วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 12-13
นางเพิ่งจะได้ขึ้นมาเป็นพระมเหสีได้ไม่นาน ดังนั้นหากหายตัวไปก็คงจะโดนติฉินนินทา รวมถึงเป็นการสร้างรอยด่างพร้อยให้แก่อำนาจของราชวงศ์ด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร มันก็ยังดีกว่าการที่รยูฮาเอาแต่ร้องไห้และจมอยู่กับความเศร้าโศกภายในพระราชวังแบบนี้
“ทำเช่นนั้นไม่ได้เพคะ ฝ่าบาทก็ทรงทราบไม่ใช่หรือเพคะ”
ฮอนเอามือออกจากไหล่ของรยูฮาที่โอบกอดไว้ ก่อนจะเปิดตู้เอกสารและควานหาด้านในนั้นเพื่อเปิดพื้นที่ลับแทนคำตอบ ดาบสีนิลกับชุดคลุมและ**บใส่เงิน ของทั้งหมดที่นางต้องการในตอนนี้อยู่ในนั้น
“ตอนนี้ไปลาพระพันปีเสียเถอะ ส่วนเรื่องขาดพระมเหสี เดี๋ยวข้าจะจัดการเอง จะนานแค่ไหนก็ไม่เป็นไร”
รยูฮาทอดสายตามองสิ่งเหล่านั้นสักพักก็ลุกขึ้น นางยื่นแขนออกไปโอบรอบคอของเขา ทำให้กลิ่นกายของเขาที่ผสมไปด้วยกลิ่นอันซับซ้อนหลากหลาย เช่น หมึกกับดอกกล้วยไม้โชยเข้ามาในจมูก ไออุ่นของร่างกายในขณะที่ซบใบหน้าลงในอ้อมอกกว้างทำให้จิตใจค่อยๆ รู้สึกสงบขึ้น
“หม่อมฉันจะรีบกลับมาเพคะ”
นี่แหละคือรยูฮาที่ฮอนรัก เสียงของนางกลับมาเฉียบขาดไร้เสียงสะอื้น ส่วนแขนก็ดึงเขาเข้ามากอดอย่างแรง จนถึงตอนนี้รยูฮาช่วยฮอนมาเยอะแล้ว ตอนนี้ถึงคราวที่ฮอนจะช่วยรยูฮาบ้าง
“ขี่ม้าของข้าไปนะพระมเหสี มันคือม้าที่เร็วที่สุดในบรรดาม้าทั้งหมด และข้าจะมอบราชโองการที่ประทับตรากษัตริย์ให้ด้วย เจ้าสามารถใช้ของที่ต้องการจากหน่วยงานราชการทั้งหมดในประเทศได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง กำลังทหารหรือข้อมูลข่าวสาร”
“ทรงอยู่คนเดียวได้ใช่ไหมเพคะ”
“หัวใจของข้าอยู่เคียงข้างพระมเหสีเสมอ เพราะฉะนั้นข้าไม่เป็นไรหรอก”
ริมฝีปากของรยูฮาเลื่อนขึ้นมาประกบริมฝีปากของฮอน ฮอนหอบหายใจและผละออกไปอย่างช้าๆ เหลือไว้เพียงความเสียดายในลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดหยอกเย้ากันอย่างอบอุ่น
“ที่เหลือ ไว้กลับมาแล้วค่อยทำกันนะ ฮอน”
“ยังมีคนอยู่ข้างๆ นะพ่ะย่ะค่ะ”
โฮจินที่มองดูภาพนั้นด้วยใบหน้าบึ้งตึงพูดออกมาเบาๆ ในตอนนั้นเองสายตาของทั้งคู่ที่เพิ่งรับรู้การมีอยู่ของเขาจึงจ้องมองไปที่โฮจิน
“เจ้ากรมกลาโหม”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“ข้าจะมอบวันหยุดให้เจ้า ไปด้วยกันกับพระมเหสีและปกป้องนางซะ อ่อ แต่ไม่มีค่าตอบแทนนะ เราต้องแยกเรื่องงานกับชีวิตส่วนตัวออกจากกันใช่ไหมเล่า”
“โอ๊ย อีกแล้ว”
อย่าว่าแต่โค้งคำนับเลย แม้แต่จะบอกลาสักคำยังไม่มี โฮจินปิดประตูดังปังและหายตัวไป แต่ทั้งฮอนและรยูฮาต่างไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเลยแม้แต่น้อย
“ขออีกสักรอบได้หรือไม่”
มีบางสิ่งบางอย่างรุ่มร้อนในแววตาของฮอนที่ปนไปด้วยรอยยิ้ม ถ้าจากไปตอนนี้ก็คงจะไม่ได้เจอกันสักพักใหญ่ๆ รยูฮายกมือขึ้นมาลูบขนคิ้วและริมฝีปากระเรื่อทีหนึ่ง ฮอนก้มหน้าลงมาดูดเม้มริมฝีปากของรยูฮาเบาๆ เขาเพลิดเพลินกับสัมผัสอุ่นนุ่มสักพักหนึ่ง และในตอนที่ลืมตาขึ้นมาด้วยความรู้สึกแปลกๆ นั้นเอง
“เฮือก!”
เขาสะดุ้งตกใจจนริมฝีปากผละออกจากกันโดยไม่รู้ตัว ขนตายาวของรยูฮาที่กะพริบและดวงตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นกำลังสำรวจมองสีหน้าของเขาที่กำลังเคลิบเคลิ้มกับการจูบ
“เจ้าต้องหลับตาสิ… เฮ้อ จริงๆ เลย”
บรรยากาศเสียหมด ฮอนเสียสมาธิและเอามือกุมหัวตัวเอง เขาลังเลไม่กล้าพูดพร้อมกับถอนหายใจออกมา
“หม่อมฉันเสียดาย”
มือของรยูฮาลูบไล้ใบหน้าเขาอีกครั้งหนึ่งด้วยความเสียดาย
“พอตั้งใจจะผลิตลูกหลานของราชวงศ์ก็ต้องจากพระพักตร์อันหล่อเหลานี้ไปอีกแล้ว ก็เลยรู้สึกเสียดายเพคะ”
“ไม่ต้องไปก็ได้นะ แล้วส่งเจ้ากรมกลาโหมไปแค่คนเดียว”
ฮอนบอกความปรารถนาเล็กๆ ด้วยปากที่เต็มไปความเสียดายเช่นกัน
“หม่อมฉันคงต้องขอตัวไปที่วังจางชุนก่อนเพคะ ทรงดูแลตัวเองด้วยนะเพคะฝ่าบาท”
ชายชุดสีขาวหันหลังกลับไปพร้อมกับคำพูดที่เย็นชาและออกไปจากวังจานยองโดยไม่ลังเล ฮอนซึ่งถูกทิ้งอยู่ด้านหลังยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะจัดชุดคลุมซึ่งวางอยู่บนโต๊ะและเดินออกไป รยูฮาวิ่งตรงไปยังวังจางชุนในทันทีโดยที่ไม่รอให้เขาออกมา
“ไม่ได้เจอกัน…พักใหญ่ๆ แล้วนะ พระมเหสี”
ดวงตาของพระพันปีซึ่งจมอยู่กับความสิ้นหวังวาดรอยยิ้มเป็นครั้งแรกหลังจากสูญเสียบุตรและหลานติดต่อกัน หัวใจของรยูฮาเองก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง บางทีรอยยิ้มของพระพันปีอาจจะกลับคืนมาเพราะหลานที่ยังไม่ลืมตาดูโลกก็เป็นได้
“เสด็จย่าโปรดทรงช่วยเหลือหม่อมฉันด้วยเพคะ เราต้องคืนตำแหน่งให้แก่อดีตองค์ชายเพคะ”
จะออกตามหามินอาเพียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะหากไม่สามารถคืนตำแหน่งทางสายเลือดให้กับชาน มินอาก็จะไม่มีวันได้กลับมายังเมืองหลวงอีกเลย ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องพึ่งเสียงที่เป็นเอกฉันท์ของเหล่าเสนาบดี
“หญิงชราคนนี้จะไปมีอำนาจอะไรเล่า แต่ในระหว่างที่พระมเหสีออกไปตามหาเด็กคนนั้น ย่าจะลองเคลื่อนไหวพวกเสนาบดีให้นิดหน่อยแล้วกันนะ”
“ขอบพระทัยเพคะเสด็จย่า”
รยูฮากุมมือที่อ่อนแรงของหญิงชราแน่น พระพันปีที่เคยต้อนรับนางอย่างไร้เรี่ยวแรงทุกครั้งที่มาเข้าเฝ้าในทุกเช้าลุกขึ้นมานั่งอีกครั้ง ด้วยความคาดหวังที่จะได้พบเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงคนเดียวที่หลานอันเป็นที่รักยิ่งทิ้งไว้ให้ ความรักและพลังของผู้อาวุโสซึ่งเหลือเพียงคนเดียวในราชวงศ์น่าจะสามารถปกป้องมินอาและลูกของนางจากเหล่าเสนาบดีที่ยึดมั่นในกฎเกณฑ์และกฎระเบียบได้ ความตั้งใจอันแน่วแน่ที่จะตามหามินอาและพากลับมาได้อย่างปลอดภัยลุกโชนขึ้นภายในใจของรยูฮา แทนที่จะเป็นความสิ้นหวังอันมืดมนหรือความเศร้าเสียใจ
“เดินทางกลับมาโดยสวัสดิภาพนะ ย่าฝากด้วย”
“ไม่ต้องกังวลพระทัยเพคะเสด็จย่า หม่อมฉันจะกลับมาโดยปลอดภัยเพคะ”
เย็นวันนั้น รยูฮาออกจากพระราชวังไปทันทีหลังจากไปรับม้าและตรารับรองของกษัตริย์จากฮอนเรียบร้อยแล้ว จากนั้นจึงตามหาร่องรอยที่มินอาทิ้งไว้และเดินไปตามเส้นทางที่นางน่าจะเข้าไปหลบซ่อนพร้อมกับร้องไห้
* * *
“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”
เป็นไปตามคาด ทันทีที่ยกเรื่องการคืนตำแหน่งขึ้นมา เสียงตะโกนเซ็งแซ่ของเหล่าเสนาบดีก็ระเบิดออกมาโดยพร้อมเพรียงกันประหนึ่งพลุในงานเทศกาล แม้จะไม่ตกใจเพราะเป็นการตอบสนองที่คาดการณ์ไว้แล้ว แต่คงจะเป็นเรื่องโกหกถ้าบอกว่าไม่ปวดหัว เขาได้คัดกรองพวกปลิงที่เกาะอยู่รอบตัวเพราะอำนาจออกไปหมดแล้ว แต่คราวนี้สาเหตุมาจากพวกขุนนางชราที่หัวแข็งมากเกินไปซึ่งยังเหลืออยู่เท่านั้น
“ถึงแม้ว่าจะฆ่าตัวตายก่อนได้รับการลงโทษ แต่ก็ถือว่าเป็นกบฏอยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ การที่จะทรงคืนตำแหน่งให้หลังจากความผิดทุกอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน โดยไม่ได้เป็นผู้บริสุทธิ์เป็นเรื่องที่ไม่สมควรพ่ะย่ะค่ะ โปรดทรงยกเลิกความคิดเช่นนั้นด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
“โปรดทรงยกเลิกด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
“พอเป็นเรื่องไร้สาระ ก็สามัคคีกันดีจริงเชียว”
ดูจากที่ประสานเสียงสูงต่ำโดยพร้อมเพรียงกันจนน่าตกใจ จนนึกว่าไปแอบซุ่มซ้อมที่ไหนสักแห่งมา พอนึกถึงภาพของเหล่าเสนาบดีที่ไปรวมตัวกันตรงมุมหนึ่งเพื่อซ้อมประโยคนั้นขึ้นมา ฮอนก็หลุดหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัวและรีบหยุดทันที สำหรับเขาแล้วการรักษาความมีเกียรติยากเสียยิ่งกว่าการดูแลงานบ้านงานเมืองอีก
“ฝ่าบาท เหตุผลที่ทรงรับสั่งให้มีการคืนตำแหน่งในตอนนี้คือสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
คำถามของเสนาบดีคนหนึ่งทำให้สายตาที่เป็นประกายจับจ้องมาที่เขา เขาเหงื่อตกด้วยความกดดัน หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ก็คงจะไม่ปลดพวกปลิงออกไปรวดเดียวและเอาออกไปทีละคนแทน
“เพราะเขาคือราชโอรสแท้ๆ ของพระราชาองค์ก่อนซึ่งไม่สามารถปฏิเสธความจริงข้อนี้ได้”
“นั่นคือเหตุผลที่ทรงรับสั่งให้ฝังศพของนักโทษไว้ในบริเวณพระราชสุสานมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
พังแล้ว เขาถูกกดดันโดยเหล่าเสนาบดีซึ่งมีความชำนาญในการเผชิญหน้ากับสถานการณ์ย่ำแย่ในท้องพระโรงมาตั้งแต่ที่ฮอนเพิ่งหัดเดินเตาะแตะ แม้จะส่งสายตาของความช่วยเหลือให้ท่านมหาเสนาบดี แต่ท่านพ่อตากลับมองแต่พวกเสนาบดีที่อยู่ข้างหน้าฮอนโดยไม่ได้พูดอะไร และในสถานการณ์เช่นนั้นฮอนได้ตระหนักอย่างถ่องแท้ถึงความสำคัญที่ต้องทำให้พระบรมราชโองการศักดิ์สิทธิ์ขึ้น ซึ่งท่านมหาเสนาบดีที่เต็มใจลาออกด้วยตัวเองนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
“เฮ้อ”
ฮอนถอนหายใจพลางเอามือก่ายหน้าผาก เขานวดหลังคอพร้อมกับลุกขึ้นยืนจากราชบัลลังก์
“ข้าจะเก็บญัตตินี้ไปก่อน เอาของว่างมาให้ข้าที่ห้องทำงานด้วย”
ลมเย็นซึ่งเกิดจากเสื้อคลุมมังกรทองพัดผ่านหน้าของบรรดาเสนาบดีไป แม้จะสั่งให้นำของว่างมาถวาย แต่จริงๆ แล้วฮอนไม่ได้หิวแม้แต่น้อย เขากลับมายังห้องทำงานและนั่งลงบนเก้าอี้ที่พ่อของเขาเคยนั่งอยู่เป็นประจำทั้งในขณะที่มีชีวิตอยู่และในขณะที่สิ้นลมหายใจสุดท้าย ก่อนจะลูบพนักวางแขนอย่างเงียบๆ
“หากเป็นเสด็จพ่อ จะทรงทำเช่นไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
แม้แต่พระราชาองค์ก่อน ก็ไม่ได้ทำสิ่งที่ถูกต้องไปทุกเรื่อง เกิดการนองเลือดมากมายจนกระทั่งเสด็จพ่อได้นั่งบนราชบัลลังก์ หลังจากได้นั่งในตำแหน่งนั้นแล้วก็ยังกระทำความผิดโดยการปกปิดและทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นถึงการตายที่ไม่ยุติธรรมของพระสนมยอนอีกด้วย แต่ถึงกระนั้นฮอนก็ยังคงคิดถึงบิดาของเขา
ในสมัยที่เป็นองค์รัชทายาทไม่น่าไปเที่ยวเล่นสำมะเลเทเมาแบบนั้นและน่าจะคอยอยู่เคียงข้างพระราชาองค์ก่อนเพื่อเฝ้าสังเกตดูว่าควบคุมเหล่าเสนาบดีพวกนั้นและจัดการกับกิจการแผ่นดินอย่างไร ความเสียดายและความสำนึกผิดติดอยู่ที่ปลายนิ้วซึ่งมีคราบหมึกหลงเหลืออยู่อย่างชัดเจน ทำไมตอนนั้นถึงไม่ถามคำถามให้มากกว่านี้กันนะ แต่คำถามของฮอนที่ถามในยามที่สายเกินไป ก็ไม่มีคำตอบของอดีตพระราชาย้อนกลับมา