วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 13-1 [เล่ม 4]
“นี่ ซอรยูฮา”
“อะไร”
ทั้งเสียงและเท้าของรยูฮาที่เดินนำหน้าลอยเข้าหาโฮจินในเวลาเดียวกัน แต่โฮจินก็ไม่ใช่เล่นๆ เขาหลบมันอย่างฉิวเฉียดและขึ้นไปบนหลังม้าที่จูงอยู่เหมือนสักครู่อย่างนิ่มนวล ทำตัวอวดดีต่อไป
“ออกมาข้างนอกแล้วก็ต้องถอดตำแหน่งออกด้วยสิ ในเมื่อตอนนี้ข้าอยู่ในตระกูลซอแล้ว ดังนั้นก็เท่ากับว่าเป็นพี่ชายของเจ้าอย่างเป็นทางการ…”
“ถ้าไม่อยากโดนก็หุบปากซะ”
แม้แต่สัตว์ดุร้ายก็ย่อมเชื่อฟังผู้ที่ทุบตีตัวเองตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งโฮจินก็เป็นประเภทนั้นเช่นกัน
“…จะให้ข้าเรียกว่าอะไรดีขอรับ”
“ท่านรยูฮา”
“ขอรับ ท่านรยูฮา ข้าน้อยมีเรื่องอยากจะถามน่ะขอรับ”
“ถ้าขืนยังพูดเรื่องไร้สาระอีกครั้งนึงล่ะก็”
“โว้ว ช่างฉุนเฉียวง่ายเสียเหลือเกิน”
“จะถามอะไรล่ะ พูดแค่ธุระ แล้วหุบปากซะ”
“เหตุผลที่ปล่อยม้าดีๆ ทิ้งไว้แล้วเดินไปคืออะไรขอรับ”
ไม่ใช่แค่ม้าที่แม้แต่คนตาบอดถึงกับปรบมือและตาลุกวาวเพียงตัวเดียวเท่านั้น แต่ปล่อยไปถึงสองตัวด้วยกัน เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงต้องดูแลม้าที่เห็นได้ชัดว่าเป็นม้าพันธุ์ดีประหนึ่งเป็นเจ้านายด้วย แค่ขี่ไปเร็วๆ ก็สิ้นเรื่อง
“เพราะมินอาน่าจะเดินไปอย่างไรเล่า”
“ทำไม นางก็เอาเงินไปด้วยนี่ คงจะซื้อม้าสักตัวแล้วแหละ”
พวกผู้ชายมักจะซื่อบื้อแบบนี้อยู่แล้ว หรือมีแค่โฮจินที่ซื่อบื้อกันนะ รยูฮาลังเลสักพัก แต่ในไม่ช้าก็ตระหนักได้ว่ามันไม่สมควรที่จะต้องลังเลเลย
“เดี๋ยวจะแท้งไง”
นางน่าจะยังอยู่ในเมืองหลวงเพื่อที่จะสามารถไปหาหมอได้ทันทีหากมีอะไรเกิดขึ้น และคงจะเคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆ แน่นอน แต่ปัญหาก็คือการที่ไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าตอนนี้มินอาปลอมตัวเป็นชายหรือหญิงกันแน่ จึงเป็นเหตุผลที่ทำไมถึงหาร่องรอยของนางไม่เจอแม้แต่น้อย ทั้งที่ท่านมหาเสนาบดีระดมทั้งกลุ่มพ่อค้าซึ่งเป็นแหล่งข่าว ทหารและผู้อารักขาของครอบครัวออกไปตามหาแล้วก็ตาม
“ถ้าอย่างนั้นก็จะขี่ม้าไม่ได้เลยจนกว่าจะคลอดลูกหรือขอรับ”
“น่าจะประมาณหกเดือน…ไม่สิ ก็คงจะขี่ไม่ได้ไปเรื่อยๆ นั่นแหละ เฮ้อ หุบปากหน่อยเถอะ!”
ไม่เข้าใจเลยว่าฮอนคิดอะไรอยู่ถึงได้ส่งให้โฮจินมาด้วย รยูฮาตะเบ็งเสียงออกมาเพื่อที่จะปิดปากของโฮจินที่คอยรบกวนสมาธิอันยุ่งเหยิง ก่อนจะจดจ่ออยู่กับความคิด ถ้าเราเป็นมินอาจะใส่ชุดแบบไหนและไปทางไหนกันนะ
หลังจากคิดแวบหนึ่ง ก็รู้สึกเหมือนว่านางน่าจะปลอมตัวเป็นผู้ชายในชุดคลุมที่เคลื่อนไหวสะดวกอย่างแน่นอน แต่แล้วก็คิดได้ว่าบางทีมินอาอาจจะคิดว่านั่นมันโจ้งแจ้งเกินไปจึงใส่ชุดผู้หญิงแทนก็ได้
ในระหว่างที่รยูฮากำลังพยายามค้นหาตามเมืองหลวงโดยไม่มีแผนอยู่นั้น มินอาก็อยู่ในที่ที่ไม่ว่าจะใช้คนจำนวนมากหาเท่าไหร่ก็ไม่สามารถหาพบ
“ข้าจะเข้าพักเป็นเวลาห้าวัน เหล้าไม่ต้องและขอคนรับใช้แค่คนเดียวก็พอ ให้คอยอยู่ใกล้ๆ แต่ห้ามเข้ามาในห้องก่อนที่ข้าจะเรียก”
พวงเหรียญเงินที่ชายรูปหล่อคนหนึ่งยื่นให้ ทำให้ริมฝีปากของแฮงซูฉีกกว้างไปถึงใบหู ดูจากเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ราคาแพงตั้งแต่หัวจรดเท้าและการสะพายย่ามแล้วนั้น คงจะเป็นบุตรของตระกูลขุนนางที่ออกมาท่องเที่ยวเป็นแน่ จึงมองข้ามโรงเตี๊ยมที่มีมากมายประหนึ่งเม็ดทรายริมแม่น้ำและเลือกพักในสถานที่ที่ดีกว่า ทั้งยังจ่ายถึงขนาดนี้แม้จะบอกว่าไม่ดื่มเหล้าก็ตาม เรียกว่าเงินไหลเข้าถุงเงินเลยก็ว่าได้
“แล้วก็ ดูเหมือนว่าท่านพ่อของข้าน่าจะส่งคนมาตามหาข้า แต่ข้ายังไม่อยากกลับไป รู้ใช่ไหมว่าหมายความว่าอย่างไร”
“แน่นอนอยู่แล้วขอรับ อ๋อ แล้วจะให้เรียกท่านว่าอย่างไรหรือขอรับ เพราะว่าจะต้องจดบันทึกลงในสมุดรายชื่อ บอกนามสมมติมาก็ได้ขอรับ”
“…ชาน”
ชื่อนั้น มินอาอ้างชื่อที่นึกออกเป็นชื่อแรกในหัวออกไป เมื่อชื่อถูกบันทึกลงในสมุดรายชื่อจึงรู้สึกเหมือนได้ออกเดินทางมากับชาน ความคิดถึงกระจายไปทั่วภายในหัวใจอันว่างเปล่า รอยยิ้มอันเศร้าสร้อยถูกวาดบนริมฝีปากของนาง
“ขอรับ นายท่าน พักผ่อนให้สบายนะขอรับ”
“เดี๋ยว”
ห่ออะไรบางอย่างถูกโยนไปตรงหน้าของแฮงซูซึ่งกำลังจะถอยกลับไปหลังจากโค้งคำนับอย่างสวยงาม
“สุขภาพของข้าไม่ค่อยสู้ดีนักจึงต้องทานยาสมุนไพร ต้มมาให้ข้าเช้าเย็น ส่วนอาหารก็หลีกเลี่ยงของเค็มและเผ็ดด้วย ถ้าเป็นเนื้อก็ขอแบบต้มเท่านั้น”
“ได้ขอรับ”
พอมาดูแล้วใบหน้าที่ซีดเซียวและซูบผอมก็ดูอ่อนแอมากทีเดียว จึงเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงไม่ดื่มเหล้าทั้งที่มาจนถึงที่นี่แล้ว แฮงซูพยักหน้าพร้อมกับออกไปพร้อมห่อยาสมุนไพร จากนั้นมินอาจึงถอนหายใจและค่อยๆ เอนตัวนอนลงบนเตียง ก่อนอื่นพักผ่อนอยู่ที่นี่ให้เต็มที่สักห้าคืน แล้วค่อยคิดหาทางออกอย่างจริงจังหลังจากร่างกายแข็งแรงขึ้นแล้ว
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะเพคะฝ่าบาท”
แม้จะอยู่คนเดียวแต่ก็ไม่ได้อยู่คนเดียว นางจึงไม่รู้สึกเหงาแต่กลับง่วงเสียอย่างนั้น มินอาเปลี่ยนเป็นชุดสบายๆ และเข้าสู่ห้วงนิทราโดยไม่รู้ตัวหลังจากหาวหนึ่งที
* * *
“ช่าง…ซ่อนตัวได้เก่งจริงๆ นะขอรับ”
“เก่งกว่าข้าเสียอีก”
“เรื่องการซ่อนตัว ข้าเป็นคนสอนให้เองขอรับ”
รยูฮากับโฮจินนั่งหันหน้าเข้าหากันกระดกแก้วเหล้าและพูดคุยกันเรื่องไร้สาระ หลังจากออกมาจากพระราชวัง วันนี้ก็เป็นวันที่ห้าแล้ว พวกเขาออกตามหาทั่วทุกหนแห่งแล้วไม่ว่าจะเป็นโรงหมอ โรงเตี๊ยมเก่าๆ โรงเตี๊ยมราคาแพง ไปจนถึงร้านอาหารที่ตามองเห็น แต่ก็ไม่มีลูกค้าทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่หน้าตาคล้ายกับมินอาเลย
“ไม่น่าให้เงินนางไปเลย”
รยูฮานึกถึงทองที่มอบให้มินอาพร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ถึงแม้ว่ามินอาจะซ่อนตัวอยู่ในบรรดาโรงเตี๊ยมที่พวกเขาตามหาแล้ว แต่นางก็คงจะปิดปากเจ้าของโรงเตี๊ยมด้วยเงินนั้นไปแล้ว
“ถึงจะไม่ให้เงิน นางก็คงจะซ่อนตัวได้ดีอยู่ดีขอรับ ดังนั้นการที่มีเงินก็ทำให้โล่งใจไปได้เปราะหนึ่งนะขอรับ”
“ก็ถูกของเจ้า”
รยูฮารินเหล้าดังจ๊อกและเอาเข้าปากทันทีอีกครั้ง ก่อนจะสั่งเหล้าที่ดีที่สุดในโรงเตี๊ยม กลิ่นอันหอมหวานเตะเข้าที่ปลายจมูก
“แต่ก็ดีนะที่ได้ออกมา ได้ดื่มเหล้าทุกวันด้วย ถ้าหามินอาเจอแล้ว เราไม่ต้องรีบกลับหรอก”
“ไหนๆ ก็ออกมาแล้ว ไปรับแชยอนที่ฮเยกุกไม่ได้หรือขอรับ”
“น้องสาวที่ตั้งท้องหายตัวไปทั้งคน ยังจะคิดถึงภรรยาอีกหรือ”
“ชิ”
โฮจินจิ๊ปากไม่พอใจ ก่อนจะกระดกเหล้าในแก้วตัวเองใส่ปาก
“พอได้อยู่ที่นี่แล้วก็ยิ่งคิดถึงมากขึ้นกว่าเดิมอีกนะขอรับ ตอนที่สั่งอาหารในโรงเตี๊ยมให้ก็ทำตาโตและหยิบกินใหญ่เลย ช่างน่ารักเสียจริง”
“นั่นมันตอนไหนกัน”
“ตอนที่จุดไฟเผาบ้านแชยอนแล้วหนีออกมาน่ะ”
“เจ้านี่เองสินะ ว่าแล้วเชียว”
โฮจินยิ้มเล็กน้อยและยักไหล่หนึ่งที มาถึงตอนนี้แล้วรยูฮาก็ไม่ได้มีความคิดที่จะยกเรื่องนั้นขึ้นมาพูดนัก และก็ไม่ได้อยากพูดถึงตั้งแต่แรกอยู่แล้วด้วย
“พอข้าจุดไฟเผาและจัดการอะไรนิดหน่อยเสร็จ พวกนักลอบสังหารต่างก็กรูกันเข้ามาที่เรือนเล็ก แต่พอจัดการพวกนั้นได้ ไฟก็ลามมาถึงปลายจมูกแล้ว เฮ้อ ถ้าช้ากว่านั้นแค่นิดเดียวคงได้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเป็นแน่”
“ก็เจ้าเอาแต่ทำเรื่องไร้สาระอย่างไรเล่า เป็นเพราะเจ้า ข้ากับมินอาถึงได้ลำบากขนาดนี้”