วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 10-3
ถ้าหากแต่งตั้งตำแหน่งองค์รัชทายาทให้แก่เขาในตอนนี้ ข่าวลือที่รุนแรงนั่นก็จะติดตัวเขาไปตลอดหลังจากที่ชานได้สืบราชบัลลังก์ นอกจากนั้นแล้วในการตัดสินใจ พระราชาไม่สามารถลบภาพของชานในตอนนี้ที่หมองหม่นและอ่อนกำลังลงต่างจากสมัยก่อนที่มีความเฉลียวฉลาดเป็นเลิศไปได้
“ข้ารู้ว่าพวกท่านพูดด้วยความจริงใจ แต่ว่าองค์รัชทายาทยังคงมีลมหายใจอยู่ ซึ่งพระมเหสีและพระชายาก็คอยดูแลเขาอยู่ด้วยความเอาใจใส่อย่างเต็มที่ ดังนั้นให้เวลาอีกสักพักก็คงจะดีขึ้นมิใช่รึ”
“ฝ่าบาท เงื่อนไขลำดับแรกสำหรับองค์รัชทายาท นั่นคือพระวรกายที่แข็งแรงสมบูรณ์นะพ่ะย่ะค่ะ ซึ่งความมั่นคงขององค์รัชทายาทก็คือความผาสุกของราชวงศ์ หากราชวงศ์ไร้ความผาสุก ประเทศชาติก็จะพลอยไม่มั่นคงไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้ากรมการคลังคือคนที่กระตือรือร้นถึงเพียงนี้เชียวหรือ พระราชามองจำนวนเหล่าเสนาบดีที่หมอบกราบตรงหน้าและยืนกรานให้แต่งตั้งชานเป็นองค์รัชทายาอย่างคร่าวๆ ด้วยพระพักตร์ที่เคร่งเครียด คำนวณแล้วมีจำนวนมากกว่าครึ่ง หากมีจำนวนคนที่ยืนกรานเช่นนี้เพิ่มขึ้นอีกเพียงไม่กี่คน พระราชาก็คงไม่สามารถเพิกเฉยความคิดเห็นนั้นไปได้ มหาเสนาบดีที่มีอำนาจสูงสุดในบรรดาทั้งหมดยังคงปิดปากสนิทและไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ ออกมา
“แม้ว่าองค์รัชทายาทจะยังคงนอนแน่นิ่งอยู่ แต่ข้าก็ยังคงครองบัลลังก์นี้อย่างแข็งแรงอยู่มิใช่หรือ พวกเจ้ามองว่าข้าเป็นชายแก่ใกล้ลงโลงแล้วอย่างนั้นหรือ!”
“มิบังอาจหรอกพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”
“ถ้าไม่ใช่เช่นนั้น แล้วเจ้าบังอาจพูดจาพล่อยๆ เรื่องที่ตำแหน่งองค์รัชทายาทสั่นคลอนได้อย่างไร! ข้าไม่อยากเห็นหน้าพวกเจ้าแล้ว ออกไปเดี๋ยวนี้!”
เสียงตวาดแข็งกร้าวของพระราชาที่ปกติแล้วจะไม่ตะโกนทำให้เหล่าเสนาบดีม้วนหางถอยกลับออกไป แต่ก็ถอยไปได้สักพักเท่านั้น เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เข้ามาโวยวายขอให้เปลี่ยนองค์รัชทายาทอีกเหมือนเดิม พระราชามองดูแผ่นหลังของพวกเขาอย่างขมขื่น พลางตรัสกับขุนนางที่โค้งคำนับและออกไปข้างนอกเป็นคนสุดท้ายอย่างแผ่วเบา
“ท่านมหาเสนาบดีมาที่ห้องทำงานของข้า”
ขณะที่พระราชากำลังเล่นสงครามประสาทที่ตึงเครียดกับเหล่าเสนาบดีอยู่นั้น มินอาลงกลอนประตูทางเข้าของวังจงซู จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปยังที่พัก ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยนัก นางรู้ว่าตนเองคือคนเดียวที่รยูฮาไว้วางใจจึงไม่ไปไหนเว้นเสียแต่งีบหลับช่วงครึ่งวันเช้า แม้แต่ตอนกินข้าวก็ยืนกินข้าวปั้นอย่างง่ายๆ หรือไม่ก็กินสำรับอาหารที่ถูกนำมาถวายให้รยูฮาเล็กๆ น้อยๆ บาดแผลที่ดีขึ้นมาแล้วจึงค่อยๆ ปริออกจนตอนนี้มีเลือดไหลออกมา หากไม่รักษาในตอนนี้อาจจะเป็นตนเองนี่แหละที่ทรุดลงไปก่อน เมื่อรู้เช่นนี้แล้วนางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากมุ่งตรงไปยังที่พัก
“เฮ้อ”
ผ้าฝ้ายเปื้อนเลือดปรากฏออกมาทันทีหลังจากที่มินอาถอดเสื้อออกพร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆ แขนข้างขวาแทบจะหายสนิทแล้วเพราะการระมัดระวังอย่างมากที่สุด แต่รอยแทงที่ลึกลงไปถึงแนวกระดูกสันหลังซึ่งเกร็งอยู่ตลอดในระหว่างที่ยืนกลับไม่มีทีท่าที่จะสมานกันเลย หลังจากผ่อนคลายได้สักพัก จู่ๆ นางก็กำดาบที่ชักออกมาและจ้องมองไปทางประตู เพราะสัญญาณที่ไม่คุ้นเคยซึ่งรู้สึกได้จากด้านนอก
“ใครน่ะ”
“ข้าเอง”
เป็นเสียงที่คุ้นหู แต่จากที่มินอารู้ เสียงนั้นไม่น่าจะมาอยู่ตรงนี้ได้และไม่ควรจะมาอยู่ตรงนี้ด้วย
“…องค์ชาย?”
“ข้าจะเข้าไปนะ”
ชานเปิดประตูเข้ามาทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้พูดอะไร มินอาจึงรีบดึงเสื้อผ้ามาบังตัวไว้ แต่ยังคงไม่ปล่อยดาบที่ถืออยู่ในมือซ้าย
“บาดเจ็บหนักเลยสินะ”
“โปรดออกไปเพคะ”
“ดูเหมือนว่าตรงหลังมีเลือกออกด้วยนี่”
มีรอยเลือดชัดเจนบนเสื้อผ้าที่ปิดบังหน้าอกอยู่ คนที่ความสามารถเก่งกาจอย่างมินอาบาดเจ็บที่หลังอย่างนี้ มีความเป็นไปได้ที่จะไม่ใช่การต่อสู้ของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ภาพสถานการณ์เข้าตาจนถูกวาดขึ้นในหัวไปพร้อมกับรู้สึกสงสารหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มินอาที่กุมบาดแผลที่มีเลือดไหลเพียงลำพังในตอนสุดท้ายของการต่อสู้อันโดดเดี่ยว เพราะนางกำลังจะประสบกับความเจ็บปวดที่มหาศาลยิ่งกว่าบาดแผลนั้นจากสิ่งที่ชานกำลังจะทำต่อไปนี้
“คงจะต้องทายาแล้วค่อยพันแผลใหม่ ทำเองคนเดียวได้ไหม”
“ไม่ต้องสนพระทัยหม่อมฉันหรอกเพคะ”
ชานเมินเฉยคำตอบของมินอาที่เชือดเฉือนราวกับดาบและเดินดุ่มเข้ามาจับไหล่ที่มีบาดแผลให้หันกลับไปนั่ง ผ้าฝ้ายสีขาวเต็มไปด้วยเลือดอย่างที่คาดไว้ ทั้งยังเห็นรอยเลือดที่เปลี่ยนไปเป็นสีน้ำตาลเหมือนกับว่าไม่ได้ทำแผลเป็นเวลานานแล้ว ชานจิ๊ปากเบาๆ ก่อนจะดึงปมออก
“อยู่นิ่งๆ นะ”
รอยแผลถูกแทงบนแผ่นหลังของมินอาที่มีกล้ามเนื้อมัดเล็กๆ นูนขึ้นมาถูกลากยาวตั้งแต่บนลงล่าง บาดแผลที่ไม่ใช่เล็กๆ นั้นปริออกทั้งสองข้างจนมีเลือดซึมออกมา พอชานนำผ้าเช็ดหน้าที่เอาออกมาจากอกไปชุบน้ำและซับแผ่นหลังอย่างระมัดระวัง เอวที่แข็งแกร่งจึงสะดุ้งเบาๆ และพยายามอดทนกับความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนเอาไว้
“เจ็บรึ”
“ไม่เพคะ”
“ยาล่ะ”
“…อยู่บนโต๊ะเพคะ”
มินอากัดฟันแน่นทุกครั้งที่ชานปาดยาไว้ที่ปลายนิ้วและป้ายลงบนแผลอย่างระมัดระวัง แยกไม่ออกเลยว่าเจ็บแผลหรือเจ็บหัวใจกันแน่ แต่ก็รู้เป็นอย่างดีว่าความมีน้ำใจและไมตรีที่องค์ชายแสดงให้เห็นในตอนนี้ไม่ใช่ส่วนของตนอย่างแน่นอน
หากผ่าหัวใจออกครึ่งหนึ่ง หัวใจดวงนี้จะถูกผ่าไปด้วยไหมนะ ขณะที่ความคิดและความต้องการไร้สาระกำลังปลุกปั่นอยู่ภายในหัวของมินอานั้นเอง ชานก็กางผ้าฝ้ายผืนใหม่ออกหลังจากเช็ดนิ้วมืออย่างลวกๆ
“ข้าขอเสียมารยาทสักครู่หนึ่งนะ”
“อันนี้ เดี๋ยวหม่อมฉันทำเองเพคะ”
“ถ้าขยับแขน แผลมันจะปริยิ่งกว่าเดิม”
มือที่ถือผ้าฝ้ายขยับเข้ามาตรงด้านล่างแขนของมินอา เฉียดผ่านผิวเปลือยและถูกดึงไปด้านหลังอีกรอบ ลมหายใจที่หายใจเข้าหายใจออกอย่างเงียบๆ จั๊กจี้รอบๆ ใบหูก่อนจะห่างออกไป หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง ชานพันผ้าฝ้ายตั้งแต่หน้าอกลงไปจนถึงด้านบนของเอวและผูกปมให้แน่น และในตอนที่มินอากำลังจะลุกขึ้นหลังจากโค้งขอบคุณนั้นเอง
“โปรดปล่อยหม่อมฉันด้วยเพคะ ฝ่าบาท”
ควรจะต้องพูดอย่างเย็นชา แต่ปลายประโยคกลับสูญเสียความสุขุมเยือกเย็นไปและสั่นเครือเบาๆ แขนที่โอบรอบไหล่จากด้านหลังกลับดึงเข้ามาในอ้อมอกแรงยิ่งขึ้นแทนที่จะปล่อยมินอาไป ต้นคอที่ได้รับสัมผัสแปลกใหม่และร้อนระอุทำให้ขนลุกซู่
“ข้าไม่ได้คิดว่าเจ้าเป็นเพียงแค่หญิงรับใช้หรือนางในนะ”
เสียงของชานยังคงลึกและทุ้มต่ำเหมือนเช่นเคย เสียงนั้นที่ทำให้ใจของมินอาแอบสั่นไหวทุกครั้งที่เขาเปิดปากพูด การสั่นไหวเริ่มตั้งแต่ต้นคอที่ริมฝีปากของเขาสัมผัสไปจนถึงหัวใจ ทำให้ชีพจรเต้นตึกตัก มินอากัดฟันแน่นและใช้มือควานหาดาบ
“จะแทงข้าด้วยสิ่งนั้นหรือ”
“หม่อมฉันฟันคอตัวเองน่าจะดีกว่าไหมเพคะ”
มือใหญ่ลูบลงมาตามผิวเปลือยของแขนข้างซ้ายที่ไม่ถูกพันผ้า ก่อนจะวางไว้บนฝ่ามือที่ถือดาบอยู่ จากนั้นจึงออกแรงสอดเข้าไประหว่างนิ้ว บังคับให้ปล่อยดาบ
“มองข้าสิ แค่ครู่เดียว”
“ไม่เพคะ”
มินอามองตรงไปข้างหน้าและขมวดคิ้ว ริมฝีปากที่ประทับลงมาอย่างแผ่วเบาดูดเม้มต้นคออย่างรุนแรงพร้อมกับขบกัดผิวบอบบาง
“ถ้าไม่มอง ข้าจะคิดว่าเจ้าปล่อยให้ข้าทำอะไรก็ได้ตามใจชอบนะ”
“หากกำลังหาสตรีที่ทำให้เตียงอุ่นอยู่ล่ะก็ โปรดไปหาที่อื่นเถอะเพคะ พูดเพียงคำเดียวพวกนางก็ถอดเสื้อผ้าวิ่งเข้าหาเองแล้ว”
มือที่ดึงไหล่เข้ามาเลื่อนขึ้นมายังใบหน้าของมินอาอย่างช้าๆ จับแก้มและให้หันไปทางชาน มินอามีสีหน้าไร้อารมณ์ที่ไม่ต่างอะไรกับตอนปกติ แต่ชานสังเกตเห็นว่าดวงตาที่จ้องมองเขาอยู่นั้นพยายามซ่อนอาการสั่นไหวไว้ข้างใน เคยคิดว่านางช่างเหมือนกับพระชายาเป็นอย่างมาก แต่พอได้เห็นอย่างละเอียดจึงพบว่าแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เหมือนไฟกับน้ำแข็ง
“แค่มองก็ถอดเสื้อผ้าวิ่งเข้าใส่งั้นหรือ แต่ว่าทำไมเจ้าถึงไม่ขอให้ข้ากอดล่ะ”
“ทำไมหม่อมฉันต้องทำเช่นนั้นด้วยเพคะ”
“เพราะว่าหัวใจของเจ้าต้องการเช่นนั้นอย่างไรเล่า”
“ทรงเข้าพระทัยผิดแล้วเพคะ”
“เพราะว่าใจสั่น ลูกธนูก็เลยเฉียงออกไป ซึ่งถ้าหากลูกธนูของเทพธนูเฉียงออกไป หัวใจจะต้องสั่นถึงขนาดไหนกันนะถึงจะเป็นเช่นนั้นได้”
ริมฝีปากของชานประกบบนริมฝีปากที่ปิดสนิท สัมผัสที่ไม่คุ้นเคยซึ่งสอดแทรกเข้ามาในปากทำให้เปลือกตาของมินอาปิดลงและเก็บซ่อนดวงตาที่สูญเสียความเด็ดขาดเอาไว้ แต่ไม่สามารถซ่อนแพขนตาที่สั่นไหวได้
ลิ้นเล็กที่ไม่รู้จะไปทางใดถูกดูดและเกี่ยวกระหวัดกับปลายลิ้นร้อนที่กวัดแกว่งไปตามใจชอบแทนที่จะพูดคำที่เยือกเย็นออกมา ต่อมาชานจึงผละริมฝีปากออกอย่างช้าๆ ในตอนที่ลมหายใจของทั้งคู่เริ่มหอบ และหยิบเสื้อผ้าของมินอาซึ่งวางอยู่ข้างๆ ขึ้นมาคลุมไว้บนหัวไหล่ที่โผล่ออกมา
“พรุ่งนี้ข้าจะมาอีก เวลาเดิม”
* * *