วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 10-2
พระราชวังและทั่วทั้งประเทศอลหม่านวุ่นวายกันไปหมด เนื่องจากพบยาพิษที่ไม่รู้จักภายในเหล้าที่องค์รัชทายาทกับองค์ชายสองดื่มร่วมกัน ซึ่งนั่นคือเหล้าที่พระราชาเป็นผู้พระราชทานให้ด้วยตนเอง มีเพียงแค่นางในที่ถูกใส่ร้ายป้ายสีตายไปตามกันๆ โดยที่หาเบาะแสไม่เจอแม้แต่อย่างเดียว
พระมเหสีกับพระสนมเอกนั่งอยู่ข้างเตียงโอรสของตนทั้งคืน ส่วนพระพันปีก็ประชวรหนัก ลมหายใจของทั้งคู่ยังคงแผ่วเบาพร้อมกับจับเชือกชีวิตเส้นสุดท้ายไว้อย่างเหนียวแน่น ร่างกายที่เคยแข็งแรงและแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครกลับผ่ายผอมราวใบไม้แห้ง
“องค์ชาย ได้โปรดลืมตาขึ้นมา องค์ชาย…”
แม้แต่พระสนมเอกมุนที่เลื่องลือกันว่าเย็นชาและร้ายกาจก็ยังเป็นแม่ที่ทำอะไรไม่ถูกต่อหน้าบุตรชายที่ความตายมารออยู่ตรงหน้า ภาพอันน่าเศร้าสร้อยที่จับตัวชานเอาไว้พร้อมกระซิบกระซาบ ทำให้แม้แต่เหล่าข้าราชบริพารถึงกับเบือนหน้าพลางกลั้นน้ำตา
“พระสนมเอก ยาสมุนไพรพ่ะย่ะค่ะ”
“เอามาให้ข้า ข้าจะป้อนให้เอง”
ริมฝีปากของบุตรชายที่เคยพรวดพราดเข้ามาหานางและสาดคำพูดที่ทิ่มแทงใจใส่ บัดนี้กลายเป็นไร้สีสันและถูกปิดสนิทราวกับดื่มน้ำในแม่น้ำแห่งความตายเข้าไป พระสนมเอกมุนใช้ปลายนิ้วเปิดปากเขาและใช้เวลายาวนานในการป้อนยาสมุนไพรลงในช่องว่างเล็กๆ นั้นทีละหยดอย่างระมัดระวังตลอดช่วงเวลาสิบเก้าวันโดยไม่ว่างเว้นแม้เพียงวันเดียว และในวันที่ยี่สิบ ชานก็ลืมตาขึ้น ซึ่งเป็นยามเช้าที่มีสายฝนฤดูหนาวตกลงมาเปาะแปะเพิ่มความว้าเหว่
“องค์ชาย องค์ชาย! รีบไปตามหมอหลวงมา! องค์ชายลืมตาแล้ว!”
หยดน้ำตาขนาดใหญ่หยดลงมาจากดวงตาของพระสนมเอกมุนที่ร้องตะโกนด้วยความตื้นตันใจ
“…พระสนมเอก”
น้ำตาของมารดาที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก แต่น้ำเสียงของชานที่เรียกนางกลับไม่มีความอบอุ่นอยู่เลย
“ฮอนล่ะ…”
“ได้ยินมาว่ายังไม่ลืมตาเลย องค์ชาย องค์ชายก็ต้องเข้มแข็งไว้เหมือนกัน ฉะนั้นอย่าเพิ่งกังวลเรื่องคนอื่นและพักฟื้นพระวรกายให้ดีเสียก่อน”
พระสนมเอกมุนพูดเช่นนั้นพร้อมกับนำยาเม็ดขนาดเท่าเล็บมือออกมาจากใต้แขนเสื้อและยัดใส่ปากของชาน ทันทีที่ชานกลืนสิ่งนั้นลงคอไป หมอหลวงที่ใต้ตากลายเป็นสีดำก็วิ่งเข้ามาพอดีและตรวจวัดชีพจรอย่างรีบร้อน
“กระหม่อมขอแสดงความยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ! ตอนนี้ชีพจรคงที่แล้ว เพราะฉะนั้นเสวยยาสมุนไพรอย่างสม่ำเสมอและพักผ่อนให้เพียงพอ พระองค์ทรงผ่านพ้นวิกฤตอันตรายมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
คำพูดที่หมอหลวงกราบทูลให้ทรงทราบ ทำให้มุมปากของชานบิดเบี้ยวขึ้น ไม่มีความคิดที่จะตาย แต่ถึงกระนั้นเขาได้ตายไปแล้ว ชานที่เคยรักและหวงแหนน้องชายยิ่งกว่าใครในโลก ไม่หลงเหลืออยู่ในโลกใบนี้อีกแล้วนับตั้งแต่วินาทีที่ส่งขวดเหล้าไปในมือของน้องชาย
ข่าวที่ว่าชานได้ลืมตาขึ้นแล้วบินไปถึงวังจงซูซึ่งจมอยู่ในความระทมทุกข์ สีหน้าของพระมเหสีซีดเซียวเฉกเช่นวันนั้นที่ได้เห็นฮอนหมดสติเป็นครั้งแรก รยูฮาที่นั่งอยู่ข้างๆ กันก็ลูบฝ่ามือที่อยู่นอกผ้าห่มด้วยสีหน้าไร้อารมณ์อย่างนิ่งเงียบ
“หากดื่มยาพิษแบบเดียวกันเข้าไปแล้วหมดสติ ทำไมถึงมีเพียงแค่องค์ชายสองที่ฟื้นขึ้นมาล่ะ!”
“เดิมทีองค์ชายสองทรงมีพระวรกายแข็งแรงกว่าองค์รัชทายาทอยู่แล้วและ… ปริมาณเหล้าที่เสวยร่วมกัน ดูเหมือนองค์ชายสองจะเสวยน้อยกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
ความโกรธเกรี้ยวของพระมเหสีพุ่งเข้าใส่ขันทีที่ไม่มีความเกี่ยวข้อง หากฮอนไม่ฟื้นขึ้นมาแบบนี้ ตำแหน่งองค์รัชทายาทก็จะตกไปเป็นของชาน และพระสนมเอกมุนก็จะได้อำนาจครองตำแหน่งพระพันปี ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ผู้ที่จะโดนกำจัดแรกสุดจะเป็นใครไปได้ นอกเสียจากคนที่คอยดูแลองค์ชายหนึ่งและนางที่ไม่สามารถได้รับทั้งความรักใคร่เป็นพิเศษจากพระราชา รวมถึงวงศ์ตระกูลที่มีอำนาจ
“จริงสิ องค์ชายฟื้นแล้ว ข้าคงจะต้องไปเยี่ยมด้วยตัวเองเสียหน่อย พระชายาช่วยอยู่เฝ้าองค์รัชทายาทด้วยนะ อย่าให้ใครเข้ามาใกล้โดยเด็ดขาด”
หากละสายตาไปเพียงชั่วครู่ อาจมีใครบางคนมาตัดลมหายใจเฮือกสุดท้ายของฮอนก็เป็นได้ เหมือนเช่นวันนั้นที่พระสนมยอนถูกตัดเชือกชีวิตที่จับไว้แน่นทิ้ง ความรู้สึกพะวักพะวนนั้นทำให้พระมเหสีกินไม่ได้นอนไม่หลับ หากไม่จำเป็นจริงๆ นางจะไม่ยอมขยับเขยื้อนไปที่ไหน และถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ นางคงต้องฝากฝังไว้กับพระชายา ผู้ที่นางสามารถไว้ใจได้เพียงหนึ่งเดียว
“…ฝ่าบาท”
หลังจากที่พระมเหสีออกไป ภายในห้องจึงเหลือแค่เพียงแค่ความเงียบสงบอันเยือกเย็นและคนสองคนเท่านั้น รยูฮาที่เอาแต่นั่งอยู่เฉยๆ โดยไม่ได้พูดอะไร จับมือของคนรักแนบลงที่ใบหน้าของตนเอง
“ได้โปรดกลับมาทันทีทีที่ตะวันขึ้นนะเพคะ ไปที่วังจางชุนแล้วเดินเล่นด้วยกันที่สวน และหากข้างนอกหนาว ฝ่าบาทได้โปรดกอดหม่อมฉันไว้ด้วยเพคะ หากฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมา หม่อมฉันจะทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ฝ่าบาททรงขอเลยเพคะ โปรดอดทนไว้อีกนิดนะเพคะฝ่าบาท…”
ฮอนไม่ได้ยินเสียงที่พึมพำเงียบๆ ซึ่งคล้ายกับร้องเพลงและยังคงนอนอยู่อย่างนั้น ดวงตาที่มีแต่รยูฮาซ่อนตัวอยู่หลังเปลือกตาที่ปิดสนิทไม่ยอมเผยตัวออกมา มีเพียงเสียงฝนที่ตกลงมาสู่พื้นดินเท่านั้นที่ส่งคำตอบที่ไม่รู้ความหมายให้นาง
ไร้เรี่ยวแรง รยูฮาสูญเสียแสงสว่างและจมอยู่กับภาวะไร้เรี่ยวแรงที่ไม่สามารถทำอะไรได้ โดยที่ยังคงจับมือของคนรักที่ราวกับจะจากไปได้ทุกเมื่อ
* * *
“พระชายา องค์ชายสองขอเข้าเฝ้าเพคะ”
“ทูลองค์ชายว่าตอนนี้ข้าไม่สามารถไปพบได้”
ชานได้สติหลายวันแล้ว เขาที่ลุกขึ้นมาได้ก่อนฟื้นฟูสุขภาพร่างกายอย่างรวดเร็ว จนสามารถเดินเหินได้ในเวลาไม่นาน แต่ฮอนที่ยังไม่ฟื้นขึ้นมาก็ยังคงจับเชือกชีวิตที่สั่นไหวอย่างน่าเป็นห่วงราวกับแสงเทียนที่อยู่ตรงหน้าลมไว้อย่างยากลำบากต่อไป ส่วนรยูฮาก็ยืนขวางหน้าลมนั้นพร้อมกับโอบกอดฮอนด้วยความอดทน
“พระชายา กระหม่อมขอเข้าไปนะพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อชานดึงดันจะเข้ามา มือของมินอาจึงกำด้ามจับดาบเอาไว้ทันที แม้จะไม่ได้ชักดาบออกมาเพราะที่แห่งนี้คือพระราชวัง ส่วนฝ่ายตรงข้ามก็เป็นองค์ชาย แต่ก็เป็นอากัปกิริยาที่แสดงให้เห็นถึงการป้องกันและการปฏิเสธพอตัว
“พระชายาทรงไม่ประสงค์เช่นนั้น โปรดเสด็จมาใหม่คราวหลังเถอะเพคะ”
“บาดเจ็บสินะ”
เห็นได้ชัดว่ามินอาซึ่งถนัดมือขวาจับดาบด้วยมือซ้าย นอกจากนั้นแล้วหน้าอกที่ควรจะต้องนูนออกมาเล็กน้อยจากใต้ร่มผ้าก็ราบเรียบ นั่นหมายความว่าตัวของนางถูกพันด้วยผ้า หลังจากรู้เช่นนั้น แทนที่จะถอยหลังกลับไป ชานกลับขมวดคิ้วหนานิดๆ พร้อมกับถกแขนเสื้อข้างขวาของนางขึ้นเล็กน้อย มินอาผงะนิดหน่อยและกำด้ามจับดาบแรงขึ้น
“โปรดนำมือของพระองค์ออกไปด้วยเพคะ”
รู้ว่าอย่างไรนางก็ไม่สามารถฟันได้ ชานจึงไม่สนใจและปล่อยมือหลังจากตรวจสอบผ้าฝ้ายสีขาวที่ถูกซ่อนใต้แขนเสื้อ
“ไปทำอะไรมาถึงได้บาดเจ็บ”
“มีการทะเลาะกันเล็กๆ น้อยๆ เพคะ ท่านทั้งสองควรจะต้องพักผ่อน ดังนั้นโปรดเสด็จกลับไปเถอะเพคะ”
ไม่มีอะไรต้องรีบร้อน เพราะอย่างไรก็ตามฮอนที่ไม่ได้รับยาถอนพิษจะค่อยๆ นอนตายไปอย่างช้าๆ และพระชายาก็จะกลายเป็นผู้หญิงของตน ชานพยายามสงบจิตใจที่วู่วามเพราะความคิดนั้นก่อนจะหันเท้ากลับไป
“ข้าจะมาอีกในวันพรุ่งนี้”
วันต่อมาและวันต่อต่อมา ชานก็ยังคงมาขอเข้าเฝ้าเรื่อยๆ โดยไม่รู้จักเหนื่อย แต่รยูฮวาก็ไม่ย่างกรายออกมาข้างนอกแม้แต่ก้าวเดียว และมินอาก็ไม่มีทีท่าที่จะยอมแพ้อย่างแน่นอน เมื่อใดที่มินอาซึ่งเป็นคนเดียวที่รยูฮาไว้วางใจไม่อยู่ ประตูของวังจงซูก็จะถูกลงกลอนไม่ให้ใครเข้าออกได้ จดหมายที่เขาส่งมอบให้ก็ถูกโยนเข้าไปในกองไฟทั้งที่ยังปิดผนึกอยู่เช่นกัน อันที่จริงรยูฮาก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรพิเศษ เพียงแค่ไม่ต้องการเห็นใบหน้าของเขาที่คล้ายคลึงกับฮอนอย่างประหลาดเท่านั้น
ในอีกด้านหนึ่ง เหล่าเสนาบดีที่มั่นใจแล้วว่าองค์รัชทายาทคงจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกแล้วต่างมารวมตัวกับเจ้ากรมการคลัง ซึ่งมีทั้งพวกที่เป็นกังวลเรื่องความมั่นคงของราชวงศ์ด้วยความบริสุทธิ์ใจ รวมถึงพวกที่คำนวณผลประโยชน์ของตนเองอย่างว่องไว แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังคงลงมติกันอย่างเปิดเผยว่าควรที่จะแต่งตั้งองค์รัชทายาทองค์ใหม่ทุกครั้งที่มีการประชุม
“ฝ่าบาท โปรดทรงแต่งตั้งมูยองวัง องค์ชายสองให้ทรงเป็นองค์รัชทายาทเพื่อสืบทอดราชบัลลังก์ต่อไปด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
“ได้โปรดพ่ะย่ะค่ะ!”
น้ำเสียงของข้าราชบริพารต่างฟังดูไม่พอใจ พระราชารู้ดีอยู่แล้วว่าชานมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นผู้สืบทอด และครั้งหนึ่งก็เคยเลือกเขาให้เป็นองค์รัชทายาทเช่นกัน แต่ทว่านอกจากฮอนจะได้รับการสนับสนุนในฐานะองค์รัชทายาทจากราษฎรอย่างแท้จริงแล้วนั้น ก็คงจะมีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วว่าองค์ชายสองวางยาพิษองค์รัชทายาทเพื่อแย่งตำแหน่งนั้นมาอีกด้วย