วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 13-10
ใบหน้าที่กำลังตกใจซบอยู่กับหน้าอกกว้าง กลิ่นกายหอมหวานถูกส่งออกมาจากเส้นผมที่ปล่อยลงด้านล่างไร้การตกแต่งใดๆ ถึงแม้ร่างกายจะเหน็ดเหนื่อยจนแทบจะพัง แต่กลิ่นกายของรยูฮาก็ทำให้เขาหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
“เสด็จมาถึงที่นี่ได้อย่างไรเพคะ”
“ข้าคิดถึงพระมเหสีจนทนไม่ไหวน่ะ”
“ทรงปรับกำหนดการอย่างเป็นทางการแล้วหรือเพคะ”
“อ้า ขอร้องล่ะ เรื่องนั้นไว้คุยทีหลังเถอะ”
ฮอนทำเสียงงอแงและผ่อนแรงที่แขน แต่มือที่โอบไหล่ของรยูฮาอยู่ก็ยังคงไม่เอาลง โฮจินทำท่าเหมือนจะอาเจียนและเดินหายออกไปไกล ส่วนพวกทหารองครักษ์ก็ยังคงโค้งคำนับและไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองพวกเขา
“มินอาล่ะ”
“อยู่ในห้องเพคะ”
“ข้า…ไปหาได้หรือไม่”
คำถามที่ระแวดระวังทำให้รยูฮาย่นหน้าผากเล็กน้อยด้วยความลังเล เพราะในตอนที่ฮอนไม่รู้สึกตัว นางเองก็ไม่อยากเจอชานเป็นที่สุด ทั้งที่ก่อนจะรู้ความจริงว่าชานเอายาพิษให้ฮอนกินเสียอีกด้วยซ้ำ
“ขอหม่อมฉันไปถามดูก่อนนะเพคะ โซยู ช่วยพาสามีของข้าและผู้ติดตามเข้าไปข้างในด้วย แล้วนำอะไรเย็นๆ ให้พวกเขาดื่ม รวมถึงบอกให้แม่ครัวเตรียมสำรับอาหารไวๆ ด้วย”
“เจ้าค่ะ นายหญิง”
ฮอนเดินเข้าไปด้านในตามการนำทางของโซยู โดยไม่สามารถละสายตาออกจากรยูฮาได้เลย แต่แล้วนางก็หายตัวไปหามินอาอย่างรวดเร็ว ไม่มีทางที่มินอาซึ่งมีประสาทสัมผัสว่องไวกว่าตนเองจะไม่สังเกตเห็นความโกลาหลวุ่นวาย แต่นางคงจะคิดว่ามันไม่ใช่สถานการณ์ที่ดีนักจึงไม่ออกมา หลังจากยืนลังเลอยู่หน้าประตูห้องสักพัก สุดท้ายรยูฮาก็ค่อยๆ เปิดประตูเข้าไปข้างใน
“มินอา”
“เพคะ”
“ฝ่าบาทเสด็จมาแต่…หากเจ้าไม่อยากพบก็ไม่เป็นไรนะ”
แม้ความกังวลของรยูฮาจะดูน่าอาย แต่ก็ได้รับคำตอบที่สงบนิ่งพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง
“ไม่เป็นไรหรอกเพคะ แต่หม่อมฉันยังขยับตัวได้ลำบาก เพราะฉะนั้นช่วยพาฝ่าบาทมาที่นี่ได้ไหมเพคะ”
“ไม่เป็นไรใช่ไหม”
“เพคะ ฝ่าบาททรงเป็นเสด็จอาของเด็กคนนี้ไม่ใช่หรือเพคะ”
หากสูญเสียฮอนไป เราจะสามารถอดทนและเข้มแข็งได้เหมือนกับมินอาไหมนะ รยูฮารู้สึกประหลาดใจ เห็นใจ และสงสารไปพร้อมๆ กัน แล้วควานหาอะไรบางอย่างในโต๊ะเครื่องแป้ง ก่อนจะหยิบหวีและเครื่องประทินผิวออกมา
“เดี๋ยวหม่อมฉันทำเองเพคะ”
“แต่ข้าอยากทำให้”
มือรวบเส้นผมที่ปล่อยยาวลงด้านล่างไว้เป็นช่อเดียวก่อนจะหวีขึ้นอย่างพิถีพิถัน จากนั้นรยูฮาก็ยึดเส้นผมที่ถูกเกล้าขึ้นด้วยปิ่นปักผมเรียบๆ และปิดท้ายด้วยการตบเครื่องประทินผิวบนใบหน้าของมินเอาเบาๆ ก่อนจะนำชุดใหม่ออกมาให้เปลี่ยน
“เปลี่ยนชุดนะ เดี๋ยวข้าจะไปพาฝ่าบาทมา”
รยูฮาออกมาพลางจัดผมตัวเองหนึ่งทีและจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย พระราชาคงจะโยนงานกิจการแผ่นดินทิ้งและหนีออกมาอย่างแน่นอน ต้องตำหนิอย่างเจ็บแสบกลับไปเสียหน่อย แต่ริมฝีปากกลับไม่รู้เรื่องรู้ราวและเอาแต่อมยิ้มอยู่เรื่อย นางยืนอยู่ตรงนั้นสักพักพร้อมกับคิดว่าควรจะต้องปรับสีหน้าสักหน่อย จากนั้นจึงตรงไปยังเรือนด้านในเพื่อไปพาฮอนมา
“หม่อมฉันจะพาไปตรงนู้นเพคะฝ่าบาท”
“เราอยู่ข้างนอกนี่ ทำไมไม่เรียกข้าว่าสามีเล่า”
เป็นเพราะริมฝีปากที่เอาแต่อมยิ้ม จึงทำให้ปรับสีหน้าได้อย่างยากลำบาก แต่พอได้ยินสิ่งที่ฮอนพูด นางกลับทำมันได้ดีทีเดียว สีหน้าของรยูฮากลับมาเป็นเหมือนปกติภายในพริบตาเดียวและนำทางฮอนออกไปอย่างมีมารยาทไร้ที่ติ เสียงบ่นเบาๆ ตรงเข้าหาฮอนที่กำลังตื่นเต้นไม่ว่านางจะมีสีหน้าแบบใดก็ตาม
“ทรงต้องรักษาความมีเกียรติต่อหน้าเหล่าผู้ติดตามด้วยสิเพคะฝ่าบาท”
“จะบอกว่าไม่น่ารักงั้นหรือ”
“ฝ่าบาท”
“ข้าเข้าใจแล้ว พระมเหสี”
ตบหัวของฮอนที่พูดเน้นคำว่า ‘พระมเหสี’ อย่างประชดประชันสักทีดีไหมนะ ในระหว่างที่ลังเลอยู่นั้นก็มาถึงเรือนที่มินอาพักอาศัยอยู่ ซึ่งนางเปิดประตูรอทั้งสองคนอยู่แล้ว ฮอนหยุดชะงักไปสักพักเหมือนตั้งสติแล้วจึงเข้าไปข้างใน พร้อมทั้งปิดประตูด้วยตัวเอง นี่เป็นการพบกันครั้งแรกนับตั้งแต่หลังจากพิธีราชาภิเษกที่มีการยึดราชบัลลังก์เกิดขึ้น
“ถวายบังคับเพคะ พระราชา”
“ทำตัวตามสบายเถอะ”
เกิดความเงียบขึ้นพักหนึ่ง คิดว่าน่าจะไม่เป็นไร แต่ไม่ใช่เลย ใบหน้าที่เหมือนจะไม่คล้ายแต่ก็คล้ายกับชาน เสียงที่ทำให้คิดถึงเขานั้นไม่ดีเลยสักนิด มือที่ลังเลค่อยๆ ลูบหัวของมินอาที่ก้มหน้ากัดปากสักพักอย่างช้าๆ
“ขอโทษ ข้าอยากจะพูดคำนี้จริงๆ ข้า…ขอโทษ”
ในท้ายที่สุดขอบตาก็เริ่มร้อนผ่าว แต่ยังไม่ร้องไห้ออกมา มินอาหายใจเข้าลึกๆ และเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง และมองหน้าเค้าโครงของชานบนใบหน้าของฮอนที่จ้องมองนางอยู่ตรงหน้าด้วยความเป็นห่วง ดวงตาที่มากับหางตายาว สันจมูกโด่งเป็นทรง และใบหูที่มีติ่งหูใหญ่เป็นพิเศษ
“หม่อมฉันมีเรื่องจะขอร้องเพคะ”
“ว่ามาเลย”
“ขอหม่อมฉันลองจับพระพักตร์หน่อยได้ไหมเพคะ”
ฮอนเลื่อนตัวไปข้างหน้ามินอาเล็กน้อยแทนคำตอบ มินอาค่อยๆ ยกมือขึ้นมาลูบบนสันจมูกหนึ่งทีและสัมผัสติ่งหูอย่างระมัดระวัง จากนั้นวางมือลงบนแก้มเพื่อสัมผัสไออุ่นเป็นอย่างสุดท้าย เส้นเลือด ไออุ่น และสีของดวงตาที่เหมือนกับชาน ชานมีชิวิตอยู่ข้างในนี้ มินอาเอามือออกและค่อยๆ โค้งศีรษะคำนับ
“เสร็จแล้วหรือ”
“เพคะ ฝ่าบาท”
เมื่อดวงตามินอาที่สั่นไหวจนน่าสงสารกลับมาสงบเหมือนเดิมอีกครั้ง รยูฮาจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความโล่งใจ แม้ว่าทุกคนต่างบอกว่านางกับมินอาคล้ายคลึงกัน แต่รยูฮารู้ว่าพวกนางสองคนไม่เหมือนกันสักนิดเดียว มินอาจะต้องมีความเป็นผู้ใหญ่ยิ่งกว่าอายุเพื่อนางที่มักจะเหยียดหยามคนอื่นด้วยความสะเพร่าบ่อยครั้ง ดังนั้นนางจึงรู้สึกขอโทษและสงสารยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“คลอดตอนไหนรึ”
“ตอนนี้เพิ่งจะเกินสามเดือนมานิดหน่อย ดังนั้นคาดว่าน่าจะประมาณช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตในฤดูใบไม้ร่วงเพคะ”
“ฤดูใบไม้ร่วงอย่างนั้นหรือ…”
ฮอนลองนับนิ้วคำนวณเดือนที่เหลือและคิดหาแผนที่พอจะเคลื่อนไหวพวกเสนาบดีได้ ยังพอมีเวลา ถึงแม้ว่าจะต้องกำจัดออกไปจากท้องพระโรงที่โหรงเหรงอยู่แล้วอีกจำนวนหนึ่งก็ตาม แต่อย่างไรเสียก็ต้องคืนตำแหน่งมาให้ชานให้จงได้
“งั้นก็คงจะต้องเปลี่ยนสถานภาพของเจ้าไปก่อน และข้าจะจัดเตรียมที่พักอาศัยไว้ให้ในที่ที่เจ้าต้องการ หากอยากกลับเข้ามาที่วังก็เข้ามาได้เลย”
ที่ที่เจ้าต้องการ จู่ๆ มินอาก็นึกถึงเสียงที่รยูฮากระซิบบอกว่าอยู่ที่นี่อีกสักพักแล้วกลับบ้านกันเถอะขึ้นมา และนึกถึงแขนของท่านมหาเสนาบดีที่รับตัวนางไว้ได้ทันก่อนที่นางจะล้มลงในตอนที่หมดสติระหว่างทางไปฝังร่างของชานขึ้นมา รวมถึงมือของนายหญิงตระกูลจองที่คอยเช็ดหน้าผากให้อย่างระมัดระวังเพราะกลัวว่าจะทำให้ตื่น พวกเขาเป็นทั้งครอบครัวและบ้านของนาง
“หม่อมฉันไม่อยากไปที่วังหลวงเพคะ ให้หม่อมฉันอยู่ที่บ้านของตระกูลซอเถิดเพคะ”
“ตกลง”
มินอามักจะไม่มีสิ่งที่ปรารถนา และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่นางขอร้องฮอนเช่นกัน ฮอนถามอีกหลายต่อหลายรอบว่าไม่อยากได้อย่างอื่นแล้วหรือ ก่อนจะออกจากห้องมินอาไปหลังจากได้ยินคำตอบว่าไม่มีสิ่งที่ต้องการแล้วหลายรอบเช่นกัน
และในช่วงหัวค่ำวันเดียวกันนั้น
“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”
“ลดเสียงลงหน่อยสิ! ทำไมจะไม่ได้กันเล่า”
พระอาทิตย์ยามอัสดงค่อยๆ คล้อยต่ำลงและแสงสีส้มก็กลืนกินลานหน้าเรือน แต่ข้างหน้าห้องของรยูฮายังห่างไกลกับคำว่าสงบยิ่งนัก เนื่องจากสงครามประสาทที่ยังไม่สิ้นสุดระหว่างฮอนที่สั่งให้ออกไปไกลๆ เสียทีเพราะไม่จำเป็นต้องเฝ้าแล้วกับเหล่าทหารองครักษ์ที่บอกว่าไม่ได้เด็ดขาด
“นี่คือคำสั่ง พวกเจ้าจะขัดคำสั่งข้างั้นรึ! ไปให้พ้นๆ เสียทีเถอะ!”
“ทรงฆ่ากระหม่อมเสียเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
“แล้วข้าจะไปฆ่าพวกเจ้าทำไมกันเล่า!”