วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 14-3
หัวหน้าทหารองครักษ์แห่งอดีตองค์รัชทายาทซึ่งได้รับหน้าที่ให้คุ้มกันตั้งแต่โฮจินยังเด็กมากๆ ตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ ทั้งยังเคยปกป้องเขาด้วยชีวิตอีกด้วย แม้วันเวลาจะทำให้เกิดริ้วรอยบริเวณรอบดวงตาของเขาและมีหิมะสีขาวตกลงบนเส้นผมที่เคยดกดำก็ตาม แต่โฮจินก็ไม่มีทางที่จะจำจินชอนไม่ได้ แต่ตอนนั้นเขาถูกแทงอย่างแรงและเลือดไหลออกมาเยอะจน…เสียชีวิตไปแล้วนี่ ทำไมถึง?
“จินชอน? ท่านยังไม่ตายหรอกหรือ”
โฮจินยกมือขึ้นไปตรงใบหน้าของจินชอนพร้อมกันกับเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย ฝ่ามือนั้นมีความมุ่งมั่นเอาจริงเอาจังราวกับต้องการจะยืนยันให้แน่ใจว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าตัวเองคือตัวจริง
“ในตอนนั้นกระหม่อมได้เดินทางไปถึงประตูแห่งความตายแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่หลังจากนั้นไม่นาน พวกที่ตามหาฝ่าบาทก็มาพบกระหม่อมเข้าและรักษาได้ทันท่วงที แม้จะเป็นการไม่จงรักภักดีแต่…นั่นทำให้กระหม่อมมีชีวิตอยู่ต่อได้จนถึงตอนนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“ตามหาข้าอย่างนั้นหรือ ใครกัน”
“พวกทหารที่พระราชาทรงส่งมาพ่ะย่ะค่ะ โปรดทรงเชื่อกระหม่อมและเสด็จกลับไปที่พระราชวังเถิดพ่ะย่ะค่ะ ได้โปรด กระหม่อมขอร้องพ่ะย่ะค่ะ”
ทหารที่พระราชาส่งมาไม่มีทางไว้ชีวิตจินชอน แต่ในเมื่อตอนนี้จินชอนยังมีชีวิตอยู่ตรงหน้า จึงไม่มีทางอื่นนอกจากจะเชื่อ โฮจินจ้องมองเขาด้วยสายตาสับสนสักพักก็เช็ดดาบและเก็บมันกลับไปเหมือนเดิมอย่างไม่พอใจนัก เงาแห่งอดีตที่คิดว่าปล่อยผ่านไปได้หมดแล้วเริ่มตะครุบแผ่นหลังของเขาอีกครั้ง
“ไปกันเถอะ”
จินชอนแสดงการขอบคุณด้วยการโค้งคำนับแล้วจึงเดินนำหน้าไป ส่วนโฮจินก็เดินตามหลังเขาทันที แต่ดูเหมือนว่าเหล่าทหารที่ล้อมรอบเขาจะรู้สึกเบาใจแล้วที่ทำหน้าที่ได้สำเร็จจึงไม่ได้สังเกตว่ามีคนอื่นอยู่อีก ให้รยูฮาตามมาดีไหมนะ หรือว่าจะให้กลับไปที่แทซากุกและบอกให้ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น โฮจินลังเลว่าจะเรียกนางดีไหมสักพักหนึ่งแล้วจึงหยุดคิด
เพราะนางมักจะทำตามใจตนเองมากกว่าเชื่อฟังผู้อื่น แต่เมื่อรยูฮาเห็นเขาเดินออกมาข้างนอกโดยมีทหารล้อมรอบ จึงชักดาบออกมาในทันที
“ใครน่ะ!”
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของรยูฮาทำให้คมดาบที่ยังคงคุกรุ่นและความกระหายเลือดพุ่งตรงไปที่นางโดยพร้อมเพรียงกัน
“กล้าดีอย่างไรถึงได้ชักดาบขึ้นมา! ยังไม่รีบเก็บไปอีก!”
คำพูดที่คาดไม่ถึงซึ่งออกมาจากปากขอโฮจินทำให้รยูฮาร้องโอ๊ะพลางเก็บดาบเข้าไป พอใช้คำพูดแบบนั้นก็เหมือนกับคนในราชวงศ์ไม่ใช่เล่น เหล่าทหารลดดาบลงอย่างลังเลตามคำสั่งของโฮจิน แต่ก็ยังไม่ลดความระมัดระวังจากผู้หญิงต้องสงสัยลง
“โค้งคำนับเสียสิ นางคือพระมเหสีของแทซากุก”
* * *
“กระหม่อมกระทำผิดอย่างใหญ่หลวงพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่นึกไม่ฝันมาก่อนเลยว่าพระมเหสีจะทรงปรากฏตัวออกมาพ่ะย่ะค่ะ”
“เป็นการเสียมารยาทของหม่อมฉันเองที่ปรากฏตัวออกมาอย่างกะทันหันแบบนี้เพคะ”
แม้จะเป็นการสนทนาที่ค่อนข้างจะสุภาพมากทีเดียว แต่บรรยากาศกลับอึดอัดแปลกๆ ช่างไม่เหมือนผู้ที่ฆ่าพี่น้องจนหมดเพื่อขึ้นครองราชบัลลังก์เอาเสียเลย รยูฮามองพระราชาของฮเยกุกเช่นนั้น ดวงตาเรียวคล้ายโฮจินดูฉลาดปราดเปรื่องและเป็นคนพูดน้อยไม่พูดเรื่องไร้สาระ นอกจากนั้นแล้วเขาควรจะตกใจกับการปรากฏตัวโดยไม่ทันคาดคิดของรยูฮา แต่เขากลับต้อนรับนางอย่างใจเย็น
“ต้องขออภัยด้วยที่ต้องทูลเช่นนี้ แต่ทรงมีความสัมพันธ์อย่างไรกับน้องชายของกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“น้องชาย? กับผีน่ะสิ น้องชายที่เคยส่งคนหนึ่งกองทัพมาฆ่าน่ะหรือ”
โฮจินพูดจาถากถางอย่างรุนแรง
“รีบส่งตัวภรรยาของข้าคืนมา เพราะข้าไม่อยากจะอยู่ในที่ที่น่ารังเกียจแบบนี้แม้เพียงวันเดียว”
“นางกำลังมาที่นี่”
ทันทีที่พระราชาแห่งฮเยกุกพูดจบก็มีเสียงเบาๆ ดังขึ้นว่า เสด็จมาข้างนอกแล้วพ่ะย่ะค่ะ หญิงสาวร่างเล็กคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในอ้อมกอดของโฮจินที่ลุกพรวดขึ้น รยูฮาเกือบจะทำหน้าเหยเกอย่างเต็มที่แล้ว แต่นึกขึ้นได้ว่าที่นี่คือวังของประเทศอื่นซึ่งควรที่จะสำรวมกิริยามารยาทยิ่งกว่าตอนไหนๆ จึงสามารถรักษาสีหน้าได้สำเร็จอย่างหวุดหวิด
“ท่านสามี ทำไมถึงได้มาช้านักล่ะเจ้าคะ”
แชยอนเป็นผู้หญิงที่ออดอ้อนเก่งแบบนี้อยู่แล้ว แต่ถึงอย่างไรก็อยากอุดหูเสียจริง
“งานข้าเยอะน่ะขอรับ ไม่มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับเจ้าใช่ไหม ฮูหยิน”
เป็นเสียงที่อ่อนโยนที่สุดในโลก แต่รยูฮากลับรู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว
“กายของข้าสบายดี แต่เพราะว่าคิดถึงท่านสามีมากก็เลยนอนไม่ค่อยหลับเลยเจ้าค่ะ”
ทนฟังต่อไม่ไหวแล้ว รยูฮาพยายามที่จะไม่เสียมารยาทจึงพูดกับโฮจินอย่างนอบน้อมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“องค์ชาย ขออภัยที่ต้องขัดจังหวะ แต่อีกสักครู่ช่วยมาคุยกับหม่อมฉันหน่อยได้ไหมเพคะ”
“พระชายา? ไม่ใช่สิ พระมเหสี!”
นางนั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว แต่ดูเหมือนว่าแชยอนจะเพิ่งสังเกตเห็น รยูฮาไม่ต้องการได้รับการทักทายจึงยกมือขึ้นเป็นการบอกให้เงียบๆ แชยอนน่าจะเข้าใจความหมายนั้นจึงโค้งคำนับให้เล็กน้อย หลังจากการพบกันอันวุ่นวายของทั้งสองจบลง ในที่สุดพระราชาแห่งฮเยกุกที่จับตาดูอยู่เงียบๆ ตลอดมาก็พูดขึ้นเบาๆ
“ต้องขอโทษด้วยที่พาตัวพระชายาขององค์ชายมาตามอำเภอใจ แต่ข้าก็ได้ส่งพวกนางในตามไปดูแลด้วย เพื่อที่จะไม่ให้เกิดความไม่สะดวกสบายใดๆ”
เป็นคำพูดที่ระแวดระวังจนไม่สมกับเป็นพระราชา แต่โฮจินก็ยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะโอบเอวแชยอนเดินออกไปทางประตู ซึ่งเป็นอากัปกิริยาที่มีความหมายชัดเจนว่านับแต่นี้ไปไม่ต้องเข้ามายุ่งอีกต่อไปแล้ว
“ตำแหน่งองค์ชายอะไรนั่นทรงมอบให้มดที่เดินผ่านไปผ่านมาเถอะ ตอนนี้ข้าจะไปแล้ว ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนานพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“จิน นั่งลงก่อนสักเดี๋ยวสิ”
“อย่าเรียกข้าด้วยชื่อนั้น!”
โต๊ะที่โฮจินเตะอย่างแรงพลิกคว่ำลงเสียงดัง ส่วนอาหารว่างที่เหล่านางในทำมาให้ด้วยความตั้งใจก็กระจัดกระจายเละเทะไปหมด พร้อมกันนั้นเหล่าทหารองครักษ์ก็เข้ามาขวางตรงหน้าของพระราชาโดยพร้อมเพรียงกัน แม้พระราชาจะชี้นิ้วให้ถอยไปข้างๆ แต่พวกเขาก็ยังคงไม่ลดความระมัดระวังลง
“หลังจากจับพี่น้องทุกคนมาฆ่าจนไม่มีทายาทมาสืบทอด พอมาถึงตอนนี้ก็เลยเรียกข้าว่าจินอย่างนั้นหรือ ถ้าบอกให้ข้าเป็นองค์รัชทายาท ข้าก็ต้องขอบใจด้วยใช่ไหม”
“เจ้ากรมกลาโหม!”
เสียงอันแหลมคมของรยูฮาเข้ามาขัดคำพูดเสียดแทงของโฮจินที่พรั่งพรูออกมาเรื่อยๆ
“หยุดพูดเถอะเพคะ ไม่รู้หรือว่าคำพูดแต่ละคำของท่านสามารถแปรเปลี่ยนเป็นความขัดแย้งระหว่างประเทศได้นะเพคะ!”
ทุกคำพูดย่อมมีผลของมัน โฮจินจึงได้แต่กัดฟังกรอดเบาๆ และไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ดูท่าคงจะต้องคลายความสงสัยที่ปรากฏบนใบหน้าของพระราชาเสียก่อน รยูฮาลังเลว่าจะให้โฮจินนั่งลงที่เดิมดีไหม แต่พอก้มลงไปมองโต๊ะที่คว่ำหน้าลงอย่างเละเทะก็ตัดสินใจที่จะปล่อยให้สถานการณ์นี้รีบๆ ผ่านไป ถึงจะยื้อเวลาไปก็ไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีอยู่ดี
“หลายสิบปีก่อน ในตอนที่ชีวิตขององค์ชายขึ้นอยู่กับเสี้ยววินาทีแห่งความเป็นความตาย ท่านพ่อของพวกเราได้ช่วยชีวิตองค์ชายเอาไว้เพคะ จากนั้นจึงได้มาเป็นสมาชิกในครอบครัวจนถึงปัจจุบัน และไม่นานมานี้ก็ทรงได้รับแต่งตั้งตำแหน่งเจ้ากรมกลาโหมด้วย แม้ว่าจะประสูติที่ฮเยกุก แต่ตอนนี้พระองค์เป็นทั้งข้าหลวงของแทซากุก ทั้งยังเป็นท่านพี่ของหม่อมฉันอีกด้วยเพคะ ดังนั้นหากทรงประสงค์จะรั้งพระองค์ไว้ที่ฮเยกุกโดยฝ่ายเดียวเช่นนี้ ฝั่งแทซากุกเองก็คงจะไม่มีทางเลือกนอกจากโต้ตอบทางด้านการทูตเพคะ”
ฮเยกุกและแทซากุกมีความสัมพันธ์ที่เคียงบ่าเคียงไหล่กัน แต่ในแง่ของกำลังของชาตินั้นมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งฝั่งที่ครองความได้เปรียบคือแทซากุก ดังนั้นฮเยกุกจึงไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งอันไร้ประโยชน์ขึ้น พระราชาแห่งฮเยกุกซึ่งสงบนิ่งแม้โฮจินจะพูดจาว่าร้ายใส่จึงแสดงท่าทางที่ตัดสินใจลำบากออกมาเป็นครั้งแรก ประหนึ่งตอกย้ำว่าความคิดนั้นเป็นเรื่องจริง
“แรกเริ่มเดิมที เชื้อสายของราชวงศ์นั้นไม่สามารถออกไปอยู่ที่ประเทศอื่นได้โดยง่ายอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ทรงหมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะที่จะตอบโต้ทางการทูต ทั้งที่แทซากุกนำตัวองค์ชายแห่งฮเยกุกไปแล้วให้พระองค์เป็นเพียงแค่ข้าหลวง”
“หากเป็นเชื้อสายที่สูงส่งถึงเพียงนั้น ก็ทรงควรที่จะรักษาไว้ให้ดีตั้งแต่แรกสิเพคะ หากไม่ใช่ท่านพ่อของหม่อมฉันล่ะก็ เจ้ากรมกลาโหมก็คงจะสิ้นพระชนม์ไปตรงนั้นและไม่ได้มาอยู่ตรงนี้แล้วเพคะ”