วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 15-7
“ว่าไงนะ มาไม่ได้งั้นหรือ”
หน้าผากของฮอนขมวดเข้าหากันอย่างแรงเพราะสิ่งที่ท่านมหาเสนาบดีกราบทูลให้ทรงทราบทันทีที่เข้าพระราชวังมา อุตส่าห์ตั้งตาตั้งหน้านับวันรอถึงยี่สิบเอ็ดวันหลังคลอดอย่างร้อนอกร้อนใจ แต่ปรากฏว่าคังไม่สามารถเข้าวังมาได้
“อย่างที่ทรงทราบ เขาคลอดก่อนกำหนดมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ พระวรกายจึงไม่แข็งแรงเท่ากับเด็กในวัยเดียวกัน เพราะฉะนั้นน่าจะต้องรอให้ครบร้อยวันก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“พระพันปีคงจะทรงผิดหวังน่าดู”
นอกจากตัวเองจะผิดหวังแล้ว รยูฮากับพระพันปีน่าจะผิดหวังยิ่งกว่า เขาไม่สามารถซ่อนสีหน้าผิดหวังไว้ได้พร้อมกับพึมพำเบาๆ ว่าก็ช่วยไม่ได้ แต่ก็ยังมีคำพูดที่น่ายินดีโบยบินเข้ามาพร้อมกัน
“แล้วก็เรื่องกลุ่มการค้าที่ส่งให้ไปตามหาของอันนั้นเมื่อหลายเดือนก่อนน่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“อ่อ มีข่าวคราวมาแล้วหรือ”
เป็นข่าวคราวเกี่ยวกับกลุ่มการค้าที่มอบทองคำให้และส่งไปที่ฮเยกุกด้วยความดื้อรั้น หลังจากถูกพวกเสนาบดีคัดค้านในการนำเข้าปืนใหญ่ หลังจากเฝ้ารอนับเดือนอยู่ในใจมานานก็เกือบใกล้ถึงเวลากลับมาแล้วสินะ พระพักตร์ที่หม่นหมองจึงกลับมาสดใสขึ้นเล็กน้อย
“อีกไม่กี่วันก็จะลงเรือกลับมาแล้ว ซึ่งในตอนนั้นน่าจะต้องการความช่วยเหลือนิดหน่อยพ่ะย่ะค่ะ ดังที่ทรงทราบ เราจะลอบนำเข้ามาอย่างลับๆ มิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่แล้ว นำเข้ามากี่กระบอกรึ”
“ฝ่าบาทตรัสให้นำเข้ามายี่สิบกระบอก แต่นำเข้ามาได้เพียงแค่สิบกระบอกพ่ะย่ะค่ะ เนื่องจากเป็นของที่แม้แต่ในประเทศตะวันตกเองก็หาได้ยาก แต่ได้นำผลิตภัณฑ์ หนังสือ ยาและอาหารของประเทศตะวันตกมาด้วย เพราะฉะนั้นอย่าได้ทรงผิดหวังเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ทันทีที่ลงเรือแล้ว ให้แยกชิ้นส่วนของปืนใหญ่ซะ ข้าจะเลือกช่างฝีมือแล้วส่งพวกเขาลงไป”
ด้วยทองคำที่ฮอนสามารถรวบรวมมาได้ รวมถึงทรัพย์สมบัติที่ท่านมหาสเนาบดีมอบให้ ปืนใหญ่ที่นำเข้ามาได้จึงมีเพียงแค่สิบกระบอกเท่านั้น หากพวกขุนนางชรารู้เข้าก็คงจะฉุนเฉียวพร้อมกับบอกว่าเป็นการสิ้นเปลืองสำหรับประเทศที่ยิ่งใหญ่ แต่ถ้าแทซากุกสามารถประดิษฐ์อาวุธที่คล้ายกับปืนใหญ่ได้ ปากพวกนั้นก็คงจะหดเข้าไปเหมือนคอตะพาบอย่างแน่นอน
“น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ได้เวลาออกว่าราชการแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เวลาผ่านไปขนาดนี้แล้วหรือเนี่ย”
หลังจากว่าราชการตอนเช้าเสร็จ ต้องรีบไปอวดรยูฮาหน่อยแล้ว ฮอนคิดเช่นนั้นพร้อมกับมุ่งไปยังท้องพระโรงด้วยสีหน้ายิ้มแย้มที่นานๆ ทีจะได้เห็น แต่ทันทีที่เริ่ม เขาก็รักษาสีหน้านั้นไว้ไม่อยู่เพราะเสียงประสานที่กล่าวว่าไม่ได้ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
“เรื่องนั้นไม่ได้พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท! หากทรงแต่งตั้งราษฎรที่ไม่เคยได้ร่ำเรียนหนังสือ ทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการดูถูกความสามารถของพวกขุนนางนะพ่ะย่ะค่ะ!”
“อืม ด้วยเหตุนั้นจึงให้บุตรหลานของท่านมหาเสนาบดีมาทำการทดสอบเป็นตัวอย่างอย่างไรเล่า”
ใบหน้าของมุนฮาชีจุง[1]ที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาดูเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด ท่านมหาเสนาบดีจึงพยักหน้าเบาๆ และขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะสายตาที่จ้องมองมา ฮอนมองดูการเปลี่ยนแปลงนั้นอย่างสนุกสนาน จากนั้นจึงยิ้มแย้มเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยสำทับขึ้นอีกว่า
“บุตรชายคนโต บุตรชายคนรอง รวมถึงบุตรชายคนที่สาม ทั้งหมดเลย”
“แต่ว่าพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ในความคิดของกระหม่อมนั้น กระหม่อมคิดว่ามันเป็นเรื่องยากมากที่จะใช้สถานที่สอบแห่งเดียวกันกับราษฎรธรรมดาพ่ะย่ะค่ะ”
มันต้องอย่างนี้สิ พอท่านมหาเสนาบดีโค้งตัวลงเล็กน้อยและทูลให้ทราบอย่างเงียบๆ คิ้วของมุนฮาชีจุงที่เคยขมวดเข้าหากันจึงคลายออกเหมือนเดิม
“ว่ามาสิ”
“ในเมื่อขุนนางกับราษฎรนั้นแตกต่างกัน แล้วจะให้ทำข้อสอบเดียวกันได้อย่างไรขอรับ”
“ท่านก็พูดถูก”
ลูกเขยกับพ่อตาเข้าขากันได้เป็นอย่างดี ท่านมหาเสนาบดีแสร้งทำเป็นขัดสิ่งที่ฮอนพูดพร้อมกับเสนอญัตติที่สำคัญกว่าการสอบ หลังจากทำให้เสนาบดีคนอื่นๆ เผลอ จากนั้นฮอนก็สนับสนุนคำพูดของเขาไม่หยุดและไม่เหลือช่องว่างให้พวกขุนนางชราได้แทรกเข้ามาเลย หลังจากที่ทั้งสองใช้เวลาหลายคืนในห้องทำงานไม่ไปไหน นี่คือช่วงเวลาที่จะได้ฉายแสง
“เพราะฉะนั้น กระหม่อมจึงเห็นว่าขุนนางควรจะทำแบบทดสอบที่เหมาะสมกับระดับของขุนนาง ส่วนชนชั้นกลางก็ทำแบบทดสอบที่เหมาะกับชนชั้นกลาง แต่สำหรับสามัญชนไม่มีสิทธิ์พ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านหมายความว่าอย่างไรรึ! สามัญชนเป็นพสกนิกรของข้าเช่นกัน มันใช้ได้ที่ไหนที่จะไม่ให้แม้แต่โอกาสกับพวกเขาเพียงเพราะฐานะที่ต่ำต้อย!”
แม้ว่าทั้งสองจะฝึกฝนมากันมาเป็นอย่างดี แต่ส่วนที่ต้องตะคอกใส่กันก็ยังคงดูไม่เป็นธรรมชาติอยู่ดี ท่านมหาเสนาบดีเหลือบมองเหล่าเสนาบดีแวบหนึ่ง โชคดีที่พวกเขายังคงโค้งคำนับเพราะการตวาดของฮอน ดูเหมือนว่าจะยังไม่รู้ทัน หลังจากได้รับความมั่นใจแล้ว เขาจึงยืดตัวขึ้นและเกร็งท้องพร้อมกับแสดงการขึ้นเสียงต่อหน้าพระราชา
“ฝ่าบาท! แต่พวกเขาคือพวกที่ไม่ได้รับแม้กระทั่งการศึกษานะพ่ะย่ะค่ะ! ทรงจะให้พวกเขาเข้าไปในสนามสอบซึ่งมีชะตาของประเทศแขวนอยู่ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ!”
“กระหม่อมก็คิดเช่นเดียวกับท่านมหาเสนาบดีพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“กระหม่อมก็เช่นกันพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“ได้โปรดทรงพระกรุณาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”
เสียงของการเห็นพ้องต้องกันดังขึ้นทั่วทุกสารทิศ จะให้สอบกับสามัญชนและจะให้พวกเขาเข้ามาในท้องพระโรงอย่างนั้นหรือ มันคือปัญหาเรื่องศักดิ์ศรีในฐานะขุนนาง โดยไม่มีความเกี่ยวข้องกับธรรมเนียมปฏิบัติหรือกฎระเบียบใดๆ แถมท่านมหาเสนาบดีผู้ซึ่งเพียงลำพังก็มีเสียงที่ดังกว่าเสียงของพวกเขารวมกันทั้งหมดแล้วยังโต้แย้งความประสงค์ของพระราชาอีก ดังนั้นในตอนนี้จึงน่าจะเป็นโอกาสอันดี บางทีหากรวมพลังกันกดดันก็อาจจะกำจัดความคิดไร้สาระของพระราชาใหม่ผู้ยังทรงเยาว์วัยไปได้อีกด้วย
“เจตนารมณ์ของพวกท่านเหมือนกับท่านมหาเสนาบดีจริงหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท! ได้โปรดทรงพระกรุณาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
“ได้โปรดทรงพระกรุณาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
หลังจากแน่ใจแล้วว่าทุกคนในที่นี้พูดกันเป็นเสียงเดียว พระราชาก็เพิ่มน้ำหนักลงที่พนักวางแขนของราชบัลลังก์ อีกทั้งน้ำเสียงก็อ่อนลงด้วย
“ราษฎรที่ไม่ได้เล่าเรียนหนังสือไม่สามารถเข้าสอบได้อย่างนั้นสินะ”
จากที่พิจารณาดูจากเสียงพึมพำของเขาซึ่งเหมือนกับกำลังจมอยู่ในความคิดบางอย่าง ดูเหมือนว่าพระราชาผู้ไร้เดียงสาใกล้จะล้มเลิกความประสงค์แล้ว ความพึงพอใจที่แต่เดิมไม่ปรากฏบนใบหน้าของเหล่าเสนาบดีจึงเริ่มเพิ่มมากขึ้น
“ข้ามีข้าหลวงที่ยอดเยี่ยมจริงๆ พวกท่านสามารถชี้ไปยังจุดที่ข้าคาดไม่ถึงเพราะดวงตาที่มืดบอดเนื่องจากอุดมการณ์ การที่ท้องพระโรงเต็มไปด้วยข้าหลวงซึ่งฉลาดหลักแหลมถึงเพียงนี้คือความสุขของข้า และยังเป็นความสุขของแทซากุกอีกด้วย”
“ทรงชมเกินไปพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“ทรงชมเกินไปพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”
หลังจากได้รับการปลุกใจจากคำชมของพระราชาซึ่งหาฟังได้ยาก เหล่าเสนาบดีจึงประสานเสียงตามคำพูดของท่านมหาเสนาบดีราวกับนกแก้ว พวกเขาดูพึงพอใจเป็นอย่างมากสังเกตได้จากหนวดเคราแต่ละเส้นซึ่งตัดแต่งอย่างสะอาดสะอ้านต่างกระดิกไปมา ฮอนจงใจแสร้งทำเป็นใช้ความคิด จากนั้นจึงออกคำสั่งซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับญัตติเมื่อสักครู่เลยสักนิด
“กรมการคลัง ข้าจะไม่รับนางสนมเข้ามา ส่วนพระมเหสีก็ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยนัก เพราะฉะนั้นจงตัดงบประมาณที่ใช้กับเหล่านางในเสีย ยกเว้นเสียแต่วังจางชุน ส่วนที่วังกอนจองก็จงทำเช่นเดียวกัน กรมพิธีการ งดเว้นงานเลี้ยงที่จัดขึ้นโดยไร้ประโยชน์ในทุกฤดูกาล งานเลี้ยงวันพระราชสมภพของข้ากับพระมเหสีก็ให้ลดขนาดลงเหลือครึ่งหนึ่ง ส่วนงานเลี้ยงอื่นๆ ยกเว้นงานเลี้ยงวันพระราชสมภพของพระพันปีที่วังจางชุนและงานเลี้ยงต้อนรับคณะผู้แทนพระองค์ให้ยกเลิกให้หมด ผ้าไหมที่วางกองไว้อย่างไร้ประโยชน์ในห้องเก็บของก็เก็บไว้เฉพาะในปริมาณที่จำเป็น นอกนั้นนำไปขายเสีย”
[1] มุนฮาชีจุง ตำแหน่งขุนนางซึ่งเทียบเท่ามหาเสนาบดีฝ่ายพลเรือน