ซีจิ่วมาถึงแทบจะในพริบตาเดียว
จากนั้น พวกเขาก็ได้ร่วมเป็นสักขีพยานในช่วงเวลาแห่งปาฏิหาริย์ด้วยกัน
ภายใต้แสงดารา ศิลาดวงดาวก้อนนั้นคลี่กางออกทีละชั้นๆ ดังบุปผาตูม ทุกชั้นล้วนดูคล้ายกลีบบุปผาหกแฉก ปูลงบนแท่นบูชาที่ทำมาจากไม้หงอนหงส์ และเมื่อกลีบบุปผานั้นแย้มบาน ก็ค่อยๆ เผยตัวเด็กน้อยคนหนึ่งที่อยู่ด้านในออกมา…
กู้ซีจิ่วกลั้นหายใจอยู่ตลอด วินาทีที่เธอได้เห็นเด็กคนนั้นชัดๆ เธอก็เปี่ยมสุขยิ่ง!
————————————————————————————-
[1] เล่าจื๊อ เป็นนักปรัชญาชาวจีนคนหนึ่งเชื่อกันว่ามีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช ในช่วงของสงครามปรัชญา และสงครามการเมืองยุคชุนชิว