วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 12-4
สายลมที่อิจฉาความอบอุ่นของฤดูใบไม้ผลิเยือกเย็นเสียยิ่งกว่าช่วงกลางฤดูหนาว แม้แต่ท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งและแสงแดดที่ส่องลงมายังหน้าลานของท้องพระโรงก็ยังเย็นยะเยือก เหล่าข้าราชบริพารและขุนนางฝ่ายทหารและพลเรือนที่รวมตัวตั้งแถวต่างก็ตัวสั่นเล็กน้อยทุกครั้งที่ลมหนาวลอดพัดผ่านเข้ามา
“องค์รัชทายาท พระชายาเสด็จ!
คนสองคนที่กำลังจะได้เป็นพระราชาและพระราชินีในอีกไม่ช้าต่างขึ้นเกี้ยวมาคนละเกี้ยวและลงมายืนตรงสุดทางเดิน ใบหน้าที่เรียบเฉยไม่สามารถอ่านได้ว่าดีใจหรือตื่นเต้น หรือแม้กระทั่งอารมณ์อื่นๆ ก็ตาม แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครมองอยู่แล้ว เนื่องจากเอวของทุกคนต่างก็โน้มลงไปที่พื้นราวกับมีใครกดลงไป และหนึ่งในนั้นก็รวมไปถึงมินอาในชุดเครื่องแบบอันหนักอึ้งซึ่งยืนอยู่ใกล้บันไดที่สุด ท่ามกลางดนตรีที่บรรเลงอย่างโอ่อ่าโดยเหล่านักดนตรี เท้าของชานกับรยูฮาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของนาง
“คำนับ!”
คำนับสี่รอบขึ้นไปบนท้องฟ้าซึ่งเป็นบิดาของพระราชา จากนั้นจึงคำนับอีกรอบแด่พระพันปีซึ่งมองลงมาที่พวกเขาจากบนบันได หลังจากคำนับครบเรียบร้อย ทั้งสองคนก็กลับหลังหันขึ้นไปบนเกี้ยวอีกครั้ง ฝูงชนมากมายรวมตัวกันเพื่อรับขบวนเสด็จของพระราชาองค์ใหม่ซึ่งออกจากพระราชวังเพื่อตรงไปยังพระราชสุสานของกษัตริย์องค์ก่อน แต่ไม่มีใครพูดอะไรกันเลย
ใบหน้าของรยูฮาที่นั่งมองตรงไปข้างหน้าเข้าสู่สายตาของชานที่เบือนหน้ามา ท่าทางที่มองตรงไปข้างหน้าด้วยแววตาเย็นชา แทนที่จะยิ้มและเปิดม่านขึ้นเพื่อมองดูเหล่าประชาชนที่มารวมตัวกันช่างดูแปลกตาเหมือนกับเป็นคนแปลกหน้า ขบวนเสด็จขององค์รัชทายาทซึ่งห้อมล้อมด้วยเหล่าขุนนางและทหารจำนวนมากตรงไปยังพระราชสุสานตามการนำทางของหัวหน้าขันทีซึ่งรับใช้กษัตริย์องค์ก่อนอย่างใกล้ชิดที่สุดและยาวนานที่สุด
ในอีกด้านหนึ่ง หลังจากองค์รัชทายาทและพระชายาเสด็จออกไป พระราชวังก็ยุ่งวุ่นวายกับการเตรียมพิธีการลำดับถัดไป ในตอนนั้นมินอาได้หายตัวไปอย่างเงียบๆ แต่ก็ไม่มีใครสนใจ มินอากลับมายังที่พักและถอดชุดเครื่องแบบทิ้งไป หลังจากเปลี่ยนไปเป็นชุดทหารชั้นผู้น้อยที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ เสร็จแล้วก็ข้ามหน้าต่างออกไปอย่างเงียบเชียบ น้ำหนักของดาบที่เหน็บไว้ที่เอวกดตัวนางลงมาอย่างหนึกอึ้งประหนึ่งภูเขาลูกใหญ่ หลังจากที่ไม่ได้พกมาเป็นเวลานาน
“นอกจากพวกทหารที่เฝ้าประตูแล้ว พวกทหารอารักขาพระราชวังทั้งหมดจงมารวมตัวกันตรงนี้”
แม้จะเป็นคำสั่งที่มองเผินๆ แล้วดูผิดแผกไปจากปกติ แต่ในเมื่อพระราชวังไร้พระราชาผู้เป็นเจ้าของ ท่านพ่อของพระชายาจึงต้องเข้ามาจัดการเรื่องกำลังทหารแทน ซึ่งท่านผู้นั้นก็คือมหาเสนาบดี ซอดูนั่นเอง คำสั่งของเขาถูกกระจายไปทั่วพระราชวัง และในระหว่างที่กำลังรวบรวมเหล่าทหารอยู่นั้น ประตูชีกูซึ่งเป็นประตูที่เล็กที่สุดก็ถูกเปิดออกอย่างเงียบๆ
เงาที่แทรกซึมเข้ามาผ่านทางนั้นทีละคนขยับเขยื้อนไปตามกำแพงและเปิดประตูมากมาย จำนวนคนค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละน้อยจนเกินกว่าจำนวนของทหารที่เฝ้าพระราชวังอย่างรวดเร็ว
“พวกกบฏ! จัดการพวกนั้นซะ!”
คอของหัวหน้าทหารอารักขาพระราชวังที่วิ่งมาด้วยใบหน้าซีดเผือดถูกฟันร่วงพื้นก่อนเป็นคนแรกสุด แม้จะมีคนเคยได้ยินชื่อนักดาบมือหนึ่งมากมาย แต่แทบไม่มีคนที่เคยเห็นตัวจริงของเขาเลย จึงคิดว่าเป็นเพียงแค่ข่าวลือเกินจริงเท่านั้น แต่ตอนนี้ดาบของซอดูที่มีเลือดหยดติ๋งๆ ก็ทำให้ทุกคนได้รู้แล้วว่าข่าวลือนั้นไม่ได้เกินจริงแม้แต่น้อย เพราะไม่ว่าใครก็ไม่สามารถจับกระบวนท่าที่เขาเคลื่อนไหวเพื่อฟันคอของหัวหน้าทหารอารักขาได้ทัน
“ทิ้งดาบแล้วหมอบลงไปกับพื้นซะ คนที่ไม่ต่อต้านจะรอด ส่วนพวกที่ต่อต้านก็จงตายซะ”
แม้เสียงของซอดูจะไม่ดัง แต่ก็ทะลุเข้าหูของทุกคนอย่างชัดเจน เคร้ง โล่และดาบที่สูญเสียจิตวิญญาณในการต่อสู้ร่วงหล่นลงพื้นทุกทิศทาง พลทหารที่ซ่อนตัวอยู่ในชุดธรรมดาจึงพร้อมใจเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ภายในพระราชวังเงียบสงบราวกับป่าช้าทั้งที่มีเหล่าชายฉกรรจ์หลายพันคน พระพันปีที่ยังคงนั่งอยู่ด้านบนพระที่นั่งทอดสายตามองดูทุกฉากนั้นโดยไม่ไหวติง
“ขบวนเสด็จขององค์รัชทายาทเสด็จออกจากพระราชสุสานแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ทหารที่ออกไปตรวจสอบความเคลื่อนไหวกลับมารายงานซอดู
“อีกสักพักค่อยเปิดประตูและให้พวกนักดนตรีบรรเลงดนตรีต่อได้ รอให้ขบวนเสด็จเข้ามาด้านในจนหมดก่อนค่อยปิดประตู”
เหล่าทหารที่เข้ามาในชุดธรรมดาเปลี่ยนไปสวมชุดทหารอารักขาพระราชวังโดยพร้อมเพรียงกัน หากดูเผินๆ ก็ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบ เกี้ยวขององค์รัชทายาทเข้ามาในประตูพระราชวังซึ่งถูกเปิดออกอย่างช้าๆ ในเวลาเดียวกันนั้น การแสดงดนตรีอันโอ่อ่าของนักดนตรีก็เริ่มบรรเลงขึ้นอีกครั้ง
ในตอนนั้นชานได้ประสานสายตากับรยูฮาที่หันมามองตนเองเป็นครั้งแรก แต่ก็เพียงแค่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น นางกะพริบตาหนึ่งทีก่อนจะเบือนหน้าไปอย่างเย็นชาและจ้องมองไปด้านหน้า ประตูทั้งสี่ค่อยๆ ถูกทยอยเปิดออกไปตามการเคลื่อนที่ของเกี้ยว และในตอนที่ประตูบานสุดท้ายถูกเปิดออก เสียงที่เป็นดั่งลางร้ายก็ดังขึ้นมา
“กลับมาแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพี่”
เหล่าทหารที่ยืนเรียงแถวหันมาเล็งดาบไปทางชานในเวลาเดียวกันพร้อมกันกับเสียงที่แข็งกร้าว ในสถานการณ์นั้นชานกลับรู้สึกเป็นห่วงรยูฮาก่อนอย่างน่าขบขัน รยูฮากระโดลงจากเกี้ยวเบาๆ และแหวกผ่านเหล่าทหารตรงไปหาฮอนซึ่งยืนอยู่ตรงกลางพระราชวังราวกับหัวเราะเยาะ แม้ว่าทวนและดาบจะเยอะแยะมากมายจนลายตาไปหมด แต่ชานมองเห็นเพียงแค่รยูฮาที่จับมือและสบสายตากับฮอนราวกับว่านั่นคือโลกทั้งใบ
“ตั้งสติหน่อยสิเพคะ ฝ่าบาท!”
เสียงอันแหลมคมเรียกสติของชานและเปลี่ยนทิศทางไปยังตรงกลางสมรภูมิอีกครั้ง เขาเดาได้อย่างไม่ยากเลยว่าทหารรูปร่างเล็กที่ยืนขวางอยู่ตรงหน้าเขานั้นคือมินอา มีเลือดกระเด็นและศัตรูล้มลงทุกครั้งที่นางฟันดาบอย่างนุ่มนวล แต่เหล่าทหารที่คุ้มกันชานกลับไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เกินครึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งก็สูญเสียกำลังใจและโยนอาวุธลงบนพื้นไปเสียแล้ว ซึ่งหนึ่งในเหตุผลนั้นอาจจะเป็นเพราะทหารคนหนึ่งเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลซึ่งปัดดาบของมินอาออกไปเมื่อครู่
“พอได้แล้ว หลบไป”
ทั้งๆ ที่ความกระหายเลือดของโฮจินแผ่ซ่านออกมาราวกับจะแทงตัวให้ทะลุเดี๋ยวนั้น แต่นางกลับตั้งรับแทนที่จะถอยกลับไป นั่นทำให้โฮจินแสยะยิ้มออกมา แต่ก็ดูเป็นรอยยิ้มที่คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
“คิดว่าจะเอาชนะข้าได้อย่างนั้นเหรอ”
“ไม่เจ้าค่ะ ถึงแม้ว่าจะชนะท่าน แต่ก็ยังมีท่านอาจารย์อยู่ตรงโน้นด้วย แต่ว่าข้าจะต้องปกป้องฝ่าบาทให้ได้แม้จะต้องสละชีวิตเจ้าค่ะ”
“เจ้าคิดว่าข้าทำไม่ได้อย่างนั้นสินะ”
ดาบของโฮจินพุ่งไปหามินอาโดยไม่ลังเลและหยุดก่อนที่จะถึงตัวนาง แน่นอนว่านั่นไม่ใช่ความตั้งใจของเขา โฮจินมองฮอนที่ขมวดคิ้วและเข้ามายืนขวางตรงหน้าราวกับจะต่อว่า
“ทรงสัญญาแล้วมิใช่หรือ ฝ่าบาท”
“ในสัญญานั้น ไม่มีชีวิตของมินอาอยู่ด้วย”
“แต่นี่คือวิธีที่เราจะได้รับสิ่งที่ต้องการนะพ่ะย่ะค่ะ”
ชานฟังบทสนทนาของพวกเขาพร้อมกับก้มลงมองดูตัวเอง มังกรที่ถูกปักด้วยด้ายบนชุดเครื่องแบบที่หรูหราและสง่างามเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด มังกรนั้นอ้าปากสีแดงเข้มเลื้อยขึ้นมายังใบหน้าของตัวเอง นั่นไม่ใช่เลือดของเขา แต่เป็นเลือดของชีวิตมากมายที่ปกป้องชานจนถึงที่สุด ชานค่อยๆ ลงมาจากเกี้ยวและเดินผ่านข้างๆ มินอาไปยืนประจันหน้ากับฮอน
“กลับมาแล้วหรือ”
ชานถอดมงกุฎที่ตนเองสวมอยู่แล้วจึงวางลงบนศีรษะของฮอน ในตอนนั้นเองเขาถึงรู้สึกสบายใจ แม้จะอยากหันกลับไปดูรยูฮาเป็นครั้งสุดท้าย แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะไม่ทำเช่นนั้น เพราะมินอาที่ถูกโฮจินขวางอยู่ตรงหน้านั้นตะโกนและคร่ำครวญว่าอะไรสักอย่าง
“ลาก่อน”
ฮอนยกดาบขึ้นมาช้าๆ ชานคิดว่าปลายดาบที่เปล่งประกายกับแสงแดดช่างงดงามเสียจริงพร้อมกับหลับตาลง
“วางลงเพคะ องค์ชาย!”
หากพระพันปีที่มีสีหน้าซีดเซียวราวกับจะทรุดลงเดี๋ยวนั้นไม่ตะโกนขึ้นมา ฮอนก็คงจะแทงทะลุหัวใจของชานไปแล้ว แต่นางคือผู้อาวุโสแห่งราชวงศ์ที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว เสียงของหญิงชราคนนั้นจึงยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าภูเขา
“เขาคือหลานของข้า หากทำร้ายเด็กคนนั้น ข้าก็จะไม่มอบตราพระมหากษัตริย์ให้แก่องค์ชายเป็นอันขาด!”
เปลือกตาของชานยกขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งที่ตัดสินใจที่จะรับความตายอย่างสงบนิ่ง แต่พอเห็นว่ามินอายังอยู่ตรงหน้า ความรู้สึกรังเกียจก็โถมเข้ามาหาตนเองที่เบาใจ
“จับกุมตัวอีชานซะ”
เสียงของมหาเสนาบดีดังขึ้นจากที่ไกลๆ จากนั้นเชือกมัดนักโทษหนาๆ ที่ไม่เคยแตะต้องมาก่อนในชีวิตก็พันรอบตัวชานราวกับงูตามคำสั่งนั้น พระพันปีส่งมอบตราพระมหากษัตริย์ให้แก่ฮอนที่ด้านหน้าพระที่นั่งที่เขาหันหลังมองเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะจากไปภายใต้แสงอาทิตย์สีแดง ช่างโล่งอกจริงๆ ที่ไม่ได้ตายต่อหน้าเสด็จย่าที่เพิ่งสูญเสียลูกชายไปเมื่อไม่นานมานี้
* * *