วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 14-2
โฮจินขมวดคิ้วพลางรู้สึกขนลุก
“อีกเดี๋ยวข้าก็จะออกจากตำแหน่งขุนนางและแค่ออกไปใช้ชีวิตพร้อมกับขยำก้นของแชยอนไปด้วยขอรับ มันก็มีช่วงหนึ่งที่ข้าเคยคิดจ้องหาโอกาสในการแก้แค้นอยู่เหมือนกัน นั่นทำให้ข้ามุ่งมั่นในการเรียนรู้วิชาดาบอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ตอนนี้ข้าไม่ได้คิดอะไรแล้วขอรับ มิหนำซ้ำยังคิดอีกด้วยว่าแบบนี้ก็น่าจะดีเสียกว่า”
“ไหนบอกว่าผู้ที่ดูแลเจ้าตั้งแต่ยังเล็กถูกสังหารหมดทุกคนไง”
“ตอนนี้ข้ามีคนที่สำคัญกว่าพวกเขาแล้วขอรับ นอกจากนั้นแล้วแม่นมกับพวกทหารองครักษ์ก็คงไม่ได้อยากให้ข้าใช้ชีวิตไปกับการแก้แค้นไร้สาระหรอก”
การคิดเองเออเองแบบนั้นคือลักษณะพิเศษเฉพาะของพวกราชวงศ์ทุกประเทศเลยหรือเปล่านะ รยูฮายิ้มเล็กน้อยพลางถือช้อนขึ้นมาตักอาหารที่เย็นชืดแล้ว
“แล้วจะทำอย่างไรต่อล่ะ”
“อย่างแรกคือต้องแอบเข้าไปในกลุ่มอย่างลับๆ แล้วแอบพาแชยอนข้ามกำแพงหลบหนีออกมา วิธีนี้ดูดีที่สุดแล้วขอรับ”
“แล้วคนที่เหลืออยู่ในกลุ่มล่ะ”
“เป็นกลุ่มของแทซากุกขอรับ ถ้าเผลอไปสะกิดเพียงนิดเดียวก็อาจจะนำไปสู่ปัญหาทางการทูตได้ ดังนั้นจึงไม่สามารถลงมืออย่างผลีผลามได้ ส่วนปัญหาที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นคือในกรณีที่แชยอนไม่ได้อยู่ในนั้นและกลายเป็นเหยื่อล่อให้ข้าเข้าไปในพระราชวัง ซึ่งหากเกิดกรณีแบบนี้ขึ้น คุณหนูจะต้องช่วยข้าด้วย เพราะลำพังข้าเพียงเดียวไม่สามารถลอบเข้าไปในวังได้ขอรับ”
“…เจ้าจะบอกให้ข้าลอบเข้าไปด้วยกันใช่หรือไม่”
“ถ้ารู้ว่านางอยู่ที่ไหนก็คงจะต้องทำเช่นนั้น แต่น่าเสียดายที่ไม่รู้ขอรับ เพราะฉะนั้นช่วยแสดงความภาคภูมิของพระมเหสีให้ดูหน่อยเถิดขอรับ”
รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างไรไม่รู้ รยูฮาไม่สามารถเรียบเรียงความคิดได้จึงกุมหัวพร้อมกับคิดถึงเรื่องราวในราชวงศ์แทซากุกอันยุ่งเหยิง ใบหน้าของฮอนและพ่อแม่ โฮจินกับแชยอน ทำไมคู่นี้ถึงเป็นตัวก่อปัญหาทุกเรื่องและสร้างความวุ่นวายในชีวิตอันสงบสุขของเราอยู่เรื่อย
อย่างไรก็ตาม เขาก็คือโฮจินซึ่งถูกรับเข้ามาเป็นพี่ชายคนเล็กสุดและเติบโตด้วยกันมาเหมือนพี่น้องแท้ๆ รยูฮากับโฮจินเริ่มรวมหัวกันและแบ่งหน้าที่ของแต่ละคนตามที่ถนัด และในเวลาเดียวกันนั้นเอง ฮอนซึ่งได้รับข่าวคราวล่าช้าก็กำลังนึกเสียดายอยู่ว่าทำไมตนถึงไม่ลากรยูฮากลับมา
“นี่มันเรื่องจริงรึ”
ที่จริงแล้วไม่จำเป็นต้องถามเลย เพราะข้อความที่เขาตรวจดูหลายต่อหลายรอบคือลายมือของรยูฮาอย่างแน่นอนไม่ผิดเพี้ยน ฮอนอ่านข้อความซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบและขอให้มีจุดที่ผิดแปลกไปบ้าง แต่มันไม่มีทางที่จะมีอะไรอย่างนั้นได้อย่างแน่นอน
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้ตรวจสอบแล้วว่าทรงประทับอยู่ด้านในจึงเฝ้าอยู่ด้านนอกพ่ะย่ะค่ะ แต่ไม่รู้ทำไมพระองค์ถึงเสด็จออกไปได้…”
“พวกเจ้าคุ้มกันพระมเหสีกันประสาอะไร!”
ฮอนตะคอกเสียงดังใส่ทหารองครักษ์ที่นำข้อความกลับมาให้แล้วถอนหายใจอย่างแรง เขารู้อยู่แล้วว่าถึงจะตะคอกใส่แบบนี้ แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดของทหารองครักษ์ หากเป็นรยูฮา การหลบหนีทหารแค่คนสองคนคือเรื่องจิ๊บจ๊อย แต่มันก็เกินไปหน่อยที่นางเดินทางออกนอกประเทศไปโดยไม่บอกกันสักคำ และทิ้งจดหมายไว้ให้เพียงฉบับเดียว
“ไปพาท่านมหาเสนาบดีมา”
“ท่านอยู่ข้างนอกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ประตูถูกเปิดออกด้วยมือของฮอน จากนั้นท่านมหาเสนาบดีจึงเข้ามาข้างในด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ถ้ามีจุดที่ต่างกับปกติก็คงจะเป็นการที่เขาเข้ามาแล้วคุกเข่าก้มหมอบตรงหน้าพระราชาในทันที เมื่อท่านเสนาบดีเข้ามาแบบนี้ในระหว่างที่เขากำลังทำตัวไม่ถูก ฮอนจึงรู้สึกสับสนพร้อมกับเข้าไปห้ามปราม
“ทำเช่นนี้ทำไมขอรับ ยืนขึ้นก่อนเถิดท่านมหาเสนาบดี”
“ฝ่าบาท โปรดโยนความผิดทั้งหมดให้กระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่สิ ไม่ ทุกคนถอยออกไปก่อน ห้ามให้ใครเข้ามาใกล้ภายในระยะสามสิบก้าว”
หลังจากไล่ข้าราชบริพารทั้งหมดออกไป เขาจึงให้ท่านมหาเสนาบดีลุกขึ้นมาได้สำเร็จ แต่ศีรษะของท่านมหาเสนาบดีก็ยังคงก้มลงไปที่พื้นราวกับยังไม่ล้มเลิกที่จะขอให้ยกความผิดให้แก่ตัวเอง
“ไม่เป็นไร การที่พระมเหสีหายตัวไปจะเป็นความผิดของท่านมหาเสนาบดีได้อย่างไรกัน”
“มันเป็นความผิดของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
คิดไว้แล้วว่าเขาคงจะพูดประมาณว่าความผิดที่เลี้ยงลูกสาวมาผิดๆ อะไรแบบนั้น แต่สิ่งที่ท่านมหาเสนาบดีพูดออกมาพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ นั้นไม่ใช่อะไรแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย
“น่าจะทรงทราบอยู่แล้วว่าพระมเหสีและโฮจินไม่ใช่พี่น้องกันแท้ๆ”
“ข้ารู้อย่างดีเชียวแหละ ได้ยินมาว่าเจ้ากรมกลาโหมถูกเก็บมาจากชุมชนแออัดตั้งแต่ยังเล็ก”
ถุงผ้าสีขาวถุงหนึ่งติดออกมากับมือของท่านมหาเสนาบดีที่ล้วงเข้าไปในหน้าอก ซึ่งสิ่งที่บรรจุอยู่ภายในนั้นคือตุ้มหูทองขนาดเล็ก แม้จะมีลักษณะเรียบๆ แต่ด้วยสีสันและความประณีต ฮอนจึงมองออกทันทีว่ามันไม่ใช่สิ่งของล้ำค่าธรรมดาทั่วไป
“สิ่งนี้คืออะไรหรือ”
“ทรงลองดูอย่างละเอียดสิพ่ะย่ะค่ะ มันคือสิ่งที่ติดมากับเด็กคนนั้น ในตอนที่กระหม่อมได้เจอโฮจินครั้งแรกพ่ะย่ะค่ะ”
มันไม่น่าจะใช่สิ่งของที่ติดตัวมากับเด็กในชุมชนแออัดอย่างแน่นอน ฮอนรับตุ้มหูนั้นมาพลิกดูไปมา แต่แล้วสายตาของเขาก็ไปติดอยู่ตรงลวดลายที่ไม่สะดุดตานัก ในเครื่องประดับของราชวงศ์ของแทบทุกอาณาจักรรวมถึงแทซากุกจะมีลวดลายนั้นประดับอยู่ และการที่มีลวดลายนั้นบนตุ้มหูนี้…
“นี่มันสัญลักษณ์ของฮเยกุกไม่ใช่หรือ”
ในขณะที่ท่านมหาเสนาบดีไม่ได้ให้คำตอบอะไรเพิ่มเติม ฮอนจึงขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางพยายามเรียบเรียงสถานการณ์นี้ ตอนนี้รยูฮาไปฮเยกุกด้วยกันกับโฮจิน เพื่อไปรับแชยอนที่ถูกทิ้งไว้อยู่ที่นั่น อะไรคือเหตุผลที่ต้องให้รยูฮาไปทั้งที่จะไปคนเดียวก็ได้ ไม่สิ จะส่งคนให้ไปรับมาก็ได้
โฮจินดูเป็นผู้ดีเกินไปที่จะมีพื้นเพมาจากชุมชนแออัด ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาภายนอกและอากัปกิริยาที่มีความหยิ่งยโส ดวงตาสีน้ำตาลที่พบได้ยาก สัญลักษณ์ของฮเยกุกที่ถูกสลักอยู่บนตุ้มหู บทสรุปที่อนุมานออกมาได้จากหลักฐานมากมายนั้นสลับซับซ้อนมากทีเดียว แม้จะเห็นด้วยก็ตาม
“โฮจิน…คือองค์ชายผู้มีชีวิตรอดของฮเยกุกงั้นหรือ”
ศูนย์บัญชาการของกลุ่มเงียบสงบราวกับป่าช้าเสียจนสงสัยว่ามีคนอาศัยอยู่ในนั้นจริงหรือเปล่า แต่ทั้งสองคนก็สามารถรู้ได้ว่ามีคนเดินผ่านไปผ่านมาอยู่บ้าง รยูฮาจะคอยดูอยู่ด้านนอกกำแพงเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอันตรายที่ไม่คาดคิด ส่วนโฮจินก็แอบเข้าไปทางกำแพงด้านหลัง ก่อนจะตรงไปยังเรือนหลังในที่แชยอนควรจะต้องอยู่
แน่นอนว่าในขั้นตอนนี้จะต้องมีคนโชคร้ายจำนวนหนึ่งที่จะต้องล้มลงกับพื้นแต่ไม่ตาย ทว่าเขาหยุดยืนอยู่ตรงหน้านั้นแทนที่จะเข้าไปในห้องแชยอน จำนวนคนที่สัมผัสได้ในห้องนั้นไม่ใช่แค่คนสองคน
“ออกมาให้หมด เลิกซ่อนตัวเหมือนหนูได้แล้ว”
โฮจินล้มเลิกที่จะเคลื่อนไหวอย่างเงียบๆ และเปิดประตูออกกว้าง แทนที่จะเป็นแชยอนลุกขึ้นมาต้อนรับเขา ภายในนั้นแน่นขนัดไปด้วยเหล่าทหารที่ดูแล้วน่าจะเกินสิบคน แต่แทนที่จะพุ่งเข้ามาฆ่า พวกเขากลับมองโฮจินและออกมาหมอบกราบตรงพื้นโดยพร้อมเพรียงกัน
“ถวายบังคมองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ”
“อย่าได้เรียกข้าด้วยคำเรียกประเภทนั้น ภรรยาของข้าอยู่ที่ไหน”
ดาบสีนิลที่โฮจินชักออกมาเต็มไปด้วยความกระหายเลือด ต่างจากเหล่าทหารที่มารวมตัวกันเพียงเพื่อพาเขากลับไป เตียงนอนที่ไม่ได้สัมผัสมานานเป็นเครื่องบอกอย่างดีว่าแชยอนได้หายตัวไปสักพักหนึ่งแล้ว
“หากหมายถึงสตรีที่เคยอยู่ที่ห้องนี้ นางไปที่พระราชวังแล้วพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท หากทรงเสด็จกลับพระราชวังแต่โดยดี นางผู้นั้นก็จะไม่เป็นอันตรายพ่ะย่ะค่ะ”
“ไร้สาระสิ้นดี”
ดาบสีนิลส่องประกายอย่างมืดมน กำแพงสีขาวถูกย้อมสีด้วยเลือดภายในพริบตา ทั้งสองคนตายคาที่โดยยังไม่ทันได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ใบหน้าของเหล่าทหารที่ไม่คาดคิดว่าจะมีการฆ่ากันเกิดขึ้นเต็มไปด้วยความตึงเครียด แต่โฮจินชี้ปลายดาบไปยังผู้ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มและพูดสิ่งที่ตัวเองต้องการจะบอกอย่างแข็งกร้าว
“ถ้าไม่อยากตายอยู่ที่นี่กันหมดก็ไปพานางมาซะ เดี๋ยวนี้”
“องค์ชาย”
เขาไม่ได้อยากตอบสนองต่อเสียงที่ดังขึ้นจากข้างหลัง แต่ที่โฮจินหันศีรษะไปตรงนั้น ไม่ใช่เพราะเขาสองจิตสองใจ ทว่าเป็นเพราะเสียงนั้นมันฟังดูคุ้นหูอย่างมากต่างหาก เสียงที่คล้ายกับใครบางคนซึ่งเขาเคยเชื่อใจและชื่นชอบเหมือนกับเสด็จพี่และเสด็จพ่อ
“จินชอน?”
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ ที่กระหม่อมมาช้า กระหม่อมไม่มีคำแก้ตัวใดๆ เลยพ่ะย่ะค่ะ”