วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 14-8
นางไม่ใช่ทั้งเสือที่ถอดเขี้ยวเล็บแล้ว และไม่ได้เป็นเพียงแค่หญิงชราหลังบ้าน วีรสตรีผู้ซึ่งเคยจูงจมูกเหล่าเสนาบดีอยู่เบื้องหลังพระราชาผู้ทรงเยาว์วัยและจัดการงานบ้านงานเมืองอย่างเรียบร้อยยังคงไม่ตายจากไป แม้ว่าเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานแล้วก็ตาม
“ข้ามีศักดิ์เป็นย่าของฝ่าบาท ซึ่งก็คือผู้อาวุโสที่สุดในราชวงศ์แทซากุก! ข้าจะคืนตำแหน่งให้กับอดีตองค์ชาย ในเมื่อมันเป็นความประสงค์ของทั้งข้าและฝ่าบาท แต่พวกเจ้ามองธรรมเนียมปฏิบัติก่อนความประสงค์ของฝ่าบาทอย่างนั้นรึ!”
“ไม่ใช่อย่างนั้นพ่ะย่ะค่ะ แต่กฎหมายของประเทศอันเข้มงวด…”
“กฎหมายของประเทศอันเข้มงวดนั้นอยู่เหนือข้าอย่างนั้นหรือ ประเทศนี้คือประเทศของกฎหมายหรือประเทศของจักรพรรดิ? ท่านมหาเสนาบดีลองบอกข้ามาสิ!”
เสียงของภรรยาที่เคยขอร้องไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวเป็นอันขาดลอยผ่านไป แต่นางไม่ได้บอกว่าไม่ให้ช่วยฝ่าบาทสักหน่อยนี่ แถมยังไม่เคยบอกว่าไม่ให้ช่วยพระพันปีอีกด้วย ท่านมหาเสนาบดีโค้งคำนับอย่างช้าๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา
“ในความคิดของกระหม่อม สิ่งที่พระพันปีตรัสนั้นถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ แม้ว่าอดีตองค์ชายจะพยายามแย่งชิงบัลลังก์ด้วยวิธีการที่ไม่เหมาะสม แต่เขาได้ไว้ชีวิตฝ่าบาทและให้ออกไปข้างนอกพระราชวัง ทั้งที่สามารถปลิดชีพของฝ่าบาทได้เดี๋ยวนั้น อีกทั้งยังไม่ต่อต้านในตอนถูกยึดราชบัลลังก์คืนอีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ ทั้งอดีตองค์ชายและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเขาทั้งหมดต่างก็ถูกลงโทษกันหมดแล้ว ดังนั้นกระหม่อมจึงเห็นสมควรว่าควรที่จะคืนตำแหน่งและอำนาจในราชวงศ์ให้แก่อดีตองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ”
แค่ในตอนที่พระราชายืนกรานที่จะคืนตำแหน่งให้อดีตองค์ชายเพียงลำพัง บรรดาเสนาบดีก็รับมือได้ยากแล้ว พอแม้กระทั่งพระพันปีและท่านมหาเสนาบดียังเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย จึงไม่สามารถคัดค้านได้อีกต่อไป แทบจะทั้งหมดปิดปากสนิท ยกเว้นเพียงจำนวนหนึ่งที่ยังคงคัดค้านต่อไป
“ขอบใจมากท่านมหาเสนาบดี ในเมื่อความตั้งใจของข้าได้ถูกถ่ายทอดไปให้พวกเจ้าแล้ว และนี่ก็จวนจะถึงเวลาอ่านหนังสือในตอนเช้าแล้ว พวกเจ้าไปได้”
พระพันปีโบกมือพลางทอดสายตามองเหล่าเสนาบดีเหมือนกับไม่อยากฟังต่อ การแจ้งอย่างกะทันหันทำให้พวกเขาต้องตื่นแต่เช้ากว่าปกติและรีบเข้างาน พวกเขาต่างก็หมดแรงหลังจากถูกกดด้วยพลังอำนาจของพระพันปีทันทีที่เข้าพระราชวังมา ไม่ว่าจะเป็นคนที่หนักแน่นสักไหนก็ต้องหมดแรงเช่นกัน ในวันนี้ฮอนจึงคว้าชัยชนะจากสงครามประสาทกับพวกเสนาบดีได้อย่างง่ายดายกว่าปกติ
“อีชาน องค์ชายสองผู้ซึ่งถูกถอดออกจากราชสมบัติได้คืนกลับสู่ราชวงศ์ พร้อมทั้งได้จัดเตรียมสุสานซึ่งมีชื่อเรียกว่าสุสานหลวงแห่งมูยอง รวมถึงสมาชิกในครอบครัวที่เหลืออยู่ก็จะได้คืนสู่ตำแหน่งและได้เป็นส่วนหนึ่งในเชื้อสายของราชวงศ์เช่นกัน มินอาแห่งตระกูลซอ นางสนมลำดับขั้นที่สี่ จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระชายาในองค์ชาย ส่วนกรมพิธีการจงเตรียมพร้อมสำหรับทุกขั้นตอนและอย่าได้ละเลยไปแม้แต่นิดเดียว”
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งพ่ะย่ะค่ะ!”
คำตอบที่ตะโกนออกมาโดยพร้อมเพรียงกันพร้อมกับใบหน้าอันขมขื่นทำให้ใบหน้าของฮอนขมขื่นไปตามพวกเขาเช่นเดียวกัน เหล่าเสนาบดีที่ถูกฮอนจับจุดอ่อนได้กลายเป็นพวกไร้ประโยชน์ที่เชื่อฟังเป็นอย่างดี นั่นทำให้พวกเสนาบดีแก่ๆ ที่พยายามจะคว้าพระราชาหนุ่มไว้ในกำมือรู้สึกพ่ายแพ้อีกครั้ง และยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่เมื่อสิ่งที่พวกเขาพูดไม่มีคำไหนเลยที่ขัดแย้งกับธรรมเนียมประเพณี เนื่องจากบรรดาคนแก่ที่ติดอยู่กับอดีตนั้นไม่ค่อยจะพอใจกับการเปลี่ยนแปลงนักถึงแม้ว่ามันจะไร้ที่ติในทุกด้านก็ตาม
“ต่อไปจะเป็นปัญหาของคณะผู้แทนพระองค์ที่จะส่งไปยังฮเยกุก ให้ดำเนินการตรวจตราสิ่งของต่างๆ ที่จะส่งให้เป็นของกำนัลเหมือนอย่างครั้งที่แล้ว”
“แต่ฝ่าบาท นั่นมันดูน้อยมากเกินไปหากเทียบกับอำนาจของแทซากุกนะพ่ะย่ะค่ะ”
“พูดเรื่องอะไรน่ะขอรับ ท่านใต้เท้า! เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว! หากเพิ่มเข้าไปอีก ฮเยกุกก็จะคิดว่าแทซากุกประจบประแจงเพื่อหวังให้ดูดีในสายตาพวกเขาน่ะสิ!”
“เงียบ เงียบ!”
ฮอนเคาะโต๊ะอย่างไม่พอใจให้กับบรรดาเสนาบดีที่กำลังจะเริ่มโต้เถียงกันอีกครั้งพร้อมกับขึ้นเสียงเล็กน้อย
“ไปสำรวจสิ่งของที่จะจัดส่งไปให้แล้วเสร็จเสีย ส่วนผู้นำคณะผู้แทนพระองค์ ข้าจะให้ท่านมหาเสนาบดีเป็นผู้นำ หากท่านมหาเสนาบดีไปเป็นผู้นำคณะผู้แทนพระองค์ด้วยตนเอง แค่ของกำนัลเพียงลังเดียว ทางฮเยกุกก็ซาบซึ้งใจอย่างมากแล้ว เพราะฉะนั้นจงไปเตรียมตามนี้”
ดูเหมือนว่าวิธีที่เขานำมาเสนอในคราวนี้จะทำให้เสนาบดีต่างพึงพอใจกันทุกคน เสียงประสานที่ตรงกันว่า เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ ดังกึกก้องไปทั่วท้องพระโรง
“ต่อไป”
ไม่ว่าจะจัดการอย่างไรก็ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด ฮอนพยายามไม่สนใจกระดาษม้วนที่กองกันเป็นภูเขาแล้วจึงพูดต่อ
“เป็นปัญหาการนำเข้าปืนใหญ่ ปืนใหญ่ที่พัฒนาในแผ่นดินตะวันตกกำลังถูกเผยแพร่ไปในประเทศเล็กประเทศน้อยอย่างลับๆ พวกเราเองก็ต้องส่งคนไปยังแผ่นดินตะวันตกภายในฤดูใบไม้ร่วงและจะต้องนำสิ่งนั้นเข้ามาให้จนได้เช่นกัน”
“ฝ่าบาท แต่แทซากุกคือประเทศใหญ่ที่ไม่มีใครสามารถรุกรานได้นะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเห็นว่าพวกเราไม่จำเป็นต้องก้มหัวให้แผ่นดินตะวันตกพ่ะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมเองก็คิดเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ทำไมเราถึงจะต้องให้เงินทองแก่พวกชนต่างชาติทางแผ่นดินตะวันตกเพื่อซื้ออาวุธด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
อ้า หากโฮจินอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาคงจะนำพวกเสนาบดีหนุ่มไปประจันหน้ากับพวกคนแก่ไปแล้ว แต่ทว่าท้องพระโรงในตอนนี้ยังไม่มีคนหนุ่มที่มีความกล้าหาญขนาดนั้น แม้ว่าฮอนจะคิดถึงโฮจินที่กำลังพยายามเล่าเรียนการเป็นองค์รัชทายาทที่ฮเยกุก แต่มันก็ไร้ประโยชน์
“หากไม่นับฮเยกุก ในปัจจุบันไม่มีประเทศไหนเลยที่ประจันหน้ากับแทซากุกได้ พวกเจ้าเห็นด้วยหรือไม่”
“ดังที่กระหม่อมได้กราบทูลไปพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“แต่ถ้าหากประเทศเล็กๆ ที่อยู่ห่างไกลรวมตัวเป็นพันธมิตรกัน พร้อมทั้งนำเข้าปืนใหญ่นั่น เจ้าจะทำอย่างไรรึ”
“ปืนใหญ่เพียงไม่กี่กระบอกจะมาเทียบกับกำลังทหารอันแข็งแกร่งของแทซากุกอันยิ่งใหญ่ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ต่อให้พวกเขาจะจ่อปืนใหญ่มาก็ตาม ความเสียหายที่กระทบต่อกองกำลังของแทซากุกก็คงจะเล็กน้อยมากพ่ะย่ะค่ะ”
“เล็กน้อย? ความเสียหายของกองทัพน่ะรึ?”
คำพูดที่มองว่ากองกำลังทหารเป็นเกราะกำบังไปสะกิดต่อมความรู้สึกของฮอนเข้า หมายถึงราษฎรที่เคยดีใจที่องค์รัชทายาทเสด็จมาหา ทั้งที่โดนพวกคนป่าปล้นสะดมและโดนขูดรีดจากขุนนางที่ทุจริตอย่างนั้นหรือ
“ถ้าหากพวกเขารวมตัวกันรุกรานเข้ามา เช่นนั้นก็จงสละลูกชายของพวกเจ้ามาช่วยเป็นกองกำลังเสียสิ เพราะไม่ว่าอย่างไรความเสียหายต่อกองกำลังทหารก็เล็กน้อยอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยนำตัวลูกชายของพวกเจ้าเข้าไปในความเสียหายเล็กน้อยนั่นด้วยก็แล้วกัน!”
“ฝ่าบาท บุตรหลานของตระกูลขุนนางจะไปเกณฑ์ทหาร…”
“อ๋อ เพราะว่าไม่ใช่กลุ่มที่จะต้องไปเกณฑ์ทหารก็เลยจะไม่สนใจอย่างนั้นรึ”
สิ่งที่มาพร้อมกับเสียงของพระราชาที่กดต่ำลงกว่าเมื่อสักครู่คือความโกรธไม่ผิดแน่นอน ไหล่ของเสนาบดีคนที่พูดออกมาโดยไม่เจตนาหดลงไปเหมือนกับเต่า
“แทซากุกแห่งนี้คือประเทศของจักรพรรดิ ซึ่งจักรพรรดิก็คือข้า! ราษฎรทุกคนในแผ่นดินนี้คือลูกหลานของข้า เจ้าตั้งใจจะใช้ลูกหลานของข้าเป็นเกราะกำบัง ต้อนให้พวกเขาไปสู่ความตายอย่างหมาข้างถนนเพื่อสร้างศักดิ์ศรีกระจอกๆ เพียงเล็กน้อยอย่างนั้นรึ!”
“ทองที่นำไปลงกับการนำเข้าปืนใหญ่มันมหาศาลนะพ่ะย่ะค่ะ และนั่นมันคือเงินคลังหลวงซึ่งได้มาจากภาษีไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“ทองนั่น กระหม่อมจะจ่ายให้เองพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงของท่านมหาเสนาบดีทั้งทุ้มต่ำและมีพลัง การเสนออย่างฉับพลันทำให้ท้องพระโรงซึ่งเต็มไปด้วยความตึงเครียดตกอยู่ในความเงียบในชั่วพริบตา
“พูดต่อสิ ท่านมหาเสนาบดี”
“อย่างที่กระหม่อมทูลให้ทราบพ่ะย่ะค่ะ หากคลาดแคลนเงินคลังหลวงที่จำเป็นในการนำเข้าปืนใหญ่ กระหม่อมจะจ่ายให้ด้วยความยินดีพ่ะย่ะค่ะ”
“ตระกูลของท่านซื่อสัตย์สุจริตมารุ่นแล้วรุ่นเล่า แล้วไปมีทรัพย์สมบัติมากมายถึงขนาดนั้นได้อย่างไร”
“ทรัพย์สมบัติที่รวบรวมเพื่อใช้ในการยึดราชบัลลังก์กับทรัพย์สินที่กระหม่อมรวบรวมมาได้จากการดำเนินกิจการกลุ่มการค้าผ่านทางคนอื่นก็น่าจะเพียงพอพ่ะย่ะค่ะ”
การที่ขุนนางดำเนินกิจการกลุ่มการค้าแยกต่างหากนั้นเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่ก็เป็นความลับเช่นกัน แทซากุกนับว่านักปราชญ์มีเกียรติสูงสุด รองลงมาก็คือเกษตรกร ช่างฝีมือและพ่อค้าวาณิช เหล่าขุนนางที่ใฝ่ต่ำคิดจะทำการค้าขายจึงรู้สึกอายเกี่ยวกับความจริงนั้น พวกเขาดำเนินกิจการอย่างลับๆ ด้วยความตะขิดตะขวงใจ แม้ว่าจะมีรายได้จากกลุ่มการค้านั้นก็ตาม ดังนั้นการที่ท่านมหาเสนาบดีกล่าวในที่ประชุมแบบนี้ว่าตนดำเนินกิจการกลุ่มการค้าจึงน่าตกใจเสียจนหงายท้อง
“ท่านมหาเสนาบดี ตอนนี้ท่านกำลังบอกว่าท่านทำการค้าในตำแหน่งขุนนางเพื่อให้ได้ทรัพย์สินมาอย่างนั้นหรือขอรับ!”
“ความมีเกียรติของพระสสุระก็คือความมีหน้ามีตาของราชวงศ์นะขอรับ แต่นั่นมัน…!”
“เงียบ เงียบ! พวกท่านต่างหากที่ควรจะต้องรักษาเกียรติไว้บ้าง!”
คำตำหนิที่ออกมาไม่ขาดสายทำให้ฮอนแผดเสียงดังออกมา
“ท่านแทซัง เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรืออย่างไรว่าเจ้าน่ะมีร้านผ้าไหมที่ใหญ่ที่สุดในตลาด! ท่านชีออซา ข้าแต่งตั้งให้เจ้าไปทำหน้าที่ตรวจตรา แต่กลับไปขายแป้งทาหน้าเหมือนกับผู้หญิง!”
“ฝ่าบาท ทรงพระทัยให้เย็นก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”