วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 14-4
รยูฮาแกล้งเน้นคำว่าเจ้ากรมกลาโหมพร้อมทั้งพูดจาในเชิงตำหนิติเตียน แต่พระราชาแห่งฮเยกุกก็ไม่ยอมแพ้
“กระหม่อมจะส่งจดหมายส่วนตัวเพื่อแสดงความขอบคุณไปถึงท่านเป็นพิเศษพ่ะย่ะค่ะ แต่ถ้าหากต้นพลับซึ่งปลูกไว้ที่ลานบ้านของกระหม่อมยื่นออกไปยังบ้านตรงข้าม แล้วลูกพลับลูกนั้นจะเป็นของบ้านตรงข้ามได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้าหากผู้ที่เดินผ่านต้นกล้าซึ่งถูกดึงออกและถูกมองว่าไร้ค่านั้น เก็บมันมาและช่วยชีวิตเอาไว้ มันก็ต้องเป็นของผู้ที่ช่วยชีวิตมันเอาไว้สิเพคะ”
“เป็นของผู้ที่ช่วยชีวิตไว้เช่นนั้นหรือ…ทรงกำลังตรัสเหมือนราชวงศ์แห่งฮเยกุกเป็นข้าทาสนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าหลวงซึ่งปฏิญาณตนว่าจะจงรักภักดีต่อพระราชาแห่งแทซากุกต่างหากเพคะ ข้าหลวงทุกคนก็คือราษฎร และราษฎรก็คือแทซากุก ดังนั้นหากพูดว่าพระราชาซึ่งเป็นเจ้าของแผ่นดินนั้นเป็นเจ้าของเจ้ากรมกลาโหมก็ใช่ว่าเป็นคำพูดที่เกินไปนะเพคะ”
รอยยิ้มตามมารยาทประดับอยู่ที่ริมฝีปากของทั้งสองซึ่งเผชิญหน้ากัน พลางพูดจาอย่างมีชั้นเชิงโดยไม่หลุดแม้แต่เสี้ยววินาที แม้ว่าสายตาที่สบกันจะลุกเป็นไฟแล้วก็ตาม ซึ่งฝ่ายที่ถอยออกไปก้าวหนึ่งก่อนก็คือพระราชาแห่งฮเยกุก
“กระหม่อมรู้สึกว่านี่ไม่ใช่วิธีการต้อนรับแขกเมืองที่ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ เดี๋ยวกระหม่อมจะจัดเตรียมสถานที่ไว้ให้อย่างเป็นทางการ คืนนี้เสด็จเข้าไปพักผ่อนที่นั่นเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“พอเห็นว่าทรงยังไม่ทันได้เตรียมตัวต้อนรับแขกเมือง ทางหม่อมฉันเองก็ต้องขออภัยด้วยที่มาเยี่ยมเยียนอย่างกะทันหันเช่นนี้เพคะ พระองค์ก็ทรงพักผ่อนตามสบายเหมือนกันเถิดนะเพคะ หากทรงกรุณาส่งสาสน์ด่วนไปยังพระราชวังแห่งแทซากุกในตอนฟ้าสาง หม่อมฉันจะขอบพระทัยเป็นอย่างยิ่งเพคะ”
“กระหม่อมจะจัดการให้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ทรงพักผ่อนตามสบายพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากการบอกลาของทั้งสองซึ่งยิ้มอย่างอ่อนโยนจนวินาทีสุดท้ายสิ้นสุดลง โฮจินก็ลุกขึ้นเป็นคนแรกด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย รยูฮาก็ลุกขึ้นตามหลังเขาและถอนหายใจภายในใจเช่นกัน ตอนแรกก็มั่นใจอยู่หรอก แต่จะทำอย่างไรดีล่ะ ควรใช้โอกาสนี้ในการกำจัดตัวปัญหา หรือจะพาเขากลับไปดี ความกังวลนั้นยังคงวนเวียนไปมาอยู่เรื่อยๆ เป็นเวลาหลายวัน แม้ว่าจะเข้าไปในห้องบรรทมด้วยการนำทางของนางใน จนนอนหลับและตื่นมาแล้วก็ตาม
“หม่อมฉันเอาเสื้อผ้ามาให้พระองค์เปลี่ยนเพคะ ไม่สามารถหาชุดของแทซากุกได้จึงเตรียมเสื้อผ้าของฮเยกุกมาถวายให้แทนเพคะ โปรดทรงรับ…”
“ไม่เป็นไร ปกติข้าก็สวมชุดแบบนี้อยู่แล้ว อย่าได้กังวลเลย”
รยูฮาไม่มีทางนำชุดผ้าไหมที่ทำอย่างประณีตมาจากแทซากุกได้อยู่แล้ว ซึ่งอันที่จริง แม้แต่ตอนอยู่ในวังนางก็มักจะสวมเฉพาะชุดสีขาวไปไหนมาไหนแทบจะตลอดเวลาโดยไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่ดูเหมือนว่าพระราชาแห่งฮเยกุกจะเข้าใจผิดคิดว่านางไม่มีชุดที่ตระเตรียมมา รยูฮายิ้มเจื่อน ก่อนจะให้นางในที่เอาชุดมาถวายกลับไปและแต่งตัวด้วยตัวเอง
“พระมเหสี โฮจินพ่ะย่ะค่ะ”
หาได้ยากที่โฮจินจะกราบทูลตามระเบียบแบบแผน ซึ่งวันที่หาได้ยากนั้นก็คือวันนี้
“เข้ามาสิ”
รยูฮาที่มักจะต้อนรับเขาด้วยการเอนตัวลงนอนหรือไม่ก็นอนคว่ำบนเตียง หรือบางทีก็นั่งพิงพนักอยู่บนเก้าอี้ แต่วันนี้นางกลับอยู่ในท่าทางสุภาพเรียบร้อยเช่นกัน ทันทีที่สบตากัน ทั้งคู่พยายามกดเสียงหัวเราะที่จะหลุดออกมาเอาไว้ จากนั้นจึงนั่งหันหน้าเข้าหากันอย่างมีมารยาท
“ช่วยออกไปสักเดี๋ยวสิ”
“พ่ะย่ะค่ะ พระมเหสี”
รยูฮาให้เหล่านางในออกไปอย่างเป็นธรรมชาติในเวลาที่เหมาะสม ทันทีที่พวกเขาลับสายตาไป นางจึงนั่งยืดตัวบนเก้าอี้ โฮจินเองก็รู้สึกไม่สบายเช่นกัน เขาที่มักจะเอาเท้าขึ้นไปบนโต๊ะกลับมาเป็นปกติ แม้กระทั่งน้ำเสียงก็ยังทุ้มต่ำลงเพื่อให้ดูมีความภูมิฐาน ก่อนจะเริ่มบ่นอุบ
“เจรจาให้จบในวันนี้แล้วออกไปกันเถอะ สัญญากันแล้วนี่”
“เกลียดการเป็นองค์รัชทายาทขนาดนั้นเลยหรือ”
“ไม่ถึงกับเกลียด แต่ก็ไม่ชอบ”
“ถ้างั้น”
เมื่อรยูฮาลุกขึ้นพลางจิ๊ปากอย่างไม่พอใจ โฮจินก็ลุกขึ้นด้วย พวกเขาเดินทางมาถึงฮเยกุกได้ห้าวันแล้ว แน่นอนว่าพระราชาแห่งฮเยกุกดูแลต้อนรับนางอย่างเอาใจใส่ ด้วยการมาหาด้วยตนเองวันละหนึ่งครั้งและโผล่หน้าเข้ามาถามไถ่ว่าไม่สะดวกสบายตรงไหนหรือไม่ก่อนจะกลับไป แต่อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้พูดเรื่องโฮจินขึ้นมาเลยแม้แต่คำเดียว แสดงว่าเขาก็มีความสามารถทางด้านการทูตอย่างมากเช่นกันแม้จะยังอายุน้อยอยู่ก็ตาม และวันนี้คือวันที่พระราชาจัดงานเลี้ยงขึ้นเพื่อรยูฮาและโฮจิน
“ไปกันเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วแชยอนล่ะ”
“ส่งไปก่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพราะว่าข้าต้องมารับพระมเหสี”
โฮจินช่วยรยูฮาเปิดประตูและเดินไปด้วยกันตามแบบแผน แชยอนนั่งรอพวกเขาอยู่ที่สถานที่จัดงานเลี้ยงในชุดอันหรูหราราวกับดอกไม้สมกับเป็นนางสนม และจู่ๆ ก็ได้รับข้อเสนอที่คาดไม่ถึงจากพระราชา
“ทรงเป็นพระกรุณาอย่างยิ่งเพคะฝ่าบาท แต่หม่อมฉันเองก็ไม่สามารถล่วงรู้ความคิดในใจของท่านสามีเช่นกันเพคะ”
“ลองคิดดู มันคือตำแหน่งที่เก็บไว้ให้พระมเหสีในวันข้างหน้าเชียวนะ”
พระมเหสี คำนั้นทำให้นางนึกถึงโฮจินซึ่งบอกให้ไปยังสถานที่จัดงานเลี้ยงก่อนเลยเพราะจะต้องไปรับพระมเหสีขึ้นมา เหมือนกับในอดีตที่ฮอนทิ้งเคยนางและหายตัวไปทันทีที่ได้ยินว่าพระชายาโดนน้ำร้อนลวก แชยอนรู้สึกหม่นหมองขึ้นครู่หนึ่ง แล้วจึงส่ายหน้าไปมาเพื่อไล่ความทรงจำนั้นออกไป
“หม่อมฉันรักและเชื่อฟังสามีแต่เพียงผู้เดียวเพคะ นอกจากหม่อมฉันจะไม่ประสงค์จะโน้มน้าวใจเขาแล้ว เขายังไม่ใช่คนประเภทที่จะรับฟังเมื่อถูกโน้มน้าวใจด้วยเพคะ”
ใกล้จะถึงเวลาที่พระมเหสีแห่งแทซากุกจะเสด็จมาถึงแล้ว พระราชาแห่งฮเยกุกจึงร้อนใจรีบคว้าข้อมือของแชยอนและเสียงของเขาก็เริ่มดังขึ้น
“เจ้าก็พูดได้นี่ เพราะเรื่องแย่ๆ…”
“กรุณาปล่อยมือนั้นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
โฮจินปรากฏตัวออกมาโดยที่ขันทียังไม่ทันได้กราบทูลให้ทรงทราบ เขาพูดเช่นนั้นซ้ำๆ ด้วยน้ำเสียงที่กดต่ำอย่างเยือกเย็น การที่เขาไม่ดึงแชยอนเข้ามาในอ้อมกอดและชักดาบออกมาก็เพราะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของนางและกลัวว่าจะทำให้รยูฮามีปัญหา แต่ขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไป สติสัมปชัญญะของเขาคงจะไม่เหลืออีกเลย
โฮจินโอบกอดแชยอนแล้วหายลับออกไปข้างนอกสถานที่จัดงานเลี้ยง รยูฮาจ้องมองดูพวกเขาที่ออกไปไกลแล้วย่นหน้าผากเล็กน้อย ท่ามกลางบรรยากาศที่พังเละเทะแบบนี้ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่สามารถรั้งตัวโฮจินไว้ได้ และไม่เห็นรยูฮาเข้ามาในงานเลี้ยงด้วยเช่นกัน
“พระมเหสีแห่งแทซากุกเสด็จ!”
ขันทีผู้ซึ่งสติหลุดเพราะความไร้มารยาทของโฮจินตะโกนขานขึ้นมาช้าเกินไป ซึ่งรยูฮาเข้ามาจนเกือบถึงที่หมายแล้ว พระราชาเห็นนางพอดีจึงโค้งคำนับอย่างนอบน้อม แต่ก็ไม่สามารถซ่อนสีหน้าลำบากใจไว้ได้
“กระหม่อมคงจะแสดงด้านไม่ดีให้แขกบ้านแขกเมืองเห็นแล้วสินะพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไรเพคะ เพราะเขาก็ไม่ใช่คนใจดีอยู่แล้ว”
“ดูเหมือนว่าพระมเหสีจะทรงรู้จักจินเป็นอย่างดีนะพ่ะย่ะค่ะ”
เขาเหน็บแนมหรือเปล่านะ รยูฮาเลื่อนสายตาขึ้นมาสำรวจดูใบหน้าของพระราชาแห่งฮเยกุกซึ่งกล่าวเช่นนั้น แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่การเหน็บแนม สีหน้าของเขากลับดูอิจฉาและเหงาหงอยเสียด้วยซ้ำ
“เป็นเพราะว่าอาศัยอยู่ด้วยกันเหมือนครอบครัวตั้งแต่เด็กน่ะเพคะ”
“อย่างนั้นสินะ”
พระราชาหันหน้าไปทางนักดนตรีด้วยสีหน้าครุ่นคิด ต้องขอบใจที่เครื่องดนตรีบรรเลงขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน คนอื่นๆ จึงไม่สามารถได้ยินบทสนทนาของทั้งสองได้
“ไม่รู้ว่าจะทรงเชื่อหรือเปล่า แต่พวกพี่น้องน่ะ กระหม่อมไม่ได้เป็นคนฆ่าพ่ะย่ะค่ะ แต่จินฝั่งใจว่ากระหม่อมจะส่งตัวเขาไปให้พวกผู้ลอบสังหารพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมรู้ดีว่ามันน่าคับแค้นใจถึงเพียงใด”
รยูฮาคิดว่าควรจะตอบอะไรกลับไปดีแต่แล้วก็หยุด พระราชาเองก็ดูเหมือนจะไม่ได้รอคำตอบเช่นกัน
“พวกพี่น้องของกระหม่อมเสียชีวิตไป กระหม่อมจึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยชีวิตน้องชายที่เหลือเพียงคนเดียวเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ ดังนั้น…”
“ขอประทานอภัยที่ต้องขัดจังหวะเพคะ”
รยูฮาขัดจังหวะการพูดของเขาพลางส่ายหน้าเบาๆ
“หม่อมฉันไม่อาจรู้ได้ว่าทรงเล่าเรื่องนี้ให้หม่อมฉันฟังทำไม แต่มันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะทรงเล่าให้พระมเหสีของประเทศอื่นฟังเพคะ เพราะฉะนั้นกรุณาหยุดไว้เท่านี้ และทรงเล่าให้น้องชายฟังด้วยตัวเองจะดีกว่าหรือไม่เพคะ”
“แม้แต่หน้าของกระหม่อม เขายังไม่อยากจะมองเลยพ่ะย่ะค่ะ ดังนั้นกระหม่อมจึงอยากจะขอเสียมารยาทและขอร้องพระมเหสีหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”
“หากจะให้หม่อมฉันไปเล่าต่อ หม่อมฉันไม่สามารถทำให้ได้เพคะ อีกทั้งหม่อมฉันจะเคารพในความประสงค์ของเจ้ากรมกลาโหมด้วยเพคะ”
คำตอบที่เด็ดขาดทำให้สีหน้าของพระราชาดูหมองหม่นอย่างเห็นได้ชัด ราวกับรู้สึกผิดหวังมากทีเดียว รยูฮาเบนสายตาไปยังระบำพื้นบ้านอันงดงามของพวกนางรำพลางจัดการความคิดสักพัก คำว่าบ้านสำหรับโฮจินคือตระกูลซอของรยูฮาซึ่งอยู่ที่แทซากุกมากกว่าราชวงศ์แห่งฮเยกุก เช่นเดียวกันกับมินอา
อย่างไรก็ตามหากวางอารมณ์ทั้งหมดลงและเมื่อจวนจะกลายเป็นปัญหาระดับประเทศ โฮจินก็คงจำเป็นจะต้องขึ้นครองราชบัลลังก์ เพราะการเป็นพันธมิตรกันระหว่างสองประเทศคือแทซากุกและฮเยกุกจะทำให้ประเทศรอบข้างเก็บตัวเพื่อเลี่ยงการเป็นจุดสนใจ เพื่อที่ในวันข้างหน้าหากเกิดสงครามขึ้นมาจะได้ช่วยเหลือกันได้ หากไม่ใช่พระมเหสี นางก็คงจะคำนึงถึงความสุขของโฮจินก่อนแล้ว เฮ้อ รยูฮาถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นจึงกระซิบกระซาบอีกครั้ง
“หลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุดลง โปรดเสด็จมายังที่พักของหม่อมฉันสักครู่หนึ่งเพคะ มาโดยไม่ต้องให้คนขานบอก ทรงเปิดประตูเข้ามาได้เลยเพคะ”
* * *