วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 10-11 / ตอนที่ 11-1
ตอนที่ 10-11
ชานกัดฟันกรอดพลางก้มลงมองพระสนมเอก แล้วจู่ๆ ก็ยิ้มกว้างออกมาพร้อมกับคุกเข่าลงกับพื้น เศษกระเบื้องอันแหลมคมทะลุผ้าเข้าไปบาดหัวเข่าจนเลือดออก แต่เขาไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเลย ราวกับไม่รู้สึกได้แม้กระทั่งความเจ็บปวด
“หากกระหม่อมได้ขึ้นครองราชบัลลังก์จะถวายทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ ได้นั่งในตำแหน่งพระพันปีที่ทรงประสงค์และใช้อำนาจได้เต็มที่ รวมถึงจะมอบยศตำแหน่งขุนนางของท่านตาคืนให้ด้วย เท่านี้ก็น่าจะเป็นการตอบแทนที่เพียงพอแล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
บนมือเรียวของพระสนมเอกสวมแหวนอยู่มากมายจนดูอ่อนแรงเกินกว่าจะจัดการเรื่องนั้นได้ มือสั่นเทานั้นถูกยกสูงขึ้นไปกลางอากาศ พระสนมเอกที่ไม่กล้าตบตีเขาทรุดนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง เลือดแดงฉานของลูกชายแผ่กระจายไปบนพรมสีขาวราวกับหิมะที่กองอยู่ตรงหน้าต่าง
“กว่าแม่คนนี้จะได้อำนาจมาอยู่ในมือ เจ้ารู้หรือไม่ว่ามือนี้เปื้อนเลือดมามากขนาดไหน องค์รัชทายาท”
“เสด็จแม่ทรงต้องการอะไรอีกไหมพ่ะย่ะค่ะ เพชรพลอย? หรือว่าน้ำมันหอมอันล้ำค่าที่มีหนึ่งเดียวในโลก?”
“…เจ้าออกไปเสียเถอะ ข้าขอลองคิดดูสักหน่อยแล้วจะส่งข่าวกลับไป”
แค่บอกว่าจะลองคิดดู แต่ดูเหมือนว่าชานจะเข้าใจว่ามันหมายถึงการตกลงยินยอม หลังจากที่เห็นเขาปัดชุดแล้วลุกขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่สดใสขึ้นในชั่วพริบตาก่อนจะเดินออกไปข้างนอกอย่างอารมณ์ดี เหล่าข้าราชบริพารตกใจกับสภาพของชานที่ออกมาข้างนอก เพราะมีคราบน้ำชากับเลือดติดเต็มตัวไปหมด แต่เขากลับไปยังวังจงซูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“คือว่า พระสนมเอกเพคะ”
“ออกไปซะ ค่อยมาทำความสะอาดทีหลัง”
เหล่านางในที่เข้ามาเพื่อทำความสะอาดภายในห้องที่เละเทะไปหมดเรียกพระสนมเอก แต่ก็ต้องถอยกลับไปอย่างลุกลี้ลุกลนเพราะเสียงอันเฉียบคม นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระสนมเอกต้องการ นางเพียงแค่ต้องการที่จะปกป้องลูกชายเท่านั้น มันผิดพลาดตั้งแต่ตรงไหนกันนะ ในความทรงจำของพระสนมเอกที่รำลึกถึงอดีตปรากฏภาพของผู้หญิงคนหนึ่งกับตัวนางเองที่นั่งอยู่ข้างหน้านั้นขึ้นมาอย่างชัดเจน
‘เจ้าบอกว่าหมู่นี้ ความโปรดปรานของฝ่าบาทไม่เหมือนแต่ก่อนอย่างนั้นหรือ’
เครื่องประดับที่ติดอยู่ตรงปลายเล็บกระทบกัน และส่งเสียงนุ่มนวลออกมาทุกครั้งที่พระมเหสีขยับนิ้ว
‘หม่อมฉันจะรักษาความโปรดปรานเช่นนั้นไว้ได้อย่างไรเพคะ’
คำตอบที่ใจเย็นของพระสนมเอกมุน ทำให้มือของพระมเหสีหยุดเล่นสนุกและย่นหน้าผากสวยราวกับอึดอัดใจ
‘เจ้านี่ก็ช่าง เรื่องความโปรดปรานเป็นปัญหาเสียที่ไหนเล่า ไม่รู้หรืออย่างไรว่าสิ่งนั้นแหละที่ทำให้บุตรชายของเจ้า องค์ชายสองถูกผลักออกไปและทำให้องค์ชายสามได้เป็นองค์รัชทายาท!’
‘…นั่นอาจจะไม่ใช่พระประสงค์ของฝ่าบาทก็ได้นะเพคะ’
พระมเหสีมองดูพระสนมเอกมุนที่ไม่ไขว้เขวแม้แต่น้อยด้วยแววตาเวทนา ท่าทางที่หนักแน่นแบบนี้ และท่าทางคล้ายผู้ชายซึ่งให้ความสำคัญกับเรื่องกฏเกณฑ์ข้อบังคับ โดยไร้ซึ่งชั้นเชิงในการยั่วผู้ชายและเล่ห์กลในการใช้ประโยชน์จากรอบข้างอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้พระราชาเหินห่างออกไปก็ได้
‘องค์ชายสองวางตัวสง่าและมีความปราดเปรื่องไม่สมกับอายุ เขาอาจจะเหมือนเจ้าก็ได้’
‘หมายความว่าอย่างไรหรือเพคะ’
‘หากองค์ชายสามได้ขึ้นครองราชบัลลังก์ องค์ชายสองก็อาจจะขู่เข็ญองค์ชายสามโดยไม่คำนึงถึงเจตจำนงของตนเอง ซึ่งจุดจบขององค์รัชทายาทที่ถูกผลักลงมาจากตำแหน่งก็คงจะไม่พ้นการตายที่ผิดธรรมชาติ’
ไม่ใช่ว่านางไม่เคยคิดเช่นนั้น ในเมื่อไม่ได้เป็นองค์รัชทายาท ความเฉลียวฉลาดของชานจึงกลับกลายเป็นภัยคุกคามอันยิ่งใหญ่ต่อชีวิตของเขา ประวัติศาสตร์มักจะบ่งบอกถึงอนาคตที่ใกล้เข้ามาเสมอ และประวัติศาตร์ของประเทศชาติซึ่งเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดกำลังบอกว่าเลือดของบุตรชายจะต้องหลั่งลงบนนั้น
แววตาของพระสนมเอกมุนซึ่งสั่นไหวเป็นครั้งแรกทำให้มุมปากของพระมเหสีซึ่งกำลังมองนางอยู่โค้งขึ้นด้วยความพึงพอใจ เกือบจะสำเร็จแล้ว จะมีอะไรที่จัดการได้ง่ายดายเท่ากับแม่ผู้มีลูก
‘ข้ารักองค์ชายสองมากนะ แม้ในความเป็นจริงองค์ชายหนึ่งจะเป็นบุตรแท้ๆ ของข้า แต่ด้วยร่างกายที่อ่อนแอเป็นอย่างมาก อย่าว่าแต่ราชบัลลังก์เลย แค่ลุกขึ้นมานั่งยังลำบากเลยไม่ใช่หรือ หากเจ้าได้รับความโปรดปรานกลับคืนมาอีกครั้งก็จงช่วยเหลือองค์ชายสองให้เต็มทีเสียเถอะ’
‘แล้วหม่อมฉันจะสามารถเรียกความโปรดปรานที่หมดไปแล้วให้กลับมาได้อย่างไรเพคะ’
‘ข้าบอกแล้วไงว่าจะช่วย ทั้งหมดก็เพื่ออนาคตของประเทศชาติของเรา องค์ชายสามมีนิสัยขี้ใจอ่อนอยู่แล้วจึงไม่น่าเกินกำลังความสามารถหรอก’
พระมเหสีหยิบถุงขนาดเล็กออกมาจากหน้าอก พร้อมกระซิบอย่างอ่อนหวาน นางเปิดสิ่งนั้นด้วยท่วงท่าที่งดงามและคว่ำมันลงบนฝ่ามือ ปรากฏให้เห็นขวดสีขาวที่มีขนาดเล็กกว่านิ้วมือ
‘ไร้รส ไร้กลิ่น ไม่ทิ้งร่องรอยเหมือนกับปลาในน้ำจึงเรียกกันว่าปลาใต้น้ำ จงเอาสิ่งนี้ให้พระสนมเอกยอนกินซะ’
‘ไม่ได้เพคะ!’
พระสนมเอกมุนกรีดร้องออกมาโดยไม่รู้ตัวพลางส่ายหน้า วางยาพิษพระสนมเอกยอนอย่างนั้นหรือ นางรู้ดีกว่าใครว่าคนที่ชานพึ่งพิงยิ่งกว่าตนผู้เป็นแม่คือพระสนมเอกยอน แม้ว่าจะไม่แสดงออกและเพิกเฉยใส่เสมอ แต่นางก็รู้สึกขอบใจพระสนมเอกยอนจากใจจริงที่คอยปลอบประโลมจิตใจของลูกชายตนเองอยู่เสมอ
‘ใจร้อนอะไรกันเล่า ข้าบอกตอนไหนหรือว่าจะให้ฆ่า’
พระมเหสีคลี่มือของพระสนมเอกมุนที่กำไว้แน่นและยัดขวดเล็กๆ นั่นใส่มือ
‘หนึ่งหยดจะทำให้เป็นอัมพาตไปทั้งตัว สองหยดจะทำให้หมดสติและหลับใหลยาวนาน ส่วนสามหยดจะทำให้ตาย ใช้แค่สองหยดก็พอ ถ้าอย่างนั้นแล้วพระสนมเอกยอนก็จะไม่ตื่นขึ้นมาเป็นเวลาสิบวัน ในระหว่างนั้นเจ้าจงอยู่เคียงข้างฝ่าบาทและฟื้นคืนความรักของพระองค์มาให้ได้’
นิ้วมือที่รับมันมาเหมือนถูกสะกดด้วยอะไรบางอย่าง ทั้งที่ในตอนนั้นนางไม่ได้สวมแหวนอยู่เลย
แต่ทว่าหลังจากที่พระสนมเอกยอนที่นอนสลบไสลจากโลกนี้ไปด้วยมีดของผูู้ลอบสังหาร พระสนมเอกก็เริ่มยึดติดกับสิ่งของหรูหราอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพชรพลอยและมู่ลี่ที่รวบรวมมาได้ทั้งจากทรัพย์สมบัติของครอบครัว หรือทรัพย์สินส่วนพระองค์ก็ยังไม่ทำให้นางรู้สึกว่าเพียงพอ ราวกับว่าที่ทำเช่นนี้ก็เพื่ออำพรางกลิ่นคาวเลือด
ยอมแพ้กับการเป็นมนุษย์และกลายเป็นปีศาจ ในระหว่างที่นางกำลังดิ้นรนเพื่อช่วยเหลือลูกชาย พระมเหสีก็สวมหน้ากากของแม่ที่รักและเมตตาเลี้ยงดูองค์ชายสามด้วยความเอาใจใส่ จนสุดท้ายก็ทำให้องค์ชายสามได้เป็นองค์รัชทายาท
มันคือการต่อสู้ที่ไม่สามารถเทียบกันได้อยู่แล้วตั้งแต่แรก แต่ในตอนสุดท้ายผู้ที่ชนะก็คือพระสนมเอก นางคิดเช่นนั้นในตอนที่ชานได้รับการแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาทไร้ซึ่งผู้ที่จะมาสั่นคลอนตำแหน่ง
แต่สุดท้ายแล้วชานก็ตาย จิตใจของชานเริ่มตายจากไป แหวนมากมายที่ถูกถอดออกจากนิ้วมือของพระสนมเอกถูกโยนลงไปบนรอยเลือดของลูกชายที่ซึมอยู่บนพรมสีขาวราวกับน้ำตา
ตอนที่ 11-1
“เฮงซวยเอ๊ย หิมะก็กระหน่ำตกลงมาเสียจริง”
โฮจินที่ถือพลั่วออกมาโกยหิมะยืดเอวขึ้นพร้อมกับสบถออกมาอย่างรุนแรง
“ปากน่ะ”
ชายหนุ่มที่กำลังคุมไฟของหม้อต้มยาอย่างจริงจังที่สวนหน้าบ้านพูดใส่เขาหนึ่งคำโดยไม่ใส่ใจ โฮจินจึงส่งเสียงชิออกมาและเริ่มโกยหิมะอีกครั้งหนึ่ง ส่วนปากก็ไม่ลืมที่จะบ่นไปเรื่อยเปื่อยว่าแชยอนรออยู่นะทำไมเจ้านั่นถึงยังไม่ตื่นอีก
“ทั้งสองท่านมาทานข้าวเถอะเจ้าค่ะ”
ช่างเป็นเสียงพูดที่น่ายินดี โฮจินปาพลั่วทิ้งก่อนจะวิ่งไปแย่งสำรับอาหารที่หนักมาจากมือของยอนฮวาในทันที
“ท่านขอรับ ข้าบอกแล้วไง จะใช้มืออันบอบบางเช่นนี้จะมาถือของที่หนักกว่าตะเกียบไม่ได้นะ”
“ปาก!”
ชายหนุ่มที่ยังคงจับจ้องหม้อต้มยาส่งเสียงดังออกมาแทนยอนฮวาที่รู้สึกขนลุกกับคำพูดแทะโลม
“ที่นี่ต้องพูดเพราะขนาดไหนหรือขอรับ ท่านหมอ”
“…ท่านพี่”
“อ่อ ขอรับ ท่านพี่”
ใบหน้าที่เงยขึ้นมาพร้อมกับขมวดคิ้วเพราะคำที่เรียกว่าท่านหมอเหมือนกับรยูฮาเป๊ะๆ บุตรชายคนที่สองของครอบครัวตระกูลซอ ซอฮาแบค เขาอ่อนแอมาตั้งแต่เด็กต่างจากพี่น้องคนอื่นๆ ที่มีพรสวรรค์อันโดดเด่นด้านศิลปะการต่อสู้เหมือนกับพ่อแม่ แต่มีสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดเป็นพิเศษ แต่ด้วยเหตุนั้นทำให้เขามาอยู่ที่บ้านพักชั่วคราวซึ่งตั้งอยู่กลางหุบเขาลึกและได้รับหน้าที่ให้ดูแลฮอนด้วยกันกับโฮจิน
“ท่านฮาแบค มาทานด้วยกันสิเจ้าคะ”
“ข้าขอทำอันนี้ให้เสร็จก่อนแล้วค่อยกินขอรับ อีกเดี๋ยวก็เสร็จแล้วขอรับ”
นางค่อนข้างรู้สึกอึดอัดใจกับฮาแบคที่พูดคำสุภาพกับตนเองซึ่งเป็นอย่างมากสุดก็แค่ชนชั้นกลางอยู่เสมอ แต่ตอนนี้เริ่มจะคุ้นชินมากขึ้นแล้ว ยอนฮวากล่าวว่าถ้าอย่างนั้นอีกเดี๋ยวจะตั้งสำรับให้ใหม่นะเจ้าคะ จากนั้นจึงนั่งลงตรงข้ามกับโฮจินและถือช้อนกับตะเกียบขึ้นมา ท่าทางของนางค่อนข้างแตกต่างจากวันแรกที่ใจเต้นตุบๆ เพราะไม่รู้ต้องทำตัวอย่างไรเมื่อร่วมโต๊ะอาหารกับผู้ชาย เพราะนางคืออดีตนางในที่ไม่เคยร่วมโต๊ะกับชายอื่นมาก่อน
“อีกเดี๋ยวช่วยเติมน้ำลงในหม้อให้หน่อยได้ไหมขอรับ”
“จะเช็ดตัวฝ่าบาทอีกแล้วหรือขอรับ”
“พระวรกายขอรับ!”
“เฮ้อ จะพระวรกายหรือตัว ต่างก็เอาใจใส่กันทั้งคู่นั่นแหละขอรับ ท่านก็ด้วย”
ยอนฮวาเหลือบมองโดยไม่พูดอะไรก่อนจะถือช้อนกับตะเกียบขึ้นมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเป็นบ้านพักชั่วคราวที่เดินทางมาพักโดยไม่มีคนรับใช้คอยปรนนิบัติ งานที่ยอนฮวาจะต้องทำจึงมีมากมายนับไม่ถ้วน แม้จะเทียบไม่ได้กับการใช้ชีวิตในพระราชวังที่ได้นอนหลับในห้องที่หญิงรับใช้ปัดกวาดเช็ดถูไว้แล้ว หลังจากเตรียมสำรับอาหารเมื่อถึงเวลาเสวยและทำงานเสร็จ แต่ยอนฮวาก็ชอบช่วงเวลาในตอนนี้ แต่คงจะดีกว่านี้ถ้าหากฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมา
“เจ้านั่นแหละปัญหา ปากของเจ้านั่นแหละที่เป็นปัญหาที่สุด จะว่าไม่ได้ร่ำเรียนก็ไม่ใช่ แล้วทำไมถึงไม่ปรับปรุงแก้ไขเรื่องนั้นเสียทีล่ะ”
ฮาแบคถือหม้อต้มยามาอย่างระมัดระวังและวางไว้ที่มุมหนึ่ง แล้วเขกหน้าผากของโฮจิกด้วยช้อนที่ถืออยู่ในมือ แม้จะไม่ได้เจ็บมากขนาดนั้นแต่ก็รู้สึกแย่อยู่ดี ขนาดตีแรงๆ โฮจินยังรู้สึกเหมือนถูกมดกัด ไม่มีอะไรที่จะเอามาใช้ตีโฮจินได้เลย
“อ้า ท่านหมอนี่ จริงๆ เลย!”
“จงใจพูดว่าท่านหมอใช่ไหม”
“ตอนนี้เพิ่งจะเข้าใจหรือขอรับ”