วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 12-11
เวลาสองวันผ่านไปในพริบตา ในช่วงนั้นชานเพียงแค่นั่งจ้องกำแพงคุกอันมืดมิด แต่มินอากลับยุ่งวุ่นวายยิ่งกว่าปกติเสียอีก จึงไม่สามารถไปหาในคุกได้แม้เพียงสักครั้งจนกระทั่งคืนนี้
“อือ หนาว แค่ผ่านวันนี้ไปก็จบแล้วใช่ไหม”
“นั่นสิ แต่ยังดีที่กินอิ่มแล้วก่อนออกมา”
เหล่าทหารยามที่สวมเสื้อผ้าหลายชั้นรีบเดินฝ่าลมยามค่ำคืนไปยังคุก ส่วนทหารยามอีกกลุ่ม เมื่อเห็นดวงไฟใกล้เข้ามาจากที่ไกลๆ ก็โบกไม้โบกมือทักทายพลางบ่นพึมพำ
“รีบๆ มาเร็วเข้า ไม่ตรงเวลาเอาเสียเลย”
“มัวแต่ถ่ายหนักอยู่ก็เลยมาสายน่ะ ทำไม ทำอย่างกับเจ้าไม่เคยมาสาย”
“รีบไปเถอะ อาหารมื้อดึกถูกยกลงมาจากวังจานยองแล้วนะ เนื้อวัวกับหมูไม่ใช่เล่นๆ เลย”
“ไอ้พวกนี้ มัวแต่สวาปามก็เลยมาสายใช่ไหมล่ะ”
พวกทหารยามตบหลังกันและกันอย่างแรงแล้วจึงสลับที่กันพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ดังออกมาเบาๆ ทหารยามที่เฝ้าด้านนอกคุกในคืนนี้มีสี่คนและมีพวกที่เฝ้าข้างในอีกสองคน มินอาซ่อนตัวในความมืด หลับตาพักหนึ่งและนึกถึงลำดับในการเคลื่อนไหวภายในหัว
หากพลาดไปแม้แต่นิดเดียว ระฆังก็จะดังและทหารนับสิบก็จะกรูกันเข้ามา นางขนลุกไปทั้งตัวด้วยความกังวลไม่ใช่ความหนาว แต่ก็พยายามทำจิตใจให้สงบด้วยการหายใจเข้าลึกๆ ตะเกียงของทหารที่หมดหน้าที่แกว่งไกวไปมาราวกับแสงไฟของอสูรกาย ก่อนจะเลี้ยวตรงหัวมุมลับหายไป
“อ้า ท้องข้า”
ทหารร่างใหญ่ที่ก่อนหน้านี้หัวเราะคิกคักพร้อมกับบอกว่ามาสายเพราะมัวแต่ไปถ่ายหนักมานิ่วหน้าอย่างแรงพร้อมกับลูบท้อง
“อีกแล้วหรือ เจ้าแกล้งป่วยหรือเปล่า”
“หรือเพราะว่าไม่ได้กินเนื้อมานานก็เลยเป็นแบบนี้ ข้าขอตัวเดี๋ยว”
เสียงหัวเราะเจี๊ยวจ๊าวไล่หลังทหารยามที่จับก้นรีบร้อนวิ่งออกไป แต่มันก็แค่สักพักหนึ่งเท่านั้น ในไม่ช้าทหารยามคนอื่นก็กุมท้องและตะโกนว่าเดี๋ยวมาแล้ววิ่งออกไปเช่นกัน สองคนนั้นล้มคะมำไปบนพื้นและถูกลากเข้าไปในพงหญ้ารกทึบด้วยฝีมือของผู้บุกรุกซึ่งปรากฏตัวออกมาจากความมืด
“ไอ้พวกหมู ข้าว่าแล้วเชียว ตอนที่สวาปามกันแบบไม่มีสติ…เฮือก!”
“ทำไม เจ้าเองก็ปวด…?”
จู่ๆ ทหารยามที่หัวเราะคิกคักก็ส่งเสียงแปลกๆ ออกมาพร้อมกับสลบไป ส่วนเพื่อนทหารที่หัวเราะเยาะก็หมดสติไปเช่นกันโดยมีลูกดอกอาบยาพิษอ่อนๆ ที่ทำให้หลับสักพักปักอยู่ตรงหลังคออย่างแม่นยำ ผ่านไปสักพักมินอาจึงเอาแขนเสื้อที่ถกขึ้นลงและลากสองคนนั้นเอาไปซ่อนไว้ข้างๆ ก่อนจะไปเคาะประตูคุก
“มีอะไร เอ๊ะ…?”
ทหารยามที่เปิดประตูอย่างแรงมึนงง หลังจากเห็นว่าไม่มีคนอยู่ข้างนอกก็เดินออกไปข้างนอกสองสามก้าว ทหารยามในคุกจึงเหลืออีกเพียงคนเดียว มินอาจัดการทหารที่เดินออกไปข้างนอกจนสลบและลากไปกองรวมกับเพื่อนทหารก่อนหน้านี้ แล้วจึงเข้าไปด้านในและปิดประตู ก่อนจะจัดการคนสุดท้ายอย่างง่ายดาย เคร้ง พวงกุญแจที่มินอาคลำหาจากหน้าอกของทหารยามกระทบกันพร้อมกับส่งเสียงใสออกมา แม้กระทั่งในขณะที่มือของนางพยายามหาลูกกุญแจที่ตรงกับแม่กุญแจทีละดอกอย่างใจเย็นด้วยความว่องไว ชานก็ยังคงทำเพียงแค่นั่งมองมินอาอย่างนิ่งๆ เท่านั้น
“ออกมาเพคะ”
ในที่สุดประตูคุกที่ถูกลงกลอนอย่างแน่นหนาก็ถูกเปิดออก มินอารีบเอามีดสั้นออกมาจากต้นขาและเริ่มตัดเชือกที่รัดตัวของชานไว้ออก
“พระมเหสีทรงส่งเจ้ามาหรือ”
“ไม่ใช่เพคะ หม่อมฉันมาเองเพคะ ป้ายสลักและม้ารออยู่ด้านนอกเพคะ”
ตุบ ท้ายที่สุดมือของชานก็เป็นอิสระ แต่ชานกลับดึงมินอาที่นั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นตรงหน้าเข้ามากอดแน่นแทนที่จะลุกขึ้น และกระซิบอย่างแผ่วเบา
“พนันกันแล้วนี่ ข้าชนะ”
หัวใจของมินอาเย็นวาบเป็นน้ำแข็ง ไม่อยากได้ยิน คำที่เขากำลังจะพูดในตอนนี้ นางคิดว่าจะต้องบีบบังคับเขา แต่มือที่ถูกเขาบีบบังคับก่อนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เลย
“จำไม่ได้เพคะ หม่อมฉันไม่เคยทำเช่นนั้นเพคะ”
“ข้าจะไม่ทำเรื่องให้พระชายาต้องตกอยู่ในความลำบากเพราะข้า ข้าสัญญาไว้เช่นนั้น”
“หม่อมฉันไม่รู้เรื่องนี้เพคะ ฝ่าบาท ได้โปรด…”
มินอาส่ายหัวและพึมพำอย่างไร้สติ เหลือชานกับนางเพียงแค่สองคนเท่านั้นในโลกที่เปลี่ยนไปเป็นสีขาวโพลน
“ข้าจะรักษาสัญญา ส่วนเจ้า คำสั่งหนึ่งของข้าก็คือ…ฟังคำขอของข้า”
ชานดึงมินอามากอดเอาไว้แน่นด้วยแขนข้างหนึ่ง และใช้มือข้างที่เหลือคลำหาตรงต้นขาของนาง
“เจ้า จงมีชีวิตอยู่ต่อไปซะ”
มีดสั้นที่ถูกเสียบอยู่ตรงนั้นเสมอปักเข้าที่คอของชานในพริบตาเดียว แขนที่กอดมินอาไว้ไม่ให้ขยับเขยื้อนได้อ่อนแรงลงในเวลาเดียวกัน ชานขยับมืออย่างยากลำบากเพื่อดึงผ้าคลุมหน้าที่ปิดบังใบหน้าของมินอาไว้อยู่ลง โล่งใจที่ได้เห็นแสงจันทร์ซึ่งลอดเข้ามาทางหน้าต่างบานเล็กสาดส่องใบหน้าของนาง พร้อมกับใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาออกให้ ใบหน้าเล็กที่แสดงความรู้สึกต่อเขาโดยไม่ปิดบังเป็นครั้งแรกช่างงดงามยิ่งนัก
“ฝะ ฝ่าบาท…”
“ข้า ขอโทษ ในชาติหน้า…ข้าขอให้เจ้า…กับผู้ชายธรรมดา…เป็นภรรยาของเขา…”
หยาดน้ำตาไหลรินลงมาบนใบหน้าของคนรักที่ซีดเซียว มินอาใช้มืออันสั่นเทาดึงมีดสั้นออกและพยายามห้ามเลือดที่ทะลักออกมาจากแผลโดยเปล่าประโยชน์ แต่เลือดก็ยังคงไหลลงมาตามนิ้วไม่หยุด
“ไม่ ไม่เพคะ ฝ่าบาท ไม่”
ไม่ อย่าสัญญาเรื่องชาติหน้าสิ นี่มันไม่มีทางเป็นครั้งสุดท้าย แต่สุดท้ายแล้วมันคือครั้งสุดท้าย มืออุ่นลูบใบหน้ามินอาอย่างอ่อนแรง ก่อนจะร่วงหล่นลงไปที่พื้นไม่ไหวติง
“ฝ่าบาท หม่อมฉันรักฝ่าบาทเพคะ ตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนนี้ หม่อมฉันรัก…ฝ่าบาทสุดหัวใจ ได้โปรดฟื้นขึ้นมาสิเพคะ ฝ่าบาท”
คำสารภาพที่ไม่เคยพูดออกไปสักครั้งจากปากของมินอาซึ่งล้มตัวลงบนหน้าอกของชาน ทั้งที่กดแผลที่เลือดยังคงไหลอยู่ คำพูดนั้นลอยละล่องไปตามควันสีขาว
ชีพจรที่รู้สึกได้จากคอของชานในค่ำคืนที่ได้พบกันครั้งแรกนั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว เสียงทุ้มต่ำที่เคยบอกว่าหากถอดชุดเครื่องแบบออกก็เป็นสาวสวยคนหนึ่งเลยก็ไม่มีอีกแล้วเช่นกัน มินอาลูบใบหน้าที่ไม่อาจแตะต้องได้เป็นครั้งสุดท้าย ริมฝีปากประทับบนริมฝีปากเย็นเฉียบของชาน ก่อนจะผละออกมาอย่างเศร้าสร้อย
* * *
นั่นคือการตายขององค์ชายผู้ซึ่งลอบปลงพระชนม์องค์รัชทายาทและแย่งชิงบัลลังก์ พิธีศพของเขาจะไม่จัดตามธรรมเนียมของราชวงศ์ แต่ท่านมหาเสนาบดีจะเป็นผู้รับผิดชอบพิธีศพที่ยิ่งใหญ่ให้สมกับเขาด้วยตัวเอง เนื่องจากไม่มีแขกมาเคารพพระศพขององค์ชายเลยแม้แต่คนเดียว ดังนั้นมินอาจึงสามารถร้องไห้คร่ำครวญได้อย่างเต็มที่เท่าที่ต้องการ นางไม่กินและไม่ดื่มอะไรเลยตลอดทั้งห้าวัน จนทรุดลงไปอย่างหมดแรงในวันที่ฝังศพของเขาท่ามกลางสายฝนในฤดูใบไม้ผลิอันหนาวเหน็บ
“ไปตามหมอมา”
ซอดูรับมินอาไว้ได้ก่อนที่นางจะล้มลงไปบนพื้นและพึมพำด้วยเสียงขรึม แต่โฮจินรีบวิ่งไปอย่างว่องไวก่อนที่เขาจะพูดจบเสียอีก
มินอาเอนตัวลงนอนที่เรือนเล็กซึ่งรยูฮาเคยใช้ก่อนที่จะแต่งงาน แต่นางไม่ได้อยู่คนเดียว นายหญิงตระกูลจองใช้มือที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเช็ดหน้าผากที่ชุ่มเหงื่อให้ ส่วนซอดูก็เฝ้าอยู่ข้างนอกเงียบๆ ผ่านไปไม่นาน โฮจินก็กลับเข้ามาที่ห้องด้วยเสียงดังวุ่นวายและวางหมอที่พาดไว้ที่ไหล่ลง
“รีบๆ จับชีพจรดูสิ”
“เงียบหน่อย เดี๋ยวมินอาก็ตกใจหรอก”
นายหญิงตระกูลจองปรามโฮจินที่ตะคอกใส่หมอ สถานที่ที่เขาถูกชายหนุ่มลากมาให้ทำการรักษาไม่ใช่ที่อื่นใดแต่เป็นบ้านของท่านมหาเสนาบดี หมอพยายามทำให้หัวใจที่ตื่นตระหนกสงบลง แล้วจึงเอานิ้วมือสองนิ้วไปแตะบนข้อมือและหลับตาลง
“…เฮ้อ ตายจริง”
หลังจากเวลาที่ยาวนานที่สุดสำหรับครอบครัวผ่านไป หมอก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ และค่อยๆ วางข้อมือของมินอาไว้บนเตียงเหมือนเดิม
“สตรีที่ตั้งครรภ์อยู่แบบนี้ไปทำอะไรมา ชีพจรถึงได้แย่เช่นนี้”
ปัง ซอดูที่เงี่ยหูฟังอยู่เปิดประตูพรวดเข้ามาในทันทีทันใด เขามักจะสุขุมเยือกเย็นอยู่เสมอ แต่ตอนนี้แม้แต่หนวดเคราสีขาวก็ยังสั่นเครือ
“เจ้าว่าอย่างไรนะ!”
“ไม่รู้หรือขอรับ”
หมอมองดูพวกเขาที่ยืนห้อมล้อมกันในห้องสลับกับหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงเหมือนกับตายไปแล้วด้วยความสับสน วงศ์ตระกูลของท่านมหาเสนาบดีที่เรืองอำนาจ มีทั้งพระมเหสี ท่านมหาเสนาบดีและเจ้ากรมกลาโหมรวมตัวกันในตระกูลเดียว แต่กลับไม่มีใครทราบเลยว่าสตรีของตระกูลกำลังตั้งท้อง
“น่าจะประมาณสองเดือนได้แล้วขอรับ แม้ชีพจรอยู่ในระดับนี้ แต่ก็โชคดีมากนะขอรับที่แม่ของเด็กไม่เป็นลมล้มพับลงมา”