วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 15-11
หลังจากหยอกล้อกับเด็กน้อยอีกทีหนึ่ง รยูฮาก็ส่งคังเข้าไปในอ้อมกอดของฮอน ตอนแรกก็โบกมือปฏิเสธว่าไม่ได้ แต่สุดท้ายเขาก็รับความช่วยเหลือจากซังกุงพี่เลี้ยง แล้วลองอุ้มหลานชายดูจนยิ้มปากฉีกถึงหู รยูฮามองดูภาพนั้นอยู่สักพัก จากนั้นจับมือมินอาแล้วออกนอกประตูไปพร้อมกับบอกว่าขอไปเดินเล่นสักครู่เดี๋ยวกลับมา
“ทุกคนถอยออกไปยี่สิบก้าว”
ดูเหมือนว่านางมีอะไรบางอย่างจะพูด ดูจากการที่ไล่พวกนางในออกไปทั้งหมด มินอาหวังว่าจะไม่ใช่เรื่องที่ตนเองคิด แล้วรอจนกระทั่งรยูฮาเปิดปากพูดออกมาอย่างยากลำบาก
“มินอา ข้าไม่ได้อยากบอกเจ้าแบบนี้นะ แต่ว่า…”
แต่พอนางเริ่มพูดขึ้นมาแบบนี้ก็แน่ใจได้เลย สายตาของมินอาที่มองไปยังด้านหน้าสั่นไหวราวกับกิ่งไม้ที่กระทบกับลมในฤดูหนาว
“ถ้าหากว่า ข้าไม่สามารถมีทายาทได้ต่อไป…”
“ไม่ได้เพคะ องค์ชายไม่ได้เพคะ”
“แต่เขาเป็นทายาทเพียงคนเดียวนะ”
มินอาหยุดฝีเท้าและเบือนหน้าไปช้าๆ ความขุ่นเคืองที่นางไม่เคยรู้สึกกับรยูฮาเลยแม้แต่ครั้งเดียวถาโถมเข้ามา ในขณะที่จ้องมองรยูฮา
“ตำแหน่งนั้นคือตำแหน่งแบบไหนหรือเพคะ ตำแหน่งที่ฝ่าบาททรงนั่งแล้วลุกออกไปสินะเพคะ โปรดให้คังได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขด้วยเถิดเพคะ เขาไม่ใช่เด็กที่อยากเกิดมาเป็นองค์รัชทายาทเพคะ หม่อมฉันจะถือว่า…ไม่เคยได้ยินเรื่องนั้นมาก่อนเพคะ”
รยูฮาลูบแกมมินอาอย่างละอายใจหนึ่งครั้งแทนคำตอบ จากนั้นจึงชวนให้กลับเข้าไปด้านใน คังซึ่งปรากฏตัวในพระราชวังเป็นครั้งแรกขึ้นรถม้าออกไปด้วยกันกับมินอาก่อนที่พระอาทิตย์จะตก
“พักที่วังไม่ได้หรือพระชายา”
พระพันปีรั้งตัวมินอาที่กำลังจะขึ้นรถม้าและเอ่ยถามเป็นครั้งสุดท้าย แม้จะเป็นการยากที่ต้องทำเป็นไม่เห็นความเสียดายที่ปรากฏอยู่เต็มใบหน้าของหญิงชรา แต่มินอาก็ทำอะไรไม่ได้
“หม่อมฉันจะแวะมาหาบ่อยๆ นะเพคะเสด็จย่า”
* * *
“วันนี้ข้าไม่ต้องออกว่าราชการตอนเย็นนะ”
จู่ๆ ฮอนที่นอนคว่ำข้างๆ รยูฮาและกำลังจดจ่ออยู่กับนิยายพื้นบ้านก็พูดขึ้นมาเหมือนกับเพิ่งนึกออก
“ก็เลยมาทำแบบนี้อยู่ที่นี่ใช่ไหมเพคะ รีบอ่านเล่มนั้นแล้วเอามาให้ข้าได้แล้วเพคะ”
“เราไปดื่มเหล้ากันดีไหม”
ไม่ได้ชวนว่าไปดื่มเหล้ากันเถอะ แต่บอกว่าไปดื่มเหล้ากันดีไหมอย่างนั้นหรือ ทั้งที่เขาพูดออกไปเช่นนั้น แต่ฮอนสังเกตเห็นว่าแววตาของรยูฮาดูมีความลังเลแทนที่จะตัดสินใจอย่างเด็ดขาด จึงกระซิบอีกรอบ
“เห็นว่ามีตลาดกลางคืนเปิดด้วยนะ”
“ตลาด…กลางคืน?”
“ตลาดกลางคืน”
“ไม่ได้เพคะ พระราชาและพระราชินีจะปล่อยให้พระราชวังว่างเปล่าเพราะเรื่องส่วนตัวได้อย่างไรเพคะ”
รยูฮาปฏิเสธการหลอกล่อได้อย่างลำบาก ก่อนจะส่ายหน้าอย่างแรงพร้อมกับแย่งหนังสือที่ฮอนถืออยู่มา ถ้าไม่อ่านก็ขอแล้วกัน
“เห็นว่าร้านนั้น อาหารอร่อย”
“ร้านนั้นหรือเพคะ”
“ทำไมรึ ก็ที่เคยไปเมื่อก่อน ที่เคยหั่นหมูให้ เจ้าเคยบอกไม่ใช่หรือว่าเป็นร้านที่อร่อยที่สุดในละแวกนี้ ถ้าได้ดื่มเหล้าสักแก้วพร้อมกับใช้ตะเกียบคีบเนื้อขึ้นมากินนะ หืม…”
“เฮ้อ ไม่ได้นะ”
เพียงแค่คิด น้ำลายก็ไหลออกมาเองแล้ว แม้จะพูดว่าไม่ได้ แต่มุมปากที่เคยอยู่นิ่งก็ค่อยๆ ยกขึ้น ซึ่งนั่นหมายความว่าจะสำเร็จในอีกไม่ช้า ฮอนจึงลุกพรวดขึ้นแล้ววางหนังสือกองไว้ที่มุมหนึ่ง ก่อนจะรั้งเอวรยูฮาเข้ามากอด
“ทำไมจะไม่ได้เล่า รีบไปรีบกลับก็ได้นี่ ถ้าจูฮวานยืนอยู่ข้างหน้าก็ไม่มีใครรู้หรอก”
“แค่แป๊บเดียวนะเพคะ”
“ได้สิ”
จูฮวานซึ่งเฝ้าอยู่นอกประตูเพียงลำพังได้ยินบทสนทนาที่ลอดออกมาจากข้างใน แล้วจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตอนนี้เขาไม่มีความคิดอยากจะห้ามปรามอีกต่อไปแล้ว เพียงแค่หวังว่าจะไม่ถูกพระพันปีจับได้ แล้วตนเองซึ่งไม่มีความผิดใดๆ จะถูกลงโทษไปด้วย จากนั้นไม่นานหน้าต่างก็ถูกเปิดออก ทั้งสองคนค่อยๆ กระโดดลงมาเบาๆ แล้วขี่ม้าฝ่าอากาศยามค่ำคืนที่สดชื่นไป โดยที่ไม่สนใจเหล่าทหารองครักษ์ที่กำลังรีบเร่ง พวกเขาสนุกสนานราวกับว่าเหลือเพียงแค่สองคนในโลกใบนี้
“อ้า ดีจัง”
รยูฮาพ่นไอออกมาจากปากเบาๆ แล้วหันไปมองฮอนซึ่งนั่งอยู่ด้านหลัง อากาศอันหนาวเย็นยามค่ำคืนก็ดี เสียงเกือกม้าที่ดังกุบกับก็ดี การเต้นของหัวใจที่ส่งผ่านมาจากอกแกร่งที่แนบชิดอยู่ก็ดี
“พวกเรานอนค้างข้างนอกกันดีไหม”
เสียงอันทุ้มต่ำและน่าหลงใหลจั๊กจี้ใบหูของรยูฮาที่ส่งยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนจะหันหลับไปมองข้างหน้า
“นอนค้างข้างนอก?”
“ดื่มเหล้าเสร็จก็ไปนอนที่โรงเตี๊ยม แล้วเดี๋ยวค่อยแอบกลับไปตอนเช้ามืดก็ได้”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ ท่านสามี”
“ไม่ได้ทำทุกวันเสียหน่อย แถมพวกทหารองครักษ์ก็ยังตามมาเป็นขบวนด้วย ถ้าถูกเสด็จย่าจับได้ ข้าจะถูกต่อว่าแต่เพียงผู้เดียว”
“บอกแล้วไงเจ้าคะว่าไม่ได้”
ทันทีที่มาถึงตลาด ทั้งสองก็หาโรงเตี๊ยมและจับจ้องห้องเป็นอย่างแรก รวมถึงห้องของของพวกทหารองครักษ์ทั้งหมดด้วย รยูฮาและฮอนผูกม้าไว้ที่โรงเตี๊ยม จากนั้นจึงไปเดินเล่นใต้โคมไฟอย่างสบายใจเพลิดเพลินไปกับเวลาว่างที่ไม่ได้มีนานแล้ว พร้อมกับกินอาหารเสียบไม้ที่ขายข้างถนนทีละอันเหมือนเมื่อราวๆ หนึ่งปีก่อน
“โอ๊ะ ท่านสามี ตรงนั้น”
สิ่งที่รยูฮาใช้ปลายนิ้วชี้คือหญิงชราที่สวมเสื้อผ้าหลายชั้นและแผงที่นางจัดวางของ โคมไฟมากมายที่ถูกวางกระจัดกระจายเต็มไปหมดต่างแสดงสีสันของตนเองเพื่อดึงดูดผู้คน
“โคมไฟ?”
“ปีที่แล้วขอพรกับโคมไฟแล้วสมปรารถนาไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
“งั้นก็ต้องซื้อแล้ว”
ฮอนกระชับมือรยูฮาและออกตัวเดินไปตรงด้านหน้า ดวงตาอันพร่ามัวของหญิงชราจึงค่อยๆ หันไปมองทั้งสอง
“มีผู้สูงส่งมาสินะ”
“ประโยคนี้ เหมือนกับปีที่แล้วเลยไม่ใช่หรือ”
“เพราะว่าสูงส่งมากขึ้นกว่าเดิมอย่างไรเล่า”
ตอนที่ซื้อโคมไฟคราวที่แล้ว หญิงชราคนนี้เป็นคนเลือกโคมไฟที่ดูเหมือนสีทองให้แก่ฮอน และเขาก็ได้ขึ้นครองราชบัลลังก์ แม้ว่าฮอนจะไม่เชื่อเรื่องเทพหรือดวง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย
“ข้าจะเลือกโคมไฟให้หนึ่งอัน”
หญิงชราหยิบโคมไฟสีน้ำเงินเข้มที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาโดยที่ไม่มีการครุ่นคิดใดๆ จากนั้นก็หยิบโคมไฟขึ้นมาอีกอันหนึ่ง ในขณะที่ฮอนซึ่งรับโคมไฟมาแล้วกำลังจะหยิบถุงเงินออกมาจ่าย ซึ่งในครั้งนี้นางได้ยื่นโคมไฟสีแดงเข้มอันงดงามให้แก่รยูฮา
“คุณหนูรับนี่ไปนะ”
“ข้าจะเลือกของข้าเอง”
“หากท่านเลือกอันนี้ จะเกิดเรื่องดีๆ ขึ้นเจ้าค่ะ”
พอรยูฮาซึ่งกำลังมึนงงหันไปมองฮอน เขาที่ถือโคมไฟสีน้ำเงินอย่างทะนุถนอมก็พยักหน้าให้ แม้จะเป็นสีที่ไม่ค่อยชอบแต่จะลองเชื่อดูแล้วกัน รยูฮาจึงพยักหน้าให้เล็กน้อย ก่อนจะหยิบโคมไฟสีแดงแล้วลุกขึ้นยืน
“ข้าจะให้ราคาที่ดีมากๆ แก่พวกท่าน”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลยขอรับ”
เนื่องจากเป็นโคมไฟที่ทำมาจากกระดาษระบายสีที่เห็นแล้วน่าจะราคาไม่กี่เหรียญ แต่ฮอนก็หยิบเหรียญเงินออกมาสองนยังแล้วยื่นให้หญิงชราอย่างใจดี แน่นอนว่าเขาหวังว่าหญิงชราจะนำเงินนี้ไปหาเสื้อผ้าอุ่นๆ ใส่สักตัวอยู่แล้ว แต่อีกใจก็ยังหวังให้โคมไฟแสดงผลลัพธ์ให้เห็นมากกว่า ดังนั้นมือที่กำลังจุดเทียนเล็กๆ จึงมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ หลังจากแขวนโคมไฟเสร็จก็ถอยหลังออกมาและรวบมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน เมื่อมองไปด้านข้างก็เห็นแสงจากโคมไฟส่องสว่างอย่างงดงามกระทบกับใบหน้าด้านข้างของรยูฮาซึ่งกำลังยกมือไหว้และหลับตาอยู่เช่นกัน จุ๊บ ริมฝีปากอุ่นประทับบนแก้มเย็นแล้วผละออก
“บอกแล้วไงว่าอย่าทำแบบนี้ข้างนอก”
รยูฮาตำหนิพลางปรายตามองทั้งที่ยังควงแขนกับฮอน สำหรับเขาเท่านี้ก็คุ้มแล้วที่ได้ออกมาหลังจากเตรียมตัวไว้แล้วว่าจะถูกต่อว่า ทั้งคู่เดินสำรวจไปทั่วตลาด จากนั้นจึงมุ่งตรงไปยังร้านอาหารที่ดูซอมซ่อและแออัดวุ่นวายเหมือนกับนัดกันมา หลังจากนั้นไม่นานฝีเท้าที่หมดความสง่าผิดกับตอนปกติก็ตรงกลับไปยังโรงเตี๊ยมอีกรอบ
“นายท่าน ต้องกลับแล้วเจ้าค่ะ”
“เฮ้ย กล้าดียังไงถึงเรียกพระ…!”
“นายท่าน! นายหญิง ช่วยห้ามนายท่านหน่อยเถิดขอรับ นายหญิง นายหญิง…?”