วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 10-1
“เจ้าบอกว่าจะไม่พูดโกหก ต่อให้เอามีดมาจ่อคอไม่ใช่รึ”
ภายในห้องบรรทม ณ วังซึงกอนที่เปลวไฟในเตาไฟลุกโชนทวีคูณขึ้น ฮอนห่มผ้าห่มด้วยกันกับรยูฮาและกระซิบกระซาบข้างใบหูของนาง
“หม่อมฉันจะไม่พูดโกหกเพคะ หม่อมฉันจะไม่พูดอะไรเลย”
“เจ้าพูดได้ดีเสมอเลยนะ”
ฮอนโอบไหล่ของรยูฮาให้เข้ามาในอ้อมกอดและจุมพิตลงบนหน้าผาก ภายใต้ผ้าห่มที่อุ่นสบาย ความรักและความผูกผันที่ถูกโอบกอดอยู่ในอ้อมอก และอากาศที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมรวยรินซึ่งส่งกลิ่นออกมาจากตัวของนาง มันคือช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบที่สุดในชีวิตของฮอนที่ได้มีชีวิตมา
“ไม่ทรงเกลียดหม่อมฉันหรือเพคะ”
“แม้ว่าเจ้าจะเชือดคอข้าด้วยดาบสีนิลนั้น ข้าก็ไม่เกลียดเจ้าหรอก”
“แล้วถ้าแบบนี้ล่ะเพคะ”
รยูฮาเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อยจากอ้อมอกที่ถูกกอดอยู่และขบเม้มริมฝีปากของเขาอย่างเจ้าเล่ห์ ฮอนเปล่งเสียงครางดังอื้อเพราะความเจ็บแสบพร้อมทั้งหัวเราะไปด้วย
“ข้าชักไม่ชอบใจขึ้นมานิดหน่อยบ้างแล้ว ที่เจ้าไม่ทำต่อน่ะ”
รับเสียงหัวเราะที่ไหลผ่านระหว่างริมฝีปากทั้งสองที่ประกบกันเข้ามาต่างเหล้า และรับก้อนเนื้อหยุ่นที่ขบเม้มเข้ามาต่างกับแกล้ม ถึงจะไม่เมาแต่ก็ไม่สามารถทนไหวได้ เสียงอ่อนระทวยสอดแทรกเข้าไประหว่างทั้งสองที่ค่อยๆ ร้อนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
“องค์รัชทายาท องค์ชายสองขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“…อ้า”
ฮอนประทับจูบบนลงบนปลายจมูกโด่งและริมฝีปากของรยูฮาเป็นการส่งท้ายพร้อมกันกับส่งเสียงครางด้วยความเสียดาย ก่อนจะยกตัวขึ้น
“หมู่นี้องค์ชายเสด็จมาหาฝ่าบาทบ่อยนะเพคะ”
“ก่อนที่เจ้าจะเข้ามา พวกเราดื่มเหล้าด้วยกันบ่อยๆ และออกไปเที่ยวเล่นด้านนอกวังบ้างบางครั้งน่ะ พออากาศหนาวขึ้น เสด็จพี่ก็คงจะเหงาน่าดู”
ข้อมือของฮอนที่เยื้องกายเข้าใกล้ประตูหลังจากจัดชุดที่หลุดลุ่ยอย่างลวกๆ ถูกฉกฉวยไปอย่างแรง รยูฮาปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าของเขาที่กลับหลังหันตามธรรมชาติ เมื่อใบหน้าถูกระดมจูบอย่างหนักต่อเนื่องและไร้สติ ฮอนจึงระเบิดหัวเราะออกมาพลางสวมกอดรยูฮาและกระซิบอย่างหวานหยดข้างใบหู
“ข้าจะกลับมาทันทีที่ตะวันขึ้น พักผ่อนให้เต็มที่เถอะ”
“จะเข้ามากวนอีกตอนที่หม่อมฉันนอนอยู่หรือเพคะ”
“หากไม่ใช่ตอนนั้น ก็แทบจะไม่มีตอนไหนที่กวนใจเจ้าได้อย่างเต็มที่แล้วนะ”
ประตูถูกเปิดออกราวกับตัดบทการร่ำลาอันน่าเสียดายที่ดำเนินต่อไปไม่จบไม่สิ้น แววตาของคนรักทั้งสองโอบกอดกันและกันจนกระทั่งประตูถูกปิดลงอย่างช้าๆ ฮอนใช้ปลายนิ้วไล้ริมฝีปากที่รยูฮาระดมจูบเมื่อครู่แล้วออกไปยังโถงทางเดินหนาวเหน็บ ชานกำลังรอฮอนอยู่ตรงสุดทางนั้น พี่น้องต่างท้องที่ต่างกับเขาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็มีความคล้ายคลึงกันอย่างน่าประหลาด คอยเฝ้าดูแลและหวงแหนฮอนเสมอมา
“เสด็จพี่”
“ดูเหมือนว่าข้าไม่ควรจะมาหาสินะ สีหน้าถึงดูไม่ดีเลย”
“ไม่หรอก พระชายาก็เพิ่งจะหลับไปน่ะ อย่าได้เป็นกังวลเลย”
แม้ความสัมพันธ์จะห่างไกลกัน แต่ความชื่นชอบของฮอนที่มีต่อชานก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และยิ่งเป็นเช่นนั้นมากขึ้นเมื่อไม่มีรยูฮามาคั่นกลาง ฮอนตีแขนชานเบาๆ อย่างไม่มีเหตุผล ก่อนจะเดินขนาบข้างผ่านพระราชวังที่ถูกปกคลุมด้วยน้ำค้างยามค่ำคืนไปด้วยกัน การอยู่ด้วยกันกับรยูฮาเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็คิดว่าการได้เดินเล่นกับเสด็จพี่สองคนแบบนี้ก็ไม่เลวเช่นกัน
“จำได้หรือไม่ ในฤดูนี่แหละ ที่พวกเราแอบขโมยถ่านในเตาไฟที่ยังคุอยู่ออกมาเล่นจนเกือบเผาพระราชวังเสียแล้ว”
“…อ้า อย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมลืมไปเสียสนิท”
เปล่าหรอก ความจริงแล้วยังไม่ลืม วันนั้นน่าจะเป็นฮอนที่แอบขโมยถ่านที่ยังคุอยู่ใส่ในขันน้ำว่างเปล่าออกมา แต่เพราะว่าชานถูกพระราชาเรียกไปตำหนิอย่างรุนแรงแทนที่จะเป็นฮอนซึ่งเป็นองค์รัชทายาท พระสนมเอกมุนที่รีบวิ่งมาหลังจากได้ยินข่าวนั้นจึงนั่งคุกเข่าลงข้างๆ ชาน แล้วขอประทานอภัยโทษให้แก่ชาน ทันทีที่ได้ออกมาข้างนอก ชานก็ถูกมารดาตบหน้าต่อหน้านางในทั้งหลายที่กำลังจับจ้องและล้มลงไปกับพื้นเย็บเฉียบ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถร้องไห้ออกมาได้ ไม่เป็นไร เขาคิดว่าไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ในตอนนั้น
“หากเสด็จพี่ไม่รีบถอดเสื้อเพื่อดับไฟ ข้าก็คงจะไม่ได้ยืนอยู่ที่นี่ในตอนนี้”
“โชคดีน่ะพ่ะย่ะค่ะ เพราะถ้าหากลมพัดแรงถึงขนาดนี้ เปลวไฟก็คงจะลุกลามอย่างเร็วเป็นแน่”
หากในตอนนั้นไฟไม่ดับ ถ้าหาก ถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้น พระชายาก็คงจะเป็นผู้หญิงของข้าหรือเปล่านะ ถ้าหากไม่มีเจ้า พระชายาจะสามารถเป็นผู้หญิงของข้าได้ใช่ไหม ในขณะที่คำว่า ‘ถ้าหาก’ ถูกบิดเบือนในหัวของชานนับครั้งไม่ถ้วน รู้ตัวอีกทีพวกเขาทั้งสองก็เดินผ่านสวนด้านหลังมาจนถึงวังจงซูแล้ว
“นำเหล้าที่ดีที่สุดมาและเตรียมโต๊ะเหล้าด้วย”
ชานเข้าขวางคำพูดของฮอนที่สั่งนางในซึ่งยืนโค้งศีรษะอยู่
“อ๋อ ข้าเตรียมเหล้ามาแล้ว เป็นเหล้าที่ได้รับพระราชทานมาจากฝ่าบาทในตอนที่เดินทางไปแถบชายแดนมาครั้งที่แล้วน่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้ข้าดื่มสุราล้ำค่าขนาดนั้นเชียวหรือ”
“ก็เพราะสุรานั้นล้ำค่า กระหม่อมจึงนำมาให้องค์รัชทายาทอย่างไรเล่า”
ชานยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับเขย่าขวดเหล้าสีเขียวหยกที่รับมาจากมือของขันทีซึ่งเดินตามมาจากด้านหลังให้ดู เนื่องจากกลับมาโดยไม่สามารถทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วงได้ เสด็จพ่อจึงเลื่อนการแต่งตั้งยศออกไปพร้อมกับพระราชทานเหล้าขวดนี้ให้ด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่ได้แต่งตั้งเขาให้เป็นชินวัง แต่ชานก็อ่านออกว่าในใจของพระราชาได้ยอมรับฮอนให้เป็นองค์รัชทายาทเรียบร้อยแล้วได้จากแววตานั้น
“รสชาติของเหล้าช่างดีเสียจริง สงสัยคงเป็นเพราะเสด็จพี่มอบให้กระมัง”
เหล้าหนึ่งแก้วหมดไปก่อนที่กับแกล้มจะถูกนำเข้ามาถวาย
“ดื่มช้าๆ หน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ เหล้าที่เลิศล้ำแบบนี้มันแรงนัก”
จ๊อก เหล้าใสไหลลงมาในแก้วเหล้าว่างเปล่าอีกครั้ง ฮอนมองดูแสงไฟตะเกียงที่กระเพื่อมอยู่ในนั้นก่อนจะยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย ในค่ำคืนนั้นที่นำเหล้าไปหารยูฮา แสงไฟตะเกียงก็เต้นระบำอยู่ในแก้วเหล้าอย่างวันนี้เช่นกัน
“ฝ่าบาท โต๊ะเหล้าพ่ะย่ะค่ะ”
“เข้ามาสิ”
ขณะที่สายตาของฮอนมองตรงไปยังประตูสักครู่ ชานก็นำยาเม็ดออกมาใส่ปากอย่างรวดเร็วปานฟ้าแลบแล้วจึงยกแก้วเหล้าขึ้นมา ฮอนหันหน้ากลับมามองชาน ก่อนจะยกแก้วเหล้าของตนเองขึ้นมาชนแก้วกันกลางอากาศ
“บอกแล้วไงให้ดื่มช้าๆ”
บนใบหน้าของน้องชายที่กระดกเหล้าแล้ววางลง มีภาพของพระสนมยอนผู้ซึ่งเป็นแม่ให้เขาเมื่อครั้งยังเด็กซ้อนทับอยู่ ชานทอดสายตามองอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะเสวยทีละอย่างเพื่อเก็บซ่อนนัยน์ตาที่สั่นไหว
“แรงใช้ได้เลย รู้สึกเริ่มร้อนข้างในแล้ว”
แต่ถึงอย่างนั้นฮอนก็ยกขวดเหล้าขึ้นมาแล้วเติมแก้วที่ว่างเปล่าอีกครั้ง ช่างเป็นวันที่ดีอย่างประหลาด ได้ใช้เวลาร่วมกันกับรยูฮวาทั้งวัน แถมชานยังนำเหล้าอันล้ำค่าที่มีเพียงขวดเดียวบนโลกมาให้อีก หากทุกวันเป็นเหมือนอย่างวันนี้ก็ไม่ขออะไรอีกแล้ว
“เสด็จพี่มอบตำแหน่งองค์รัชทายาทให้แก่ข้า ทั้งยังแบ่งปันเหล้าอันล้ำค่านี้ให้อีก แต่ข้ากลับไม่เคยมอบสิ่งใดให้แก่เสด็จพี่เลย”
“กระหม่อมไม่รู้ว่าฝ่าบาทกำลังพูดเรื่องอะไร กระหม่อมมีอำนาจอันใดถึงขนาดมอบตำแหน่งองค์รัชทายาทให้แก่ฝ่าบาทได้อย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฮอนยิ้มแย้มพลางกระดกเหล้าดื่ม รอยยิ้มนั้นทำให้ผู้ที่เห็นยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว จริงๆ แล้วฮอนมีความคล้ายคลึงกับแม่บังเกิดเกล้าของเขาอย่างยิ่ง
“ข้ารู้หมดแล้ว ข้าเองก็มีหูมีตาเหมือนกันนะ อันที่จริงแล้วข้าก็ตั้งใจจะมอบตำแหน่งนั้นคืนให้ แต่ข้าไม่สามารถทำได้”
“เพราะเช่นนั้นจึงทำตัวเสเพลไปทั่วงั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ เพื่อที่จะยกตำแหน่งนั้นคืนให้กระหม่อม?”
ฮอนไม่ได้รับรู้เลยว่าน้ำเสียงของชานนั้นสั่นไหว ช่างเป็นเหล้าที่แรงจริงๆ ความร้อนระอุที่แผ่กระจายไปทั่วท้องทำให้สติเริ่มเลือนราง ฮอนคิดว่าควรจะหยุดดื่ม แล้วจึงพูดข้อความสุดท้ายออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ใช่แล้วล่ะ แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่แล้ว เพราะข้ามีเหตุผลที่จะต้องรักษาตำแหน่งนี้เอาไว้ให้ได้ แต่เมื่อใดก็ตามที่เสด็จพี่ต้องการ ข้า…”
‘จะอยู่ตรงนี้เสมอ’ ตุ้บ แก้วเหล้าร่วงหล่นไปจากมือแทนคำพูดที่กำลังจะเอ่ยออกไป ชานรับร่างกายของน้องชายที่ดิ่งลงสู่พื้นไว้ไม่ได้ ทัศวิสัยของเขาเลือนรางและร่างกายของเขาก็ไม่มีแรงเช่นกัน ปลายนิ้วของชานที่ยื่นออกไปอย่างยากเย็นสัมผัสกับฮอน เสียงกรีดร้องของเหล่านางในที่วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนดังก้องไปทั่วพระราชวัง
* * *