วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 16-10
“ข้าจะตายอยู่แล้ว ช่วยพาท่านพ่อตากลับมาให้หน่อยได้หรือไม่”
ฮอนทรุดลงบนเตียงทันทีที่เข้ามาในวังจานยอง มองรยูฮาพลางเอ่ยอ้อนวอน หลังจากพ่อตากลับมามีชีวิตใหม่ก็ยื่นลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งครั้งนี้เขาไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป สุดท้ายจึงต้องดำเนินการให้ความต้องการ แต่ปัญหาอยู่ที่ผู้สืบทอดตำแหน่ง แม้จะแค่เลือกใครสักคนมาแต่งตั้ง ทว่าด้วยการทำงานร่วมกับซอดูมานาน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครเตะตาเขาเลย
ท้ายที่สุดทุกปัญหาที่ต้องผ่านการตัดสินใจของท่านมหาเสนาบดีจึงตกมาอยู่ที่ฮอนทั้งหมด อย่างเช่นวันนี้กว่าจะได้ออกจากห้องทรงงานก็ดึกดื่นแล้ว
“หลังหม่อมฉันกลับวัง ท่านพ่อกับท่านแม่ก็ออกเดินทางท่องเที่ยวเพคะ เห็นบอกว่าจะวนรอบแทซากุกหนึ่งรอบ แวะฮเยกุก แล้วถึงจะไปทะเล”
“ฟังดูดีเชียว”
เมื่อฮอนแสดงความอิจฉาอย่างจริงจัง รยูฮาเองก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน พอลองคิดคำนวณช่วงเวลาให้โอรสเติบโตพอจนสามารถมอบหมายราชการแผ่นดินแทน ให้ตนออกท่องเที่ยวกับฮอนบ้าง นางก็ถอนหายใจออกมาทันที
“หม่อมฉันสั่งให้เตรียมห้องอาบน้ำแล้ว ต้องบรรทมแต่หัวค่ำเพื่อทรงงานต่อในวันรุ่งขึ้นนะเพคะ”
“อ้อ ข้ากะจะแวะวังซึงกอนครู่หนึ่ง”
ช่วงนี้มินอาอาศัยอยู่ที่วังซึงกอนกับคัง นางเข้าวังด้วยความเต็มใจพร้อมบอกว่าอยากอยู่ใกล้ๆ รยูฮาจนกว่าท่านพ่อท่านแม่จะกลับมา แน่นอนว่าผู้ที่ดีใจที่สุดกับการตัดสินใจนี้ก็ต้องเป็นพระหมื่นปี
“แล้วจะทิ้งหม่อมฉันไว้หรือเพคะ”
“ข้ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับพี่สะใภ้เท่านั้น”
ฮอนจงใจลดเสียงเบา และเมื่อสบตากับรยูฮาก็ส่งยิ้มให้
“ไปแค่ครู่เดียว เจ้าก็รอข้าก่อน แล้วอย่าใส่เสื้อผ้ามากชิ้นเกินไปนักล่ะ”
เอ่ยหยอกเย้าก่อนจะเปิดประตูออกไปข้างนอก แม้จูฮวานจะถือโคมไฟตามมาอย่างรีบเร่งแล้วทักท้วงว่าให้นั่งเกี้ยวไป แต่เขาตอบกลับว่าอยากเดินสักหน่อย หลังจากรยูฮาย้ายเข้าวังจานยองแล้ว นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขามาเยือนวังซึงกอน ผู้คนระหว่างทางต่างพากันก้มคำนับ
“ถวายพระพรเพคะฝ่าบาท”
เหล่านางในรีบโค้งเมื่อบังเอิญฝ่าบาทในเวลาและสถานที่ที่คาดไม่ถึง
“พระชายาแห่งมูยองวังเข้าบรรทมแล้วหรือยัง”
“ยังเพคะ หมู่นี้องค์ชายทรงบ่นพึมพำตลอดทั้งคืนเลย พระชายาจึงบรรทมไม่ค่อยได้เพคะ”
“แล้วไม่นำไปฝากกับซังกุงแม่นมหรือ”
“พวกหม่อมฉันเองก็ทูลเช่นนั้นเพคะ แต่ว่า…”
อืม ก็พอจะเดาได้ ฮอนพยักหน้าและสั่งให้พวกนางในรออยู่ด้านนอก จากนั้นก็เดินผ่านโถงทางเดินเข้ามาโดยมีจูฮวานติดตามเพียงผู้เดียว ห้องนอนด้านในสุดซึ่งรยูฮาเคยใช้มาก่อนมีแสงไฟจุดสว่าง ส่วนภายในก็มีเสียงงอแงของคังกับเสียงมินอากล่อมลูกชายดังออกมา
“เก่งมากองค์ชายของแม่ แม่ร้องเพลงให้ฟังเอาไหม”
เขาหยุดยืนเงี่ยหูฟังสักพักแล้วก็ต้องยิ้มออกมา การพูดการจาแสนอ่อนโยนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลราวกับไม่ใช่มินอา แต่มันเป็นเสียงของนางไม่ผิดแน่นอน พลันตระหนกได้ว่ามินอาเองก็เป็นสตรีนางหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ผลักประตูเข้าไป
“เสด็จเข้ามาในห้องนอนของสตรีออกเรือนแล้วกลางค่ำกลางคืนเช่นนี้ได้อย่างไรเพคะ”
น้ำเสียงกระแทกกระทั้นพุ่งตรงใส่เขาทันทีเหมือนน้ำเสียงอ่อนโยนปลอบองค์ชายเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น มินอากำลังนั่งอยู่บนเตียงพลางกล่อมคังในอ้อมแขน
“ข้ามาเพราะมีของจะให้”
“รีบให้แล้วรีบเสด็จกลับเถิดเพคะ”
ทำท่าทางแบบนั้นอีกแล้ว ฮอนขมวดคิ้วพร้อมคิดว่าหรือจะเปลี่ยนใจไม่ให้ดี แต่เมื่อเห็นหลานชายส่งยิ้มให้ เขาก็สบายใจขึ้น แน่นอนว่าลูกๆ ทั้งสองของตนก็น่ารักน่าเอ็นดูโดยไม่ต้องอธิบายอันใดอยู่แล้ว แต่สำหรับหลานผู้นี้มันกลับมีความรักบางอย่างที่แตกต่างเอ่อล้นออกมา
“จูฮวาน”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
จูฮวานนำกระดาษม้วนที่กอดแนบอกอย่างทะนุถนอมยื่นส่งให้ฮอน ถ้าเทียบกับกระดาษม้วนธรรมดาแล้วมันมีขนาดค่อนข้างใหญ่ประมาณแผ่นภาพประดับผนัง มินอามองฮอนคล้ายต้องการถามว่ามันคืออะไร แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามเป็นคำพูดออกมาตรงๆ
“รับไว้สิ”
กำลังเหนื่อยๆ เพราะไม่ได้นอน แต่ก็ยังมาหาถึงที่นี่และมอบของแปลกๆ กับมืออีก มินอาค่อยๆ วางคังให้นอนลงข้างๆ ตัว ก่อนจะรับมันมาด้วยสองมืออย่างสุภาพ
“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท”
“หวังว่าจะถูกใจนะ”
มันคือสิ่งใดกัน นางคลี่ม้วนกระดาษออกมาอย่างไม่ใส่ใจนัก แต่แล้วก็ต้องนิ่งอึ้งพูดไม่ออกอยู่สักพัก
“ร้องไห้ทำไมเล่า”
ฮอนรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากอกและปาดซับน้ำตาที่ไหลริน ทว่ามินอาเหมือนจะไม่สนใจ นางใช้ปลายนิ้วของตนเช็ดแผ่นภาพตรงหน้าอย่างระมัดระวัง
มันคือภาพวาด ตัวนางอมยิ้มเล็กๆ ขณะอุ้มคังอยู่ในอ้อมแขน และมีชานโอบไหล่อยู่อย่างอ่อนโยน ชานยิ้มกว้างพลางยื่นนิ้วหาลูกชาย ส่วนคังก็ใช้มือเล็กๆ จับนิ้วของผู้เป็นพ่อแล้วกำลังจะเอาเข้าปาก ภาพที่นางเคยวาดไว้ในความฝันปรากฏอยู่เต็มกระดาษวาดรูปแผ่นนี้
“…ฝ่าบาท”
“หากข้าไม่ได้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของเจ้าเมื่อคราวก่อน ก็คงจะวาดไม่…”
เขากล่าวโดยทำทีเป็นไม่สนสิ่งใดนักแต่ก็แอบซ่อนความภาคภูมิใจ ทว่ากลับไม่สามารถพูดจบประโยคได้ เนื่องจากมินอาลุกพรวดขึ้นมากอดอย่างแรง
“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท”
ฮอนยอมแพ้กับการโอ้อวดต่อและยกมือขึ้นตบหลังนางตอบเบาๆ ตอนนั้นกำแพงที่มินอาก่อขึ้นก็เหมือนพังทลายลง เขารับรู้แล้วว่าตนได้ก้าวเข้าสู่รั้วของครอบครัวที่อีกฝ่ายสร้างขึ้นกั้นขวางแล้ว
“ดีนะที่เจ้าไม่ถูกลงโทษตอนดาบไม้ปักแขนข้า ไม่อย่างนั้นหลานผู้น่ารักเช่นนี้ก็คงไม่เกิดมา”
หลังร้องไห้มาสักพัก มินอาก็ต้องหลุดหัวเราะและคลายแขนออกเมื่อได้ยินคำพูดนั้น นางใช้ผ้าเช็ดหน้าของฮอนเช็ดน้ำตาตนเอง
“ยังจำได้อยู่อีกหรือเพคะ”
“เจ้าใช้คำว่ายังงั้นหรือ ตอนนั้นข้าเจ็บมากเลยนะ”
ฮอนใช้มือจับตรงบริเวณที่เคยเป็นแผลพร้อมทำหน้าบูดเบี้ยว ราวกับว่าความเจ็บปวดในตอนนั้นกลับมาใหม่จริงๆ
“ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหมเพคะ?”
“ก็ไม่เป็นไรแล้ว แต่ยังมีเจ็บอยู่บ้าง เจ้านี่นะ!”
เนื่องจากสามารถคลานไปไหนมาไหนเองได้แล้ว คังขยับนัยน์ตากลมไปมาก่อนจะพยายามคลานต้วมเตี้ยมหนี แต่ก็โดนผู้เป็นอาคว้าตัวไว้ทัน ฮอนอุ้มคังขึ้นมาแล้วระดมจุ๊บลงบนแก้มจ้ำม่ำ ก่อนจะส่งคืนให้มินอา
“สิ่งที่เรียกว่าบาดแผล แม้มันอาจจะเจ็บเจียนตาย สุดท้ายอย่างไรก็ต้องดีขึ้น แต่ถึงจะหายดีแล้วก็อาจจะรู้สึกเจ็บขึ้นมาอีก ในยามคิดถึงมันหรือไม่ได้คิดถึงก็ตาม บางครั้งก็เจ็บจนยากจะเอาชนะด้วยตนเองเพียงผู้เดียว ดังนั้นอย่าเก็บมันเอาไว้คนเดียวเลย เมื่อใดที่เจ้าอยากร้องไห้ก็มาหาได้ทุกเมื่อ”
มินอาเงยหน้าขึ้นมองฮอน เขาเคยเป็นองค์ชายผู้เป็นเด็กน้อยไม่รู้ประสีประสา แต่ตอนนี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วสินะ ฮอนเองก็ยิ้มพลางโค้งให้เล็กน้อย ก่อนจะเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าลองบอกอีกทีสิ ว่าเสด็จพี่หล่อกว่า หรือข้าหล่อกว่า?”
คงยังไม่ใช่สินะ นางรู้สึกโล่งใจแปลกๆ ที่เห็นเขายังไม่ประสีประสาเหมือนเดิม จากนั้นก็แย้มรอยยิ้มส่งให้
“ไม่ว่าจะตรัสถามอีกกี่ครั้ง สำหรับหม่อมฉัน องค์ชายก็ทรงหล่อกว่าเพคะฝ่าบาท”
* * *