วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 12-9
เอกสารที่ทั้งสองคนต่างกำลังจัดการอยู่เมื่อครู่ถูกดันออกไปข้างๆ โดยไม่รู้ตัว ใบหน้าของฮอนเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“หากทรงปลดกระหม่อมออกจากตำแหน่ง กระหม่อมจึงจะถวายสิ่งนั้นให้พ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านมหาเสนาบดี!”
การตอบสนองที่ตะโกนพร้อมกับสะบัดมือไปมานั้นช่างดูคุ้นตา เพราะพระราชาองค์ก่อนก็เคยโบกมือปฏิเสธด้วยสีหน้าแบบนั้นเช่นกัน ในตอนที่ซอดูขอให้ปลดเขาออกจากตำแหน่ง รอยยิ้มที่มีความคิดถึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันเ**่ยวย่นก่อนจะหายไปในทันที
“ตอนนี้กระหม่อมก็แก่ชรามากแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้อุทิศตนเองในการช่วยเหลือพระราชาองค์ก่อนและเข้าๆ ออกๆ ห้องทรงงานแห่งนี้รวมถึงท้องพระโรงมาทั้งชีวิตแล้ว ซึ่งในชีวิตที่เหลืออยู่กระหม่อมตั้งใจที่จะออกไปล่าสัตว์หรือไม่ก็ไปชมดอกไม้ด้วยกันกับฮูหยินของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ได้ขอรับ ข้าจะทำเป็นไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ก็แล้วกัน”
“ฝ่าบาท”
เป็นเสียงที่สงบนิ่งแต่ก็เข้มงวดและอบอุ่น แต่ถึงอย่างไรก็ตามมันก็มีพลังที่จะทำให้ผู้ฟังตั้งใจฟังในสิ่งที่มหาเสนาบดีจะพูด
“อำนาจคือสิ่งที่ย่อมไหลผ่านไปดั่งสายน้ำไหลพ่ะย่ะค่ะ แม้ฝ่าบาทอาจจะทรงขึ้นครองราชย์ได้ไม่นานนัก แต่ในสายตาของกระหม่อม ทรงทำได้ดีมากทีเดียว เพราะฉะนั้นโปรดทรงเลิกใช้อำนาจในการรั้งกระหม่อมไว้ด้วยเถิด สังขารนี้แก่เกินจะรั้งไว้ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฝีเท้าที่เต็มไปด้วยความกังวลก้าวออกไปจากห้องทรงงานอย่างหนักอึ้ง แม้ความหนาวเย็นในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิจะหนาวถึงกระดูก แต่แสงแดดกลับอบอุ่น นั่นทำให้พื้นดินแข็งๆ เริ่มเหยียดกายออก ในขณะที่ฤดูใบไม้ผลิกำลังใกล้เข้ามา
ถึงแม้ว่ามันจะยาก แต่ฮอนก็ได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว ในช่วงที่ดอกไม้ตูมเริ่มเบ่งบานและเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิโดยสมบูรณ์
“องค์ชายสอง อีชาน เคยให้ข้าซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งองค์รัชทายาทดื่มยาพิษและแย่งชิงบัลลังก์ไป ดังนั้นโทษของเขาจึงสอดคล้องกับการกบฏ ในตอนนี้ข้าจะตัดสินโทษเขาด้วยการริบอภิสิทธิ์ของราชวงศ์ซึ่งอีชานเคยได้รับมาทั้งหมดจนถึงปัจจุบัน รวมถึงลดตำแหน่งให้เป็นสามัญชน”
เมื่อน้ำเสียงหนักแน่นกังวานไปทั่วท้องพระโรง เหล่าเสนาบดีจึงน้อมศีรษะลง กลิ่นหมึกที่โชยมาจากม้วนกระดาษทำให้เวียนหัว ฮอนจึงปิดปากและมองมันสักพัก ก่อนจะอ่านต่อด้วยท่าทางสงบนิ่งในทันที การที่เขาอ่านพระบรมราชโองการที่ท่านมหาเสนาบดีควรจะต้องเป็นผู้แทนอ่าน และออกคำสั่งด้วยตัวเองคือความเคารพครั้งสุดท้ายที่เขามีให้พี่ชายคนละแม่ซึ่งเขารักและเชื่อใจเป็นอย่างยิ่ง
“แต่เนื่องจากเขาคือพระโอรสแท้ๆ ของพระราชาองค์ก่อนซึ่งเสด็จสวรรคตไปแล้ว ทั้งยังสร้างคุณงามความดีไว้มากมายในการช่วยเหลือข้าจนกระทั่งก่อนวางแผนก่อกบฏ หลังจากลงโทษประหารด้วยยาพิษตามธรรมเนียมปฏิบัติของราชวงศ์แล้ว จึงจะห่อศพของเขาแล้วจัดพิธีศพตามแบบแผน จากนั้นนำไปฝังไว้ในสถานที่ที่มองเห็นพระราชสุสาน”
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”
แม้จะมีงานต่างๆ ที่ต้องสะสางมากมายเป็นภูเขา แต่ฮอนกลับไม่เหลือแรงไว้คิดเรื่องเหล่านั้นแล้ว ความทรงจำที่มีกับชานซึ่งอยู่ทั่วพระราชวังถูกเหยียบย่ำในทุกก้าวที่เขาก้าวลงจากราชบัลลังก์และตรงไปยังวังจานยอง ร่างกายอันเหนื่อยล้าประหนึ่งวิ่งมาของฮอนทรุดลงบนกระโปรงสีขาวหลังจากที่เข้ามาด้านในตำหนัก รยูฮาไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ถอดมงกุฎทองคำที่กดทับอยู่บนศีรษะของฮอนออกแล้ววางไว้บนเตียง
“รยูฮา”
“เพคะฝ่าบาท”
“หลังจากนี้สามวัน”
รยูฮาหลุบขนตาที่สั่นไหวลงด้านล่าง
“แม้จะทรงรู้สึกเสียดายกับพระบรมราชโองการไม่ได้ แต่ทรงรู้สึกเสียใจได้นะเพคะ”
ฮอนใช้มือคว้าเอวของรยูฮาเข้ามา เสียงหัวใจที่ไม่ว้าวุ่นเพียงสักนิด เสียงอันสงบนิ่งที่ไม่ผิดจากตอนปกติทำให้เขาได้พักหากใจ
“ข้าขอโทษที่ไม่สามารถรับฟังคำขอของเจ้าได้”
“ไม่เป็นไรเพคะ”
เพราะมันเป็นการไว้ชีวิตโดยปราศจากเงื่อนไข เพราะมันคือของขวัญชิ้นสุดท้ายที่สามารถมอบให้มินอาผู้ซึ่งเป็นทั้งตา หู มือ เท้าและมากกว่านั้นของนาง รยูฮาจึงเรียบเรียงความคิดในหัวอย่างใจเย็นพร้อมกับตบหลังของคนรักซึ่งนอนคว่ำหน้าบนกระโปรงของตัวเองไปด้วย
“ทรงพักผ่อนเสียหน่อยเถอะเพคะ ไม่เป็นไรเพคะ”
ตุบ ตุบ มือที่ตบแผ่นหลังเบาๆ อย่างสม่ำเสมอทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้น ฮอนไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาเป็นเวลาสองคืนเพื่อร่างราชโองการหลายอย่าง เขาจมเข้าสู่ห้วงนิทราในสถานที่แห่งเดียวที่สามารถพักผ่อนได้โดยไม่รู้ตัว
* * *
“พระมเหสี นางในตระกูลซอมาแล้วเพคะ”
“ให้เข้ามาได้”
ในเมื่อองค์ชายสองหรือชานถูกริบสถานภาพไป สนมซอซึ่งเป็นนางสนมของเขาจึงถูกปลดจากตำแหน่งสนมด้วยเช่นกัน หากตามกฎมณเฑียรบาลแล้ว นางจะต้องออกไปจากพระราชวัง แต่ด้วยคำสั่งของพระมเหสี นางจึงกลับเข้ามายังวังจานยองแทนที่จะออกไปจากพระราชวัง
ไม่มีนางในคนใดชื่นชมสิทธิพิเศษที่นางสนมผู้หยิ่งยโสและไม่เคยส่งยิ้มหรือส่งสายตาให้ผู้ใดเลยได้รับ แต่มินอาก็ไม่สนใจสายตารุนแรงซึ่งจับจ้องทุกครั้งที่เดินผ่าน นางเดินตรงไปยังเรือนด้านในด้วยชุดผ้าฝ้ายสีขาวคล้ายรยูฮาแทนชุดผ้าไหม
“ทุกคนถอยออกไป และห้ามให้ใครเข้ามาใกล้เป็นอันขาด”
รยูฮาปิดประตูหลังจากสั่งให้นางในทุกคนถอยออกไป ตู้เอกสารที่ใช้ตั้งแต่อยู่ที่วังซึงกอนถูกย้ายมายังวังจานยองและถูกวางไว้ตรงตำแหน่งเดิม รยูฮาเปิดมันออกและรื้อค้นภายในนั้น ก่อนจะนำชุดคลุม ดาบ ถุงเงินและกระดาษหนึ่งแผ่นวางไว้บนโต๊ะตามลำดับ
“เหลืออีกสองวัน”
“หากทรงทำเพื่อหม่อมฉัน ไม่ต้องทำเช่นนี้ก็ได้เพคะ”
นั่นคือประโยคแรกที่นางพูดออกมาในรอบหลายวันหลังจากบทลงโทษถูกตัดสินเรียบร้อย นางจะให้รยูฮาตกที่นั่งลำบากเพราะตัวเองไม่ได้ มินอาสรุปได้เช่นนั้นในขณะที่ปิดปากสนิทและจ้องมองไปกลางอากาศ หากมินอากับชานหายตัวไปในเวลาเดียวกัน รยูฮาก็จะถูกเพ่งเล็งอย่างแน่นอน และพวกนางในปากไวก็จะสร้างข่าวลือเกี่ยวกับพระมเหสีซึ่งเคยเป็นภริยาของชานแม้จะในระยะเวลาสั้นๆ และข่าวลือนั้นก็จะแพร่สะพัดไปทั้งในและนอกวัง
“ข้าทำเพื่อฝ่าบาท และเพื่อเจ้าด้วยเช่นกัน”
รยูฮากางกระดาษออกอย่างใจเย็น มันคือแผนที่ของพระราชวังที่ฮอนเคยส่งมาให้รยูฮาในตอนที่วางแผนแย่งชิงราชบัลลังก์ เนื่องจากว่าในแผนที่นั้นมีเส้นทางลับซึ่งมีแค่พวกที่เกิดและเติบโตขึ้นในวังเท่านั้นที่จะสามารถรู้ได้ถูกวาดไว้อยู่ด้วย จึงเป็นเครื่องนำทางที่ยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับมินอาในการที่จะไปยังคุกโดยไม่ตกเป็นเป้าสายตาผู้อื่น
“แล้วจะทรงปกปิดข่าวลือที่อาจล่วงเกินพระมเหสีอย่างไรหรือเพคะ”
“ข่าวลือ?”
รยูฮาอมยิ้มเล็กน้อยแล้วจึงเขียนสัญลักษณ์คุกที่ชานถูกคุมขังอยู่บนแผนที่
“ช่างมันสิ ตัดลิ้นมันออกซะก็สิ้นเรื่อง”
นี่แหละคือรยูฮา ผู้ที่เคยซ่อนเหล้าในห้องเก็บของไว้ดื่มและให้เหยี่ยวบินออกไปสำรวจพื้นที่ล่าสัตว์ตลอดทั้งคืน และผู้ที่ผ่านการเป็นพระชายาจนได้แต่งตั้งเป็นพระมเหสีในตอนนี้ก็เช่นกัน มินอาหวนนึกถึงความทรงจำในสมัยก่อนจากคำพูดที่รุนแรงของรยูฮา แล้วจึงหัวเราะตามนาง
“และเจ้าห้ามบอกข้าด้วยว่าเจ้าจะไปทางไหน”
“หม่อมฉันยังไม่บอกเลยเพคะว่าจะไป”
มินอาเลิกทำกิริยาสุภาพเรียบร้อยและนอนฟุบลงบนโต๊ะ
“พระมเหสี”
“ว่าอย่างไร”
“ทรงรักฝ่าบาทไหมเพคะ”
“แน่นอนสิ”
รยูฮายักไหล่เหมือนกับเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว ก่อนจะแก้มัดถุงเงินออกมาลองนับทองคำที่อยู่ข้างใน นางบ่นพึมพำว่าเหมือนจะยังขาดอีกนิดหน่อย แต่จากที่มินอาเห็น เพียงแค่มีทองคำขนาดนั้นก็สามารถมีกินมีใช้ได้หลายปีโดยไม่ขาดเหลืออะไร
“เหตุผลคืออะไรหรือเพคะ”
“เพราะรูปงามอย่างไรเล่า”
“แค่นั้นหรือเพคะ”
“ตัวก็สูง มือก็ใหญ่ แล้วตรงนั้นก็…”
“พอเพคะ!”