วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 12-10
เมื่อคำพูดของรยูฮาเริ่มมาถึงจุดที่อันตราย มินอาจึงลุกพรวดขึ้นและรีบโบกมือไปมาอย่างว่องไว ท่าทางลุกลี้ลุกลนที่ไม่ได้เห็นง่ายๆ ทำให้รยูฮาซึ่งกำลังใส่ทองคำลงไปที่เดิมระเบิดหัวเราะออกมาอย่างร่าเริง
“ทำไมล่ะ ตอนนี้เรารู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้วมิใช่หรือไง ข้าพูดแล้ว ถึงคราวเจ้าพูดบ้าง เจ้าชอบคนนั้นตรงไหน”
ดวงตาที่เต็มไปด้วยความซุกซนจับจ้องไปที่มินอา แม้จะหันหน้าไปด้านข้างเพื่อหลบเลี่ยงสายตานั้น แต่ใบหน้าของมินอาก็ร้อนผ่าวจนเป็นสีแดงประหนึ่งลูกพลับที่สุกงอมไปเรียบร้อยแล้ว รยูฮาเห็นว่ามันทั้งน่าสนใจ น่ารัก และตลก จึงหันหน้าไปหามินอาอย่างมุ่งมั่น
“ชอบอะไรกัน…ใครชอบเพคะ”
“ถ้าไม่ชอบ แล้วทำไมถึงยิงลูกธนูพลาดเป้าล่ะ”
รยูฮากำลังพูดถึงเรื่องยิงธนูของทั้งคู่ที่เขตชายแดนอย่างแน่นอน นางคือนักแม่นธนู ดังนั้นขอแค่อยู่ในระยะที่ธนูสามารถไปถึงได้ ลูกธนูที่มินอายิงออกไปก็จะไม่พลาดเป้าเป็นอันขาด แม้ว่าเป้าหมายจะเคลื่อนที่อยู่ก็ตาม
“หม่อมฉันเองก็เป็นคนนะเพคะ”
“เจ้านั่นแหละคือปัญหา การใช้ชีวิตพร้อมกับสวมเกราะแบบนั้นนั่นแหละคือปัญหาที่สุด หากไม่มีข้า เจ้าเหลืออะไรในชีวิตบ้าง”
ชีวิตของมินอาที่ไม่มีรยูฮาอย่างนั้นหรือ นางไม่มีทางคิดถึงชีวิตแบบนั้นได้หรอก ดังนั้นมินอาจึงไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
“ไม่ทราบเพคะ”
“ไม่รู้ได้อย่างไรกัน มันคือชีวิตของเจ้านะ เพราะฉะนั้นแล้วหากไม่มีข้าก็จะเหลือตัวเจ้าเองไง”
รยูฮายื่นมือออกไปลูบมือของมินอาซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ มืออันหยาบกร้านซึ่งมีทั้งหนังด้านและรอยแผลทั่วทั้งฝ่ามือและนิ้ว พวกนางในที่ดูแลมินอามักจะนินทากันลับหลังเสมอเมื่อเห็นร่างกายและมือนี้ของมินอาซึ่งเต็มไปด้วยบาดแผล แต่ถึงกระนั้นมินอาก็ไม่ได้ใส่ใจคนพวกนั้น
“ถ้าอย่างนั้นลองบอกข้ามาสิ ในความเห็นของเจ้า คิดว่าเขารูปงามหรือไม่”
“ทรงหมายถึงฝ่าบาทหรือเพคะ”
“ไม่ใช่ๆ ฝ่าบาทใครเห็นก็ว่ารูปงามอยู่แล้ว สามีของเจ้าสิ”
“…เพคะ”
“เห็นหุ่นก็ดีนี่นา”
คำพูดที่รยูฮาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ายวนทำให้แววตาของมินอาแข็งทื่อ ภาพที่ไม่อยากแม้แต่จะจินตนาการทำให้นางเวียนหัวผิดจากความตั้งใจของนาง รยูฮาเฝ้าดูสีหน้านั้นประหนึ่งสนุกสนาน ก่อนจะหยิกแก้มมินอาอย่างแรง
“จินตนาการอะไรอยู่ ในตอนที่ลงไปยังเขตชายแดน ข้าบังเอิญไปเห็นตอนที่เปิดประตูเพื่อตามหาฝ่าบาทน่ะ อ๋อ ไม่ได้เห็นของสำคัญหรอกนะ”
“ของสำคัญ…หรือเพคะ”
“ถึงไม่ได้เห็น แต่ก็น่าจะแข็งแรงอยู่นะ ไม่อย่างนั้นเจ้าก็คงจะไม่มีทางอุทิศชีวิตแบบนั้น”
“อ๊ะ จริงๆ เลย!”
สุดท้ายมินอาก็มุดหน้าลงกับแขนและนอนฟุบไปบนโต๊ะ ใช่ มันก็แข็งแรง ถ้ามันไม่แข็งแรงแล้วจะบอกว่าอะไรแข็งแรงกันล่ะ แต่นี่มันไม่ใช่เรื่องที่จะมาพูดคุยกันต่อหน้าเสียหน่อย
“ตัวก็สูง หุ่นก็ดี ของก็ดี หน้าตาก็…อาจจะสู้ฝ่าบาทไม่ได้ แต่ก็พอดูได้อยู่ เพราะงั้นเจ้าก็เลยตกหลุมรักใช่หรือไม่เล่า”
“…เพคะ”
“หือ? ไม่ค่อยได้ยินเลย”
ไม่ค่อยได้ยินเสียงของมินอาที่พูดพึมพำทั้งที่ยังซบหน้าอยู่ที่แขนจริงๆ รยูฮาจึงเอนตัวเอาหูแนบไปที่ตัวมินอา
“รูปงามกว่าเพคะ องค์ชายสองน่ะ เสียงก็ไพเราะกว่าด้วยเพคะ”
“ตาเจ้า…มีปัญหาหรือเปล่า”
เป็นคำถามที่ถามออกมาด้วยความประหลาดใจ รู้อยู่แล้วว่าบรรทัดฐานความงามของแต่ละคนแตกต่างกัน แต่เมื่อรยูฮาปฏิเสธอย่างหนักแน่น มินอาจึงเงยหน้าขึ้นมาแล้วนิ่วหน้า
“พูดกันตามตรง ฝ่าบาทไม่ได้รูปงามเฉกเช่นชายหนุ่ม…แต่ทรงงดงามเหมือนสตรีเพคะ แม้ตอนเด็กๆจะดูน่ารัก แต่ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับผู้ชายหน้าสวยเลยเพคะ ซึ่งผู้ชายก็ต้องมีความเป็นชายสิเพคะ ถึงจะดีที่สุด”
“ถ้าพูดถึงหน้าตาที่มีความเป็นผู้ชายเหมือนกับพวกโจรป่าก็หัวหน้าโจรคนนั้นในสมัยก่อนไง…ใครกันนะ อ๋อ จักดู เขาน่าจะมีความเป็นผู้ชายมากที่สุดเลยนะ เพราะบนหน้าก็เขียนไว้เลยว่าเป็นโจรป่า ถ้าอย่างนั้นเขาก็คงจะรูปงามกว่างั้นสิ”
“อย่าทรงไร้เหตุผลสิเพคะ จริงสิ ไหนๆ ก็พูดเรื่องที่เขตชายแดนขึ้นมาแล้ว ยังไม่ทราบใช่หรือไม่เพคะว่ามีสตรีนางหนึ่งแอบเข้าไปในห้องบรรทมขององค์ชายสอง แต่ห้องบรรทมของฝ่าบาทกลับปลอดภัยมิใช่หรือเพคะ”
“เรื่องนั้นเป็นเพราะข้าจับตามองอยู่ต่างหาก ในขณะที่พระชายาจับตาดูอยู่ข้างๆ หญิงเสียสติคนใด… เดี๋ยวนะ”
ดวงตาของรยูฮาค่อยๆ หรี่ลง ในตอนนั้นเองมินอาจึงรู้ตัวว่าพูดเล่นผิดเรื่อง แต่มันก็สายไปแล้ว
“เจ้ารู้เรื่องนั้นได้อย่างไร”
“มะ หม่อมฉัน…บังเอิญผ่านไปเห็นพอดีเพคะ!”
“ผ่านไป? ที่พักของเจ้าอยู่ห่างจากที่นั่นตั้งไกล แล้วเจ้าไปทำอะไรที่นั่น”
โดนจับได้แล้ว ในเมื่อจะได้รู้เรื่องราวเบื้องหลังของมินอาซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน รยูฮาจึงไม่ปล่อยเหยื่อที่เข้าปากมาแล้วให้หลุดไปและเริ่มเค้นถามอย่างจริงจัง
“หลง…ทางเพคะ”
“หลงทาง? เจ้าเนี่ยนะ? ว้าว ช่างสมเหตุสมผลเสียจริง พอมาคิดดูแล้ว แสดงว่าตอนนั้นเจ้าไม่ได้ประจำอยู่ที่ตำแหน่ง และเป็นเวลานานมากๆ ด้วย เจ้าไม่มาเฝ้าข้าแต่ไปเฝ้าห้องบรรทมขององค์ชายอย่างนั้นหรือ”
“ใครไปเฝ้าห้องบรรทมกันเพคะ! หม่อมฉันแค่มองดูจากที่ไกลๆ เท่านั้นเองเพคะ!”
อ้า ให้ตายเถอะ มินอาปิดหน้าด้วยมือทั้งสองข้างและถอนหายใจ เพราะว่าไม่เคยโกหกต่อหน้ารยูฮามาก่อน จึงทำได้เพียงเท่านี้
“นั่นมันก่อนหน้าแข่งยิงธนูไปอีกนี่ ตอนที่เพิ่งจะออกจากวังเลยไม่ใช่หรือ ถ้าอย่างนั้นก็ ตั้งแต่ตอนนั้น…”
รยูฮาห้วนนึกถึงความทรงจำขึ้นมาทีละอย่างพลางคิดว่ามินอาเริ่มสนใจชานตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่แล้วความทรงจำหนึ่งอย่างที่ถูกฝังไว้ลึกก็ถูกขุดขึ้นมา นางจึงมองมินอาด้วยสายตาที่ปนไปด้วยความตกใจและความรู้สึกถูกหักหลัง
“ตอนกลางคืน ที่วังซออัน”
“ทรงตรัสเรื่องอะไร…?”
เสียงสูงต่ำที่ไม่เป็นธรรมชาติและดวงตาที่สั่นไหวไม่รู้จะวางไว้ตรงไหนคือคำตอบ ฮ่าๆ รยูฮาหัวเราะแห้งและนั่งไขว่ห้างพิงกับพนักพิง
“ถูกสินะ ถูกใช่ไหม”
ค่ำคืนนั้นที่นางลากมินอาออกไปยังวังซออันด้วยความอึดอัดใจคือค่ำคืนที่ได้เจอกับชานเป็นครั้งแรก รยูฮากำลังตั้งหน้าตั้งตากวัดแกว่งดาบไปมาในอากาศ แต่มินอาซึ่งคอยเฝ้าระวังรอบๆ รับรู้ถึงการมาของเขาและจับเขาไว้ได้ก่อน ภาพของมินอาที่รัดคอของชานไว้หลังจากหักแขนของเขาเพื่อปลดอาวุธปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจน ทำไมถึงไม่สังเกตเห็นมาตั้งนานแล้วนะ
“ไม่ทราบเพคะ หม่อมฉันเองก็ไม่ทราบเช่นกัน”
“ว้าว ที่เขาว่ากันแมวเรียบร้อยมักตะครุบหนูก่อนนี่คือเรื่องจริงสินะ…!”
ทรยศ นี่มันการทรยศชัดๆ หากเป็นสิ่งที่อยู่ภายในใจ ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่หรือเรื่องหยุมหยิม นางก็เปิดเผยกับมินอาหมด แต่มินอากลับปิดปากเงียบมาจนถึงตอนนี้ รยูฮาอารมณ์เสียขึ้นมาจนอยากเขกหัวมินอาให้เจ็บสักสามทีพลางขึ้นเสียง
“เจ้าปิดบังเรื่องแบบนั้นกับข้าได้อย่างไร”
“ก็หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ ในเมื่อไม่ทราบแล้วจะทูลให้ทรงทราบได้อย่างไรเพคะ”
“ข้าผิดหวังจริงๆ ตอนนี้เจ้าไม่ใช่น้องของข้าแล้ว ไปไกลๆ ซะ”
“ทรงมีพระทัยคับแคบจริงๆ เพคะ แม้จะทรงไร้เหตุผล แต่ทำไมถึง…”
ท้ายประโยคของมินอาถูกขัด น้ำตาหยดหนึ่งไหลผ่านแก้มของนาง ก่อนจะหยดติ๋งลงไป
“ตอนนี้จงอยู่เพื่อตัวเอง กับคนรักของเจ้าซึ่งตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบ ให้กำเนิดลูกชายและลูกสาวตัวน้อยๆ ที่บ้านหลังเล็ก และใช้ชีวิตตามที่เจ้าต้องการซะนะ”
ไหล่มินอาสั่นไหวเบาๆ ในอ้อมกอดของรยูฮา ชีวิตที่ไม่มีรยูฮา การจากลาซึ่งไม่เคยคิดถึงแม้เพียงสักครั้งกำลังกวักมือเรียกอยู่ข้างหน้านางแล้ว
* * *