วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 14-9
หากท่านมหาเสนาบดีไม่ห้ามอยู่ข้างๆ บรรดาเสนาบดีที่หน้าแดงแปร๊ดเพราะคำสบประมาทก็คงจะมีเพิ่มอีกอย่างน้อยห้าหกคน อย่างไรก็ตามแม้จะระบุตัวเพียงแค่สองคน แต่ผลที่ได้รับก็เกินคาดทีเดียว พวกที่พยายามจู่โจมเพื่อสร้างรอยตำหนิให้กับอำนาจของท่านมหาเสนาบดีต่างปิดปากเงียบโดยพร้อมเพรียงราวกับมีใครมาเย็บให้ติดกัน
“ท่านมหาเสนาบดีไม่ได้ใช้ทรัพย์สินนั้นส่งเดช และในยามที่ข้าจำเป็นจริงๆ เขาก็ยินดีจ่ายให้อย่างไม่รู้สึกเสียดาย หากเงินคลังหลวงน่าเป็นกังวลถึงเพียงนั้น ถ้าเช่นนั้นข้าลดเบี้ยหวัดของพวกท่านก็ได้นี่”
“มันไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาเกี่ยวกับเงินคลังหลวงอย่างเดียวพ่ะย่ะค่ะ หากแทซากุกซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจที่สุดก้มหัวให้พวกคนต่างชาติจากแผ่นดินฝั่งตะวันตก ประเทศโดยรอบทั้งหมดก็อาจจะดูหมิ่นดูแคลนพวกเราได้พ่ะย่ะค่ะ”
“หากประเทศโดยรอบเหล่านั้นก้าวนำหน้าแทซากุกซึ่งหยุดพัฒนา ในตอนนั้นไม่ใช่ว่าเราจะถูกดูหมิ่นดูแคลน แต่จะโดนรุกรานต่างหาก พวกท่านไม่รู้ได้อย่างไร!”
เสียงดังลั่นของพระราชาซึ่งหงุดหงิดพวกเสนาบดีที่พูดซ้ำซากแบบเดิมราวกับนกแก้วนกขุนทองสั่นสะเทือนเสาของท้องพระโรง แต่พวกเขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมแพ้ เพราะพวกคนแก่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากไม่มีอะไรหลงเหลือแล้วนอกจากธรรมเนียมปฏิบัติและความมีเกียรติ ฮอนไม่อยากเห็นหน้าพวกเขาอีกต่อไปจึงถีบประตูท้องพระโรงออกไปอย่างเต็มแรง ในขณะเดียวกันภายในหัวที่ไม่ได้หยุดพักก็กลับมาคิดนู่นคิดนี่อย่างวุ่นวายอีกครั้ง
“ข้าต้องการการช่วยเหลือของพระมเหสี”
ฮอนเข้ามาในห้องนอนหลังจากมีการขานบอกอย่างเหมาะสมแทนที่จะวิ่งเข้ามากอดรยูฮาและแสดงความรักอย่างมากเกินไปเหมือนปกติ และจู่ๆ เขาก็พูดประโยคนั้นออกมา การที่เขาผู้ซึ่งมีความหยิ่งในตัวเองอย่างมากมายื่นมือและเอ่ยปากขอให้ช่วยก่อนแทบจะไม่เคยเกิดขึ้นเลย ดังนั้นในฐานะที่รยูฮาเป็นคู่ครอง นางจึงต้องเต็มใจช่วยอยู่แล้ว
“เรื่องอะไรหรือเพคะฝ่าบาท”
“ล่ามที่กลับมาจากการไปศึกษาเล่าเรียนที่ประเทศตะวันตกบอกว่ามีอาวุธชนิดหนึ่งที่เรียกว่าปืนใหญ่ ซึ่งยิงเพียงครั้งเดียวก็ทำให้ทหารร่วงกันเป็นแถบได้ ดังนั้นข้าจึงตั้งใจจะนำสิ่งนั้นเข้ามา แต่การคัดค้านของพวกคนแก่ทำให้มันไม่ง่ายเลย”
“อาวุธของประเทศตะวันตกอย่างนั้นหรือ…ก็คงจะทำให้พวกเสนาบดีไม่พอใจตามที่คาด แต่ในมุมมองของหม่อมฉัน ความคิดของฝ่าบาทถูกต้องกว่าร้อยเท่าเพคะ ถ้าอย่างนั้นจะให้หม่อมฉันช่วยอย่างไรดีเพคะ”
ว่ากันว่าคู่รักมักจะคล้ายคลึงกัน รยูฮาอยากรีบสะสางการปรึกษาที่สำคัญนี้ให้จบไวๆ เพื่อที่จะได้นอนกลางวันในอ้อมกอดของเขาหลังจากสำรับของว่างถูกยกมาถวายแล้ว แต่ในทางตรงกันข้าม ฮอนกลับอยากแก้ไขปัญหานี้อย่างรอบคอบ ซึ่งจุดที่ทั้งสองคนนั้นคิดต่างกันก็มาบรรจบตรงกลางพอดี
“กลุ่มการค้าที่โฮจินพาไปยังอยู่ที่ฮเยกุกใช่หรือไม่ ท่านมหาเสนาบดีวางแผนจะไปเยี่ยมเยียนฮเยกุกพร้อมกับคณะผู้แทนพระองค์ ดังนั้นหากเราส่งต่อทองคำไปยังกลุ่มการค้าผ่านทางเขา ก็ให้พวกเขาไปยังประเทศฝั่งตะวันตกและไปซื้อปืนใหญ่มาได้”
“ดีเลยเพคะ แต่ทำไมทรงไม่ไปทูลท่านพ่อด้วยตนเอง แล้วเสด็จมาหาข้าแทนล่ะเพคะ”
“หากให้เห็นว่าข้าไปพบท่านมหาเสนาบดีสองต่อสองบ่อยน่าจะไม่ดีนัก อีกอย่าง พอได้ฟังเสียงของเจ้า ข้าก็เริ่มจะมีสติสัมปชัญญะเพิ่มขึ้นด้วย และข้าก็มีเรื่องที่จะบอกรยูฮาด้วย”
“เรื่องที่จะบอกหรือเพคะ”
คิ้วที่ขมวดกันเป็นปมบนหน้าผากเกลี้ยงเกลาหายไปและถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มซุกซน เสียงที่ลดต่ำลงเล็กน้อยในตอนที่เรียกรยูฮาเนื่องจากกลัวว่าพวกนางในจะได้ยินเข้าก็น่าหลงใหลเช่นกัน ส่วนรยูฮาเองก็เลิกทำท่าทางสำรวมเรียบร้อยและโน้มตัวลงมานั่งเท้าคางเช่นกัน
“ข้าคืนตำแหน่งให้เสด็จพี่ได้แล้ว และมินอาก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นพระชายาในองค์ชายด้วย เพราะฉะนั้นเราคงจะต้องรีบเตรียมราชโองการและเพชรพลอยเสียแล้วล่ะ”
“ฝ่าบาท!”
รอยยิ้มสดใสบนใบหน้าของรยูฮาทำให้ใบหน้าของฮอนซึ่งตึงเครียดตลอดช่วงเช้าคลายตัวลงราวกับตังเมฟักทองซึ่งถูกทิ้งไว้ในแดดที่แผดเผา พระชายาในองค์ชาย ตอนนี้มินอาจึงสามารถให้กำเนิดองค์ชายและเลี้ยงดูเขาในฐานะภรรยาหลวงขององค์ชายไม่ใช่นางสนมของผู้ก่อกบฏได้อย่างผ่าเผยแล้ว มินอาที่ได้รับพระราชโองการนี้จะทำสีหน้าอย่างไรนะ จะตื้นตันใจ จะเสียใจ หรือจะไม่แสดงอะไรออกมาเลยกันนะ เหมือนว่าพวกเขาทั้งสองเริ่มได้ยินเสียงร้องไห้ของหลานที่ร้องอ้อแอ้เสียแล้วสิ
“ทรงเหนื่อยมามากเพคะ ทรงทำได้ดีมากจริงๆ เพคะฝ่าบาท”
“พอเจ้าชมเช่นนั้น ข้าก็ดีใจ”
ฮอนอุ้มรยูฮาขึ้นมาวางบนเตียง ในไม่ช้าการจูบอันเร่าร้อนก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ร่างเปลือยเปล่าของชายหญิงอันงดงามปรากฏใต้แสงแดดซึ่งเล็ดลอดมาทางหน้าต่าง บรรดาซังกุงที่ยกสำรับของว่างสำหรับทั้งสองพระองค์มาถวายจึงต้องรอไปอีกครู่หนึ่งพร้อมกับใช้สำลีอุดหูแทนที่จะเข้าไปข้างใน
* * *
ประตูใหญ่ซึ่งปกติจะถูกปิดสนิทและไม่อนุญาตให้คนแปลกหน้าเข้ามาโดยเด็ดขาดนั้นถูกเปิดออก นอกจากทรัพย์สมบัติล้ำค่า **บมากมายนับไม่ถ้วน และผ้าไหมที่นำเข้าจากต่างประเทศแล้ว บรรดาซังกุงลงไปจนถึงนางในที่จะต้องมาปรนนิบัติรับใช้พระชายาซึ่งตั้งครรภ์ต่างก็ทยอยกันเข้ามาโดยไม่ขาดสาย สวนหน้าบ้านซึ่งไม่สามารถพูดได้เลยว่าคับแคบนั้นเต็มไปด้วยสิ่งของล้ำค่ามากมายภายในพริบตาจนไม่ที่ให้เดิน
“มินอาแห่งตระกูลซอ นางสนมลำดับขั้นที่สี่ จงก้าวออกมารับพระราชโองการจากพระราชา!”
มินอาที่ตื่นมาแต่งหน้าแต่งตัวอย่างงดงามตั้งแต่เช้ามืดโอบกอดท้องที่ป่องขึ้นและก้าวออกมาข้างหน้าด้วยการประคองของนายหญิงตระกูลจอง แม้จะรู้สึกเจ็บปวดและดีใจเหมือนกับวันที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นสนมครั้งแรกและจัดพิธีสมรสที่ไม่มีเจ้าบ่าว แต่ก็ไม่สามารถแสดงออกไปได้ จากเสียงของขันทีที่ไล่อ่านราชโองการที่เต็มไปด้วยคำศัพท์ยากๆ เรื่อยลงมา มินอารู้ความหมายอยู่เพียงไม่กี่คำเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น องค์ชายสอง อีชาน ภรรยาหลวง คำอะไรแบบนั้น
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณเพคะ”
แม้จะเป็นคำพูดไม่คุ้นชินซึ่งไม่เคยพูดออกมาจากปากเลยสักครั้งเดียว แต่ไม่รู้ทำไมนางถึงพูดออกมาได้ดีทีเดียว มินอาค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ และคำนับสี่ครั้งไปทางทิศที่มีพระราชวังตั้งอยู่ คำนับครั้งที่หนึ่งให้กับแสงจันทร์ในวังร้างซึ่งได้เห็นเป็นครั้งแรก คำนับครั้งที่สองให้กับรอยยิ้มที่ส่งให้เป็นครั้งคราว คำนับครั้งที่สามให้กับสัญญาที่จะโอบกอดเจ้าในชาติหน้า คำนับครั้งที่สี่ให้กับของขวัญที่ทิ้งไว้ให้เป็นการส่งท้าย น้ำหนักของปิ่นปักผมรูปร่างนกฟินิกซ์ไต่ขึ้นไปบนมือทั้งสองข้างที่ยื่นออกมาและกดลงมาบนหัวใจที่มีความสุข
“ของขวัญพระราชทานที่พระพันปีทรงมอบให้ด้วยตนเองพ่ะย่ะค่ะ”
มินอาเปิดฝาที่ถูกแกะสลักเป็นตราของราชวงศ์ออกช้าๆ พลางเม้ริมฝีปากไปด้วย มันคือชุดเครื่องแบบในพิธีขององค์ชายซึ่งถูกร้อยด้วยด้ายสีทองบนผ้าไหมสีดำสีเข้มเป็นมันวาว มีชุดเครื่องแบบในพิธีการที่ชานเคยสวมในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่หนึ่งชุดและเสื้อผ้าเด็กเก่าๆ ที่อยู่บนนั้นอีกหนึ่งชุด สิ่งเหล่านั้นคือของขวัญที่พระพันปีทรงมอบให้มินอาซึ่งไม่มีอะไรที่เป็นของดูต่างหน้าของชานเลย ทรัพย์สมบัติที่ได้รับตกทอดมาจากพระราชวังใดๆ ก็ไม่มีอันไหนที่มีค่าไปกว่าเสื้อผ้าสองชุดนี้ได้
“เป็นพระ…มหากรุณา…”
นายหญิงตระกูลจองตบหลังมินอาที่ก้มหน้าลงไปฟุบกับชุดนั้นเบาๆ ก่อนหน้านั้นนางกังวลว่ามินอาจะหนีออกไปอีกครั้งจึงไม่ปล่อยให้เรือนหลังเล็กว่างแม้แต่ชั่วขณะเดียว ตอนนอนก็เอาเตียงเพิ่มเข้ามาไว้ข้างๆ มินอาอีกหนึ่งหลังและนอนด้วยกันกับนาง แต่ตอนนี้นางไม่ต้องกังวลใจอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้นางไม่ต้องนอนแล้วตื่นขึ้นมาสามสี่รอบและคลำเตียงของมินอาอีกแล้ว
“ทรงลำบากมามากนะเพคะ พระชายา”
หลังจากวันนั้น มินอาไปหาชานที่หลุมศพทุกวัน แม้ว่าทุกคนจะห้ามปรามก็ตาม นางทำแค่เพียงยืนอยู่ตรงมุมหนึ่งและเฝ้ามองหลุมศพที่ถูกสร้างตามขนาดของสุสานหลวงและมีการสร้างรั้วกับแท่นบูชา ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นหลุมศพของผู้ก่อการกบฏจึงอย่าว่าแต่หินจารึกเลย แม้กระทั่งสุสานก็ไม่สามารถสร้างได้ด้วยซ้ำ คำถามที่ว่าไปที่ไกลๆ แบบนั้นทุกวันทำไมของนายหญิงตระกูลจองทำให้นางปิดปากเงียบพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ แต่ก็เปิดใจออกมาว่าเพราะต้องการให้หลานของราชวงศ์ซึ่งอยู่ในท้องได้รู้สึกถึงพ่อ
* * *