วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 13-12
จู่ๆ ก็มีหญิงสาวแปลกหน้ามาบอกว่า ไปเรียกเจ้าเมืองมา ไม่ใช่ ช่วยไปเรียกเจ้าเมืองมาให้หน่อยเจ้าค่ะ คนเฝ้าประตูจึงมองปราดตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความประหลาดใจ ทั้งยังย่นหน้าผากประหนึ่งมองคนบ้า นางมาในชุดสีขาวราวกับหิมะพร้อมกับผมที่ปักด้วยปิ่นปักผมเรียบๆ ซึ่งสิ่งที่สะดุดตาก็มีเพียงแค่แหวนฝังอัญมณีสีแดงเท่านั้น แต่ที่ไม่ไล่ออกไป เพราะนอกจากจะเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นดูสูงส่งอย่างไรไม่รู้ แล้วยังรู้สึกถึงบางอย่างในน้ำเสียงที่ทรงพลังจนไม่สามารถปฏิเสธได้อีกด้วย
“ต้องบอกมาก่อนว่าเป็นใครมาจากไหน…ขอรับ”
เป็นเรื่องที่แปลกมากจริงๆ ปกติแล้วจะพูดจาห้วนๆ แต่ไม่รู้ทำไมถึงเติมคำสุภาพไปที่ท้ายประโยคด้วย คนเฝ้าประตูค้นพบว่าตัวเองรู้สึกสับสนและค่อยๆ เสียศูนย์ทีละน้อย
“ข้าจะไม่พูดเป็นครั้งที่สาม ไปเรียกเจ้าเมืองมา”
“ไม่ ท่านเจ้าเมืองเป็นขี้หมาบ้านไหนรึ…แต่ข้าจะลองไปคุยกับท่านดูก่อน…ขอรับ”
นี่มันไม่ใช่แล้ว คนเฝ้าประตูเข้าไปด้านในเหมือนกับถูกสะกดจิต โดยที่ไม่รู้เลยว่าสัญชาตญาณในการมองผู้มีอำนาจออกได้ช่วยชีวิตตัวเองไว้ อย่างน้อยก็จนกระทั่งก่อนที่จะไปแจ้งเจ้าเมืองว่า “มีผู้หญิงสวมชุดสีขาวมาพบใต้เท้าขอรับ”
“ชุดสีขาว?”
ชุดสีขาวอย่างนั้นหรือ ชุดขาวคือชุดที่ดูแลรักษายากมาก พวกสามัญชนคนธรรมดาที่ต้องทำงานจึงไม่สามารถใส่ได้ ทั้งยังเป็นชุดที่ดูไม่เป็นชนชั้นสูงด้วยจึงไม่มีใครเหลียวแล แม้จะได้ยินว่ามันค่อนข้างได้รับความนิยมในเมืองหลวงเพราะพระมเหสีทรงชอบใส่ แต่ในเขตชนบทแบบนี้น่าจะไม่มีเรื่องอะไรแบบนั้น จู่ๆ ในหัวของเจ้าเมืองที่ขมวดคิ้วก็นึกถึงผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นมา จะลืมได้อย่างไรกันเล่า
“ผู้หญิงคนนั้น เอ๊ย ท่านผู้นั้น หะ…หางตาชี้ขึ้นนิดหน่อยและดูเป็นชนชั้นสูงใช่หรือไม่”
“เอ่อ ถูกต้องขอรับ ท่านรู้จักหรือขอรับ”
“ไอ้บ้านี่! ปล่อยให้ท่านผู้นั้นยืนอยู่ข้างนอกหรือไง รีบพาเข้ามาข้างในเดี๋ยวนี้! ไม่สิ เดี๋ยวข้าไปเอง!”
เจ้าเมืองรีบร้อนวิ่งออกไปข้างนอกโดยที่ยังไม่ทันได้ใส่รองเท้าให้ดีๆ แล้วหมอบกราบลงกับพื้นในทันที ส่วนคนเฝ้าประตูก็ทำตามเขาโดยที่ไม่เข้าใจสถานการณ์เช่นกัน คำพูดที่ออกมาจากปากเจ้าเมืองต่อจากนั้นจึงทำให้เขารู้ว่าเมื่อสักครู่นี้ตัวเองได้ก้าวเข้าไปในปรโลกจนถึงก้นแล้วและก้าวออกมา
“ถะ ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ พระมเหสี!”
รยูฮาผงกศีรษะให้และเดินตามเจ้าเมืองเข้าไปในข้างใน ในไม่ช้าโต๊ะชาก็ถูกนำออกมา แต่ใบชาไม่ใช่ของชั้นเลิศ ดูท่าว่าตอนนี้เขาคงจะไม่กล้าแตะเงินภาษีสินะ
“เจ้าขี้หมา”
รยูฮานั่งตรงที่นั่งสำหรับผู้ทรงเกียรติ จิบชาที่เตรียมมาด้วยความเร่งรีบและพูดขึ้นเบาๆ
“พะ พ่ะย่ะค่ะ? ทรงหมายถึงกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“คนเฝ้าประตูพูดเช่นนั้นน่ะ เขาถามว่าเจ้าเมืองเป็นขี้หมาบ้านไหนหรืออย่างไร”
ไอ้บ้านั่น พระมเหสีคือผู้ที่เคยลากตัวลูกชายซึ่งถูกตัดขาข้างหนึ่งมาและให้เลือกว่าจะให้ตัดอะไรจากแขนขาที่เหลืออยู่ แต่ถึงจะเป็นลิ้นหรือนิ้วมือสักนิ้วหนึ่งก็ไม่ดีแล้ว อย่างไรก็ตามเขาก็เป็นผู้น้อยที่มีความคุ้นเคยกันพอสมควร เจ้าเมืองจึงรวบรวมความกล้าอันน้อยนิดและโน้มศีรษะลงตรงหน้ารยูฮา
“กระหม่อมไม่มีอะไรจะแก้ตัวพ่ะย่ะค่ะพระมเหสี ลูกน้องของกระหม่อมไม่เคยทราบมาก่อนจึงได้กระทำเช่นนั้นลงไป โปรดทรงอย่าได้ถือสาหาความเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ว่าจะมาพูดแค่เรื่องเดียว ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ในเมื่อรู้สึกว่าไม่จำเป็นที่จะต้องตอบรยูฮาจึงยักคิ้วและจิบชาอีกครั้ง นั่นทำให้เขาสิ้นหวังและสะพรึงกลัว ถ้าหากให้เลือกก็คงจะต้องเลือกนิ้วมากกว่าลิ้น แต่คำตอบที่ลอยมาหาเจ้าเมืองซึ่งกำลังคิดในใจอยู่กลับเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดเป็นอย่างมาก
“ช่างเถอะ ให้เด็กคนนี้ออกจากหอนางโลมด้วย เจ้าดูแลเรื่องนี้อยู่ใช่หรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ? ทรงหมายถึงโซยูหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เหตุผลที่พระมเหสีเสด็จมาหาด้วยตนเองก็เพียงแค่เพื่อให้นางบำเรอคนหนึ่งออกจากหอนางโลมเท่านั้นเองน่ะหรือ เป็นเรื่องที่แม้จะเห็นด้วยตาและได้ยินด้วยหูตัวเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อ แต่คำพูดต่อมาของนางกำชับอย่างชัดเจน
“เดี๋ยวนี้เลย อ่อ เห็นว่าลูกชายของเจ้าตามหาโซยูอยู่นี่…งั้นก็จำไว้ด้วยแล้วกันว่าข้าอยู่ข้างหลังเด็กคนนี้”
“น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะเรียกเจ้าของหอนางโลมมาให้ละเว้นนางออกจากหอนางโลมเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ!”
“และหากในอนาคตมีเรื่องที่คนเฝ้าประตูขัดขวางราษฎรอีกครั้งนึงล่ะก็ ถึงข้าจะไม่บอกแต่ก็เชื่อว่าเจ้าน่าจะรู้ดีอยู่แล้ว”
“กระหม่อมจะตักเตือนเขาเป็นอย่างดีพ่ะย่ะค่ะ”
“หากเข้าใจแล้วข้าขอตัวก่อน ทำให้ดีล่ะขี้หมา”
โซยูเก็บความฝันนี้มาเป็นเวลานานมากแล้ว แต่มันกลับใช้เวลาชั่วพริบตาเท่านั้นที่จะเป็นจริง โซยูกลับไปเก็บของที่หอนางโลมด้วยความภาคภูมิ ข้าวของเครื่องใช้ราคาแพงทั้งหลายถูกแบ่งไปให้พวกพ้อง ส่วนพวกของล้ำค่าและทองคำที่สามารถเอาไปได้ก็ให้คนรับใช้ส่วนตัวถือไป จากนั้นจึงกอดพิณซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่นางชอบในหอนางโลมและยิ้มออกมาหลังจากก้าวออกมาจากประตูใหญ่แล้ว
ผ่านไปสามวันแล้วนับตั้งแต่ที่โซยูพาเหล่าคนใช้เข้ามา โฮจินนั่งลงตรงข้ามรยูฮาด้วยสีหน้าจริงจังที่พบเห็นได้ยาก ซึ่งต่างกับนางซึ่งนั่งเอียงตัวและขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความรำคาญ
“ต้องไปตอนนี้เลยหรือ”
“สัญญาแล้วไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“แต่ข้าเป็นห่วงมินอา”
“โซยูก็คอยดูแลอยู่อย่างดีนี่พ่ะย่ะค่ะ แถมยังมีทหารองครักษ์อีกตั้งห้าคน ขนาดพระราชาที่อยู่ในวังยังแอบหนีออกมาเลย แล้วเวรกรรมอะไรของข้าถึงต้องอยู่ที่นี่และไม่ได้สัมผัสก้นของภรรยาเลยสักครั้งเดียวพ่ะย่ะค่ะ”
“งั้นก็ไปคนเดียวสิ ทำไมข้าต้องลำบากไปรับภรรยาของเจ้าด้วยล่ะ”
“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ กรุณารักษาสัญญาที่ให้ไว้ด้วย”
ทำไมถึงไปสัญญาอะไรอย่างนั้นไว้นะ รยูฮาตำหนิตัวเองในอดีตที่พยักหน้าตอบตกลงเพราะความมุ่งมั่นที่มาจากอาการเมาเหล้า แต่มันก็สายไปเสียแล้ว ถ้าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไป สู้ไปตอนนี้ที่มินอาเข้าสู่ระยะปลอดภัยน่าจะดีกว่า และถ้าหากกลับเข้าวังไปแล้วก็อาจจะไม่ได้ออกมาอีกสักพักหนึ่งเลย ดังนั้นการได้ไปเที่ยวชมประเทศอื่นก็ไม่เลวเช่นกัน
“เก็บของซะ เรือ? ม้า?”
“ม้า”
“ไปกันเถอะ ตอนนี้เลย”
โฮจินได้รับหน้าที่ในการเก็บสัมภาระ ส่วนรยูฮาก็ไปหามินอาในระหว่างนั้น ผิวพรรณดูดีขึ้นมากแล้วและวางใจมากขึ้นหลังจากเห็นที่นางออกไปเดินเล่นในยามที่แดดดี อีกหน่อยก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว
“ข้าจะไปฮเยกุกนะ เดี๋ยวกลับมา”
“เพคะ เดินทางโดยปลอดภัยอย่าให้เกิดอุบัติเหตุนะเพคะ”
โซยูที่กำลังนวดขามินอาอย่างตั้งใจอยู่ข้างๆ หยุดชะงักทันที ไม่ใช่ว่านางได้ยินประโยคที่บอกว่าจะไปดื่มเหล้าข้างบ้านผิดไปใช่ไหม
“ฮเยกุก…หรือเจ้าคะ”
“อาจจะใช้เวลาสักพักหนึ่ง ในระหว่างนั้นเจ้าต้องดูแลมินอาให้ดีนะ ข้าเชื่อใจเพียงแต่เจ้า”
ไม่ได้ยินผิดไปจริงๆ ด้วย แต่ทำไมทั้งคนพูดและคนฟังถึงได้ดูนิ่งเฉยกันแบบนั้น สำหรับโซยูแล้วมันเป็นเรื่องที่ไม่อาจเข้าใจได้เลย ถึงแม้ว่าเรื่องที่พระมเหสีของทั้งประเทศออกจากพระราชวังและเสด็จลงมายังแถบชนบทจะไม่น่าเชื่อ แต่ออกจากพื้นที่ชนบทไปยังประเทศอื่นเนี่ยนะ แถมยังกะทันหันแบบนี้ด้วย
“หมายถึงฮเยกุกที่อยู่ข้างๆ อาณาจักรของเราใช่ไหมเจ้าคะ บอกว่าจะออกเดินทางไปตอนไหนนะเจ้าคะ”
“หลังจากเก็บของเสร็จก็น่าจะหลังจากนี้ครึ่งชั่วยาม เก็บเป็นความลับจากพวกทหารองครักษ์ด้วยนะ ไม่ต้องออกมาร่ำลาล่ะ”
นางไม่อยากให้พวกน่ารำคาญติดสอยห้อยตามมาแม้แต่นิดเดียว รยูฮาทิ้งมินอาที่ยังคงนั่งอย่างสงบนิ่งและโซยูที่ขยับไม่ได้เพราะตกตะลึงเป็นอย่างมากไว้ข้างหลัง ก่อนจะออกมาหยิบชุดคลุมกับดาบสีนิล หลังจากนั้นก็เมินเฉยกับคำถามของพวกทหารองครักษ์ที่ถามว่าโฮจินไปที่ไหน และจูงม้าออกไปข้างนอกสองตัว
เกิดเสียงดังเอะอะโวยวายขึ้นพักหนึ่งท่ามกลางเหล่าทหารที่เพิ่งรู้ว่าพระมเหสีหายตัวไปหลังจากผ่านไปแล้วสักพักใหญ่ แต่ก็สายไปเสียแล้ว รยูฮาที่ยังใจดีทิ้งข้อความฉบับหนึ่งไว้ให้ออกเดินทางตรงไปยังชายแดนด้วยกันกับโฮจิน
* * *
“…เดี๋ยว”
รยูฮาดึงสายบังเ**ยนด้วยน้ำเสียงที่เบาลงเล็กน้อย เมื่อมองแวบแรกมันก็เป็นแค่ศูนย์กลางของกลุ่มการค้าต่างๆ ที่ไม่มีอะไรเป็นพิเศษนอกจากสิ่งที่มีขนาดใหญ่เป็นเท่าตัวของบ้านเรือนเท่านั้น แต่สัญชาตญาณของนักรบย่อมสัมผัสได้แม้แต่อันตรายเพียงน้อยนิด แม้โฮจินซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มจะไม่ได้กลับมาเป็นเวลานานก็ตาม แต่ประตูหน้ากลับเงียบเชียบไร้ผู้คน ทั้งยังมีความรู้สึกแปลกๆ ออกมาจากด้านในอีกด้วย พอหันไปมองข้างๆ โฮจินเองก็หยุดม้าอยู่ด้านหลังด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเช่นกัน
“แม่งเอ๊ย”
แต่ที่ต่างจากรยูฮาคือเขาได้กลิ่นแล้วว่าความผิดแปลกนี้เริ่มต้นมาจากที่ใด ทั้งสองจึงมุ่งตรงไปยังย่านที่พลุกพล่านวุ่นวายแทนที่จะเข้าไปด้านใน เนื่องจากในการพูดคุยเรื่องที่เป็นความลับ สถานที่ที่พลุกพล่านย่อมดีกว่าสถานที่ที่เงียบสงบอยู่แล้ว สายตาจำนวนหนึ่งจ้องมองมาที่พวกเขาซึ่งเข้ามาในโรงเตี๊ยมที่เสียงดังอึกทึกครึกโครม แต่ก็หายไปหลังจากที่พวกเขานั่งลงตรงในหลืบหนึ่งของโรงเตี๊ยม รยูฮาสั่งเหล้าทั้งที่บอกว่าจะไม่ดื่มกับอาหารที่กินง่ายๆ จากนั้นนั่งเท้าคางมองปราดโฮจินตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ตอนนี้บอกได้หรือยัง ทำไมถึงต้องพาข้ามารับภรรยาของเจ้าด้วย แล้วเกิดอะไรขึ้นกับกลุ่มของเจ้า”
“สัญญาก่อนขอรับว่าจะไม่ทุบตี และจะช่วยข้าไปจนถึงที่สุด”
อะไรกัน หรือว่าตอนที่อยู่ที่ฮเยกุกจะไปก่อเรื่องอะไรไว้อีก ทว่าเรื่องราวของโฮจินที่ถูกเปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ หลังจากดื่มน้ำเย็นเข้าไปหนึ่งแก้วนั้นไม่ใช่เรื่องประเภทที่จะรับฟังได้อย่างสบายใจนัก หลังจากเขาพูดจบ รยูฮาจึงเหวี่ยงหมัดใส่เขาโดยที่ลืมเรื่องที่สัญญาว่าจะไม่ทุบตีไปเสียสนิท